ตอนที่ 80
สองผู้เฒ่ากระยาจก
“เหลาเปียคารวะนายน้อยเยี่ยนผิง เชิญทุกท่านด้านในก่อน ได้ข่าวว่านายน้อยจะเดินทางมาข้าพเจ้าจึงได้มาคอยต้อนรับ ท่านเจ้าสำนักสบายดี?”
ชายร่างฉุเรียกหาตนเองว่าเหลาเปีย เมื่อคารวะเยี่ยนผิงแล้ว รีบเชื้อเชิญทุกคนพร้อมก้าวเท้านำหน้าพาทุกคนสู่ห้องกว้างด้านใน จ่านจือกับเฉาลู่ฟาง พร้อมทั้งต้าเอ่อคา และหม่าจิ้งเถา รีบสาวเท้าก้าวตามติด ในระหว่างเดินสู่ห้องโถงด้านใน เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบเหลาเปียว่า
“มารดาสบายดี ด้วยเรื่องเจ้าสำนัก ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางมา เรื่องที่ข้าพเจ้าฝากให้ท่านช่วยเป็นธุระเมื่อหลายเดือนก่อน มิทราบว่าตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?” หัวหน้าสาขานามเหลาเปีย รีบกล่าวตอบเยี่ยนผิงทันที เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
“นายน้อยเยี่ยนผิง หมายถึงสองคนที่หลายเดือนก่อน ท่านฝากให้ข้าพเจ้าช่วยดูแล เรื่องนั้นเรียบร้อยดีมิมีปัญหา หลังจากนายน้อยจากไปแล้ว ข้าพเจ้านำหมอมาดูแลรักษาจนอาการของคนทั้งสองหายดี หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงได้อธิบายเรื่องราวต่อเขาทั้งสองจนกระจ่างมิมีสิ่งใดค้างคาใจ คนทั้งสองยังฝากวาจามาขอบคุณที่นายน้อยยั้งมือไว้ไมตรี แถมยังนำตัวมารักษาอาการบาดเจ็บ อีกทั้งยังบอกอีกว่า แม้นจะมิทราบเจตนาของนายน้อยคืออะไร? แต่บุญคุณครั้งนี้จะหาโอกาสตอบแทนในภายหน้า” เมื่อเหลาเปียกล่าววาจาจบลง เยี่ยนผิงหันมาทางจ่านจือแล้วส่งเสียงกล่าวต่อเขาว่า
“จ่านจือ ท่านผู้นี้คือเหลาเปีย เป็นหัวหน้าสาขาแห่งนี้ เรื่องที่ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านระหว่างทาง คนผู้นี้ล้วนทราบและให้ความช่วยเหลือ เรื่องที่ข้าพเจ้ากำลังจะเล่าให้ท่านฟังต่อจากนี้” จ่านจือรีบประสานมือต่อเหลาเปีย เป็นการทักทาย แม้นยังมิทราบว่าเยี่ยนผิง นางจะเล่าเรื่องใดให้เขาฟัง จากนั้นนางส่งเสียงกล่าวกับเหลาเปียว่า
“เหลาเปีย ท่านนี้เป็นสหายของข้าพเจ้า นามว่าจ่านจือ อีกทั้งยังเป็นผู้นำชาวยุทธ์ซึ่งได้รับคัดเลือกในวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินเมื่อหลายเดือนก่อน ครั้งนี้ที่ข้าพเจ้าแวะมาหาท่าน ก็เพื่อต้องการให้ท่านเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับคนสองคนที่กล่าวถึงเมื่อครู่ ให้สหายของข้าพเจ้าได้รับทราบอย่างละเอียด” เหลาเปียรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือทักทายจ่านจือ หลังจากคนผู้นั้นนั่งลงแล้ว เขาจึงส่งเสียงกล่าวถามเยี่ยนผิงว่า
“เยี่ยนผิง เป็นเรื่องราวใดกันแน่? ดูท่านคล้ายมีความลับใด? ที่ยังมิได้บอกกล่าวต่อข้าพเจ้าถูกต้องหรือไม่?”
“จ่านจือ ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้ายังมีเรื่องราวปิดบังท่านอยู่ ท่านยังจดจำสองผู้เฒ่า ซึ่งได้รับคำสั่งจากท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ให้เดินทางล่วงหน้ามาร่วมงานชุมนุมขอทานยังดอยตะวันได้หรือไม่?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบ พร้อมกับกล่าวถามเขาถึงงานชุมนุมขอทานบนดอยตะวันที่ผ่านมา เกี่ยวกับสองผู้เฒ่า จ่านจือรีบพยักหน้าว่าจำได้ แล้วกล่าวตอบว่า
“สองผู้เฒ่าข้าพเจ้าย่อมจดจำได้ ท่านทั้งสองคือผู้เฒ่าแปดหว่านฉี และผู้เฒ่าเจ็ดเยิ่นเหมา ซึ่งตอนนั้นท่านกับคนของท่าน ได้ดักทำร้ายเสียชีวิตระหว่างทาง จากนั้นก็ให้ท่านต้าเอ่อคา กับท่านหม่าจิ้งเถา ปลอมตัวเป็นผู้เฒ่าทั้งสองแทน แล้วขึ้นไปก่อกวนงานชุมนุมขอทานยังดอยตะวัน เยี่ยนผิง ท่านถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมามิทราบว่ามีสิ่งใด? จะบอกต่อข้าพเจ้าเช่นนั้นรึ?”
“เรื่องนี้ข้าพเจ้าจะให้เหลาเปียเป็นผู้เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ท่านฟัง สิ่งที่ท่านจะได้ฟังจากปากเหลาเปีย คือเรื่องที่ข้าพเจ้าได้ปิดบังท่านไว้” เยี่ยนผิงกล่าวตอบจ่านจือแล้วพยักหน้าต่อเหลาเปีย ให้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแก่เขา
ดังนั้นเหลาเปียจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ว่า เมื่อหลายเดือนก่อน เยี่ยนผิงนายน้อยของตนเวลานั้นปลอมตัวเป็นบุรุษนามเหยาจิ้งเฟย โดยมีสองมารฟ้าดินต้าเอ่อคากับหม่าจิ้งเถา และเฉาลู่ฟางอีกผู้หนึ่ง ตอนนั้นพวกเขาเหล่านั้นได้แบกพาร่างชายชราแต่งกายคล้ายขอทานสองคนเข้ามา เมื่อเห็นชัดทราบว่าขอทานเฒ่าทั้งสองได้รับบาดเจ็บไม่ได้สติ
เมื่อจัดแจงสถานที่ให้ขอทานซึ่งหมดสติทั้งสองนอนลงแล้ว เยี่ยนผิงออกคำสั่งต่อเหลาเปีย ให้ตามหมอมารักษาอาการบาดเจ็บ อีกทั้งยังกำชับให้คอยดูแลผู้เฒ่าทั้งสองเป็นอย่างดี ในตอนนั้นสองมารฟ้าดิน ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าของขอทานชราที่บาดเจ็บทั้งสอง และนำติดตัวไปด้วย เมื่อนางกับสองมารฟ้าดินและเฉาลู่ฟางจากไปแล้ว มันผู้นี้จึงได้ปฏิบัติตามคำสั่งของนางรีบหาหมอมารักษาดูแลอาการบาดเจ็บของผู้เฒ่าทั้งสอง
จนกระทั้งขอทานชราทั้งสองอาการดีขึ้น และพักรักษาตัวอยู่ราวหนึ่งเดือน ในระหว่างนั้น มันได้บอกเล่าแก่ขอทานทั้งสองว่า ใครเป็นผู้สั่งให้มันดูแลรักษาอาการบาดเจ็บ ผู้เฒ่าทั้งสองพอทราบว่า ผู้ที่มีส่วนลงมือทำร้ายตนทั้งสอง เป็นผู้ช่วยเหลือและนำตัวมารักษาดูแล ต่างไม่เข้าใจเจตนาของผู้ที่ทำร้ายตน แต่เมื่ออาการหายสนิทแล้ว ขอทานทั้งสองจึงได้เดินทางจากไปและฝากคำขอบคุณไว้แก่มันผ่านมาบอกกล่าวต่อผู้เป็นนายน้อย จ่านจือเมื่อรับฟังเหลาเปียบอกเล่าเรื่องราวจบลง เขาแสดงสีหน้ายินดีแล้วกล่าวต่อเยี่ยนผิงว่า
“ที่แท้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่ช่วยเหลือผู้เฒ่าแปด กับผู้เฒ่าเจ็ด กลับเป็นท่านเยี่ยนผิง มิทราบว่าที่ท่านกระทำเช่นนี้ มีจุดประสงค์ใดกันแน่? หากมิลำบากสามารถบอกต่อข้าพเจ้าให้เข้าใจได้หรือไม่?” เยี่ยนผิงจึงรีบส่งเสียงกล่าวตอบจ่านจือทันทีว่า
“ในตอนนั้นข้าพเจ้า ได้รับคำสั่งจากมารดา ว่ามีขอทานอาวุโสเดินทางจากทางเหนือมาจงหยวน เพื่อจัดงานชุมนุมขอทานบนดอยตะวัน และให้ข้าพเจ้าขัดขวางการเดินทางของพวกเขาโดยให้ลอบสังหาร แล้วให้คนของข้าพเจ้าปลอมตัวเป็นผู้เฒ่าทั้งสองแทน เพื่อดำเนินแผนการให้บรรดาขอทานบนดอยตะวัน ออกเสียงสนับสนุนมารดาในการคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ด้านหนึ่งข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสั่งมารดา แต่อีกด้านหนึ่งกลับคิดว่าการกระทำดังกล่าวอำมหิตเกินไป จึงมิได้สังหารเพียงทำร้ายบาดเจ็บหมดสติ แล้วแอบนำพาผู้เฒ่าทั้งสองมาให้เหลาเปียช่วยดูแล จนกว่าผู้เฒ่าทั้งสองจะหายดีแล้วค่อยปล่อยตัวไป”
เยี่ยนผิงเมื่อกล่าวจบ นางรอฟังว่าจ่านจือจะตำหนินางเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่าเช่นไร? เขาเมื่อทราบความจริง จึงค่อยทราบว่าก่อนหน้านั้นเข้าใจนางผิดไป แท้จริงแล้วเขาเองเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่เมื่อมีนางอยู่ข้างกายคล้ายสมองเลอะเลือนกลายเป็นคนโง่งมไป ไม่สามารถคาดเดาสิ่งใดได้ เมื่อเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว เขาจึงมิกล้าต่อว่าตำหนินาง
ทั้งหมดใช้เวลาอยู่ที่นั่นอีกครู่หนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น จ่านจือจัดแจงแต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่ ทุกอย่างล้วนเลียนแบบมาจากเยิ่นหว่อถิง โดยมีผู้ชำนาญการปลอมแปลงโฉมอย่างเยี่ยนผิงคอยจัดการให้ หลังจากเสียบขลุ่ยเงินเอาไว้ระหว่างเอว แล้วมือซ้ายใช้ถือพัดจีบโบกสะบัดไปมา ขาดแต่เพียงหน้ากากปีศาจที่ยังมิได้สวมใส่บนใบหน้า หากสวมใส่หน้ากากปีศาจแล้วยากดูออกว่าเป็นเขา ผู้ใดพบเห็นคงเข้าใจว่าเป็นมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง นายน้อยแห่งสำนักอสูรโลกันตร์อย่างแน่นอน
จากนั้นต่างกำหนดแผนการ ให้มารฟ้าดินต้าเอ่อคา กับหม่าจิ้งเถา และเฉาลู่ฟาง ไปกระทำ แผนการที่ว่า ก็คือให้ทั้งสามปลอมเป็นคนลึกลับสวมใส่ชุดดำ ส่วนเยี่ยนผิงเลือกกระบี่เล่มหนึ่ง ซึ่งคล้ายคลึงกับกระบี่อัคคีน้ำค้างของนาง จากนั้นทั้งหมดรีบออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สำนักอสูรโลกันตร์ในทันที
ใกล้มืดค่ำแสงสว่างค่อย ๆ คืบคลานจากไป ความมืดยามราตรีค่อย ๆ ก้าวเข้ามาแทนที่ ไม่ห่างจากสำนักอสูรโลกันตร์เท่าใดนัก เงาร่างสี่สายวิ่งทะยานดุจม้าป่า ด้านหน้าเป็นสตรีนางหนึ่ง ในมือถือกระบี่เร่งฝีเท้าวิ่งหนีสุดกำลัง ด้านหลังติดตามด้วยบุรุษสวมชุดดำสามคน
“หากยังไม่อยากตาย รีบส่งกระบี่อัคคีน้ำค้างในมือมา มิเช่นนั้นอย่าหมายจะมีชีวิตรอดเกินค่ำคืนนี้” หนึ่งในชุดดำส่งเสียงตวาดดังลั่น พร้อมกับเร่งฝีเท้าติดตาม
“พวกโสโครกต่ำช้าหน้าด้าน กระบี่อัคคีน้ำค้างเป็นสมบัติของสำนักมารสวรรค์ พวกท่านอย่าหมายว่าจะแย่งชิงไปได้โดยง่าย หากเก่งกล้าสามารถก็เข้ามาแย่งชิงเอา ข้าพเจ้าคือทายาทแห่งสำนักมารสวรรค์ หากพวกท่านมิอยากตายไร้ที่กลบฝังก็ติดตามมา ด้านหน้าเป็นที่ตั้งของสำนักอสูรโลกันตร์ สำนักมารสวรรค์ กับสำนักอสูรโลกันตร์ เราต่างเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันเจ้าอสูรโลกันตร์ หากเห็นพวกเจ้าใช้คนมากรุมรังแกข้าพเจ้า ท่านจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างแน่นอน”
“ฮา ๆ ข้าพเจ้าสืบทราบมาว่า เจ้าอสูรโลกันตร์มิได้อยู่ในสำนักในเวลานี้ ต่อให้ท่านรุดไปขอความช่วยเหลือ ก็อย่าหมายว่าจะมีผู้ใดยื่นมือออกมาช่วยเหลือ หากท่านยังอยากมีชีวิตรอดปลอดภัย รีบส่งกระบี่อัคคีน้ำค้างในมือให้แก่เราโดยพลัน” หนึ่งในสามชุดดำหัวร่อกึกก้องพร้อมส่งเสียงกล่าวต่อสตรีที่วิ่งอยู่เบื้องหน้าพวกมัน
“ต่อให้ข้าพเจ้าต้องตกตาย อย่าหมายว่าข้าพเจ้าจะมอบกระบี่ให้แก่พวกท่าน ความแค้นที่พวกท่านทำร้ายจ่านจือ สหายของข้าพเจ้าจนร่างพลัดตกหน้าผาไป ข้าพเจ้ายังมิได้ชำระสะสางพวกท่านยังคิดจะแย่งชิงกระบี่อัคคีน้ำค้าง อันเป็นเบาะแสที่จะสืบหากระบี่คู่สุริยันจันทราจากข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงมิยอมมอบให้แก่พวกท่านอย่างแน่นอน”
ในที่สุดชายชุดดำสามคน ก็ติดตามสตรีนางนั้นทันจนได้ จากนั้นพากันแยกย้ายล้อมกักนางเอาไว้ อาวุธในมือต่างเตรียมพร้อมจู่โจมอย่างไร้ไมตรี สตรีนางนั้นหาได้หวั่นเกรง ตั้งท่าตระเตรียมพร้อมรับมือจากชายชุดดำทั้งสาม
เสียงตะโกนและเสียงการต่อสู้ ดังมารบกวนเยิ่นหว่อถิง ซึ่งกำลังพักผ่อนโดยมีสองดรุณีเหนียงเอ๋อ กับเจียวเอ๋อ คอยปรนนิบัติพัดวี อีกทั้งยังนวดเฟ้นผ่อนคลายความเมื่อยล้าให้แก่มัน พอได้ยินเสียงการต่อสู้ และเสียงสตรีซึ่งมันคุ้นหูนัก รีบโบกมือต่อสองดรุณี แล้วลุกขึ้นหยิบชุดคลุมมาสวมใส่ มือขวาคว้าขลุ่ยเงิน มือซ้ายฉวยพัดจีบแล้วส่งเสียงกล่าวกับนางทั้งสองว่า
“พวกท่านทั้งสองมิต้องติดตามมา ข้าพเจ้าจะออกไปดูสักหน่อยว่าผู้ใด? บังอาจมาใช้สถานที่ด้านหน้าสำนักอสูรโลกันตร์ ต่อสู้กันโดยยังมิได้รับอนุญาตจากข้าพเจ้าเสียก่อน จำเอาไว้ท่านทั้งสองดูแลที่นี่ให้ดี อย่าไปไหนจนกว่าข้าพเจ้าจะกลับเข้ามาเข้าใจหรือไม่?”
“รับทราบแล้วนายน้อย เหนียงเอ๋อ กับเจียวเอ๋อ จะคอยดูแลไม่ไปไหน นายน้อยมิต้องเป็นห่วง” ดรุณีนามเหนียงเอ๋อ ส่งเสียงรับคำ เยิ่นหว่อถิงมิรอช้า วิ่งออกไปยังต้นเสียงในทันที
พอก้าวพ้นประตู วิ่งตรงมายังด้านหน้าสำนัก บนลานกว้างสตรีนางหนึ่งกำลังต่อสู้กับสามชุดดำอย่างดุเดือด เพียงเห็นเงาร่างของสตรีนางนั้น เยิ่นหว่อถิงจดจำได้ทันทีว่า สตรีนางนั้นคือเยี่ยนผิง สตรีอันเป็นที่หมายปองของมัน เมื่อเห็นว่าครั้งนี้เป็นโอกาสดี ที่จะได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือนาง อีกทั้งยังเห็นในมือของนางพกพากระบี่ล้ำค่า เป็นที่หมายตาต้องใจของบรรดาชาวยุทธ์อยู่ในขณะนี้ จึงรีบส่งเสียงออกไปว่า
“แม่นางเยี่ยนผิง มิต้องเกรงกลัว ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงมาช่วยท่านแล้ว พวกสวะเหล่านี้เป็นคนจากสารทิศใด? มิทราบหรือไรว่าสถานที่นี้เป็นสำนักอสูรโลกันตร์ บังอาจนัก กล้าลงมือทำร้ายคนบริเวณเขตสำนักของข้าพเจ้า วันนี้ข้าพเจ้ามารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณ จะให้พวกท่านได้รับทราบฝีมือของข้าพเจ้าดู”
กล่าวจบสะกิดเท้า พุ่งร่างเข้าหาวงต่อสู้ในทันที เยี่ยนผิงเมื่อเห็นว่าเยิ่นหว่อถิงออกมาช่วยเหลือ ทำทีเป็นอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้มันรับมือกับคนร้ายทั้งสาม คนชุดดำชักนำมารน้อยผู้นี้ออกยังด้านนอกสำนัก มันกลัวคนทั้งสามจะหลบหนี อีกทั้งต้องการอวดฝีมือต่อหน้าสตรี จึงรีบพุ่งร่างติดตามในทันที พร้อมกับส่งเสียงกล่าวต่อนางว่า
“แม่นางเยี่ยนผิง โปรดเข้าไปรอข้าพเจ้ายังด้านในก่อน สามคนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า หลังจากจัดการพวกมันแล้ว ข้าพเจ้าจะรีบกลับมา” กล่าวจบ เยิ่นหว่อถิงพุ่งร่างติดตามสามคนร้ายชุดดำไปในทันที
คล้อยหลังเยิ่นหว่อถิง ร่างหนึ่งกระโดดพลิ้วกายข้ามกำแพงสูงเข้ามา การแต่งกายมิแตกต่างจากเยิ่นหว่อถิงเมื่อครู่ จะแตกต่างกันบ้างตรงที่บนใบหน้าสวมทับด้วยหน้ากากปีศาจ จึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นี้ได้ เยี่ยนผิงรีบส่งเสียงแผ่วเบากล่าวกับบุรุษที่ทิ้งเท้าลงไม่ห่างจากนางนักว่า
“จ่านจือ ท่านเข้าไปยังด้านในก่อน ระวังตัวด้วย ด้านนี้ข้าพเจ้าจะจัดการเอง ก่อนอื่นท่านต้องเข้าไปตีสนิทกับดรุณีทั้งสองนางนั้น เพราะมีแต่นางทั้งสอง ที่จะนำพาท่านเที่ยวชมภายในสำนักอสูรโลกันตร์ได้ ส่วนเยิ่นหว่อถิง ข้าพเจ้าจะคอยขัดขวางมิให้มันเข้ามาขัดขวางการทำงานของท่านได้”
“เยี่ยนผิง ท่านเองก็ระมัดระวังตัวด้วย มั่นใจหรือไม่? ว่าจะสามารถรั้งเยิ่นหว่อถิงเอาไว้ได้” ที่แท้เป็นจ่านจือ ซึ่งปลอมตัวเป็นเยิ่นหว่อถิงนั่นเอง พอเขากล่าวเช่นนั้น เยี่ยนผิงทำท่ายักไหล่อย่างมั่นใจ พร้อมกับส่งเสียงกล่าวตอบเขาไปว่า
“ข้าพเจ้าย่อมมั่นใจ ว่าจะสามารถรั้งปีศาจโสโครกผู้นั้นไว้ได้ หนึ่งด้วยความงดงามของข้าพเจ้า กับมารยาของอิสตรี มีหรือที่มันจะไม่ตกหลุมได้ สองกระบี่ในมือของข้าพเจ้า เป็นที่หมายตาของเยิ่นหว่อถิงเช่นกัน อาศัยเพียงสองสิ่งนี้ ข้าพเจ้าก็สามารถชักนำคนชั่วนั่น ให้ทำตัวดั่งลูกเหมียวเขี้ยวเล็บยังมิงอกเงย ท่านอย่าได้เป็นห่วง ต่อแต่นี้ท่านเคลื่อนไหวโดยลำพัง จงใช้สมองของท่านจัดการทุกเรื่องราว ข้าพเจ้าทราบว่าท่านแท้จริงเป็นคนเฉลียวฉลาด เพียงแต่อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า จึงแสร้งทำตัวคล้ายคนโง่งม หากข้าพเจ้าจะเลือกบุรุษผู้หนึ่งมาเป็นคู่ชีวิต ข้าพเจ้าต้องการได้คนที่เฉลียวฉลาดกว่าข้าพเจ้า ดังนั้นต่อแต่นี้ท่านอย่าได้แสแสร้งแกล้งทำตัวเช่นเดิมอีก จ่านจือท่านเข้าใจหรือไม่?”
จ่านจือเมื่อได้ยินเยี่ยนผิงกล่าวเช่นนั้น เข้าใจในวาจาของนาง สตรีตรงหน้าต้องการให้เขาแสดงความสามารถให้เต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมาเขาทำตัวเรียบง่าย ปล่อยให้นางแสดงความสามารถเหนือเขา นางแสดงความคิดเห็นเช่นไร จ่านจือก็เห็นชอบกับนางทุกเรื่องราว พอได้ยินว่านางต้องการให้เขาแสดงความสามารถอันแท้จริง มิใช่เห็นชอบ และตามใจนางทุกเรื่อง เขายิ่งรู้สึกยินดี ดังนั้นส่งเสียงกล่าวต่อนางว่า
“ข้าพเจ้าทราบแล้ว ต่อไปนี้จะแสดงให้ท่านเห็นว่า จ่านจือผู้นี้จะมิทำให้ท่านผิดหวัง และจะกระทำทุกสิ่งเพื่อปกป้องท่าน และปกป้องชาวยุทธ์ให้จงได้ เช่นนั้นข้าพเจ้าขอแสดงตัวเป็นเยิ่นหว่อถิง เข้าไปให้สองดรุณีงดงามปรนนิบัติสักหน่อยแล้ว” กล่าวจบ จ่านจือก้าวเท้าเข้าไปยังด้านในของสำนักอสูรโลกันตร์ในทันที ไม่นานให้หลังเยิ่นหว่อถิงตัวจริงพุ่งร่างกลับมา เมื่อเห็นเยี่ยนผิงยืนรอคอยอยู่ มันรีบหยุดเท้าลงแล้วกล่าวกับนางว่า
“แม่นางเยี่ยนผิง ข้าพเจ้าติดตามคนชุดดำทั้งสามไปได้ระยะหนึ่ง พวกมันทั้งสามพลันหายตัวไป แม่นางพอจะทราบหรือไม่? ว่าพวกมันทั้งสามเป็นใคร? ไฉนแม่นางจึงเกิดมีเรื่องกับพวกมันได้ ข้าพเจ้าทราบว่าแม่นางเดินทางพร้อมกับจ่านจือมิใช่ดอกรึ? แล้วมันหายหน้าไปที่ใดเสียเล่า?”
เยี่ยนผิง แสดงสีหน้าเสียใจ กวัดแกว่งกระบี่อัคคีน้ำค้างในมือไปมา พร้อมกับกล่าววาจาตอบเยิ่นหว่อถิงว่า
“ถูกต้อง ข้าพเจ้าเดินทางพร้อมกับจ่านจือ แต่ในระหว่างทาง มีคนร้ายหลายคนดักจู่โจมเล่นงานโดยมิทันตั้งตัว ถึงแม้เขาจะมีฝีมือเก่งกล้า แต่ด้วยจำนวนคนมากกว่า ทำให้เขาพลาดพลั้งถูกซัดตกหน้าผาไป มิทราบว่าจะเป็นตายร้ายดี? ตัวข้าพเจ้าเองก็ถูกสามคนชุดดำรุมทำร้ายหมายชีวิต ได้แต่สู้พลางถอยพลาง หวังแต่เพียงว่าจะสามารถคุ้มครองกระบี่อัคคีน้ำค้างเล่มนี้ ส่งคืนต่อมารดาให้ถึงมือ สามคนชุดดำหวังจะแย่งชิงกระบี่เล่มนี้ ด้วยต้องการความลับในกระบี่ พอดีข้าพเจ้าหลบหนีผ่านมาทางนี้ ยังนับว่าโชคดีที่ท่านยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มิเช่นนั้นกระบี่เล่มนี้คงถูกคนร้ายแย่งชิงไปแล้วก็ได้”
เยี่ยนผิงกล่าวจบ ชูกระบี่ในมือให้เยิ่นหว่อถิงดู มารน้อยผู้นี้เมื่อมองผ่านก็ทราบว่าเป็นกระบี่อัคคีน้ำค้าง ซึ่งเขาเองและเจ้าอสูรโลกันตร์ผู้เป็นอาจารย์ ต่างต้องการครอบครองเช่นกัน แต่ไม่แสดงอาการให้นางสงสัย ถึงเช่นไรตอนนี้ เยี่ยนผิงก็อยู่กับตน อีกทั้งกระบี่ก็อยู่ในมือเยี่ยนผิง ครั้งนี้หากเหนี่ยวรั้งตัวนางเอาไว้ มิเพียงแต่จะได้ตัวสตรีที่หมายปอง แม้แต่กระบี่เล่มนี้ก็จะต้องได้มาครอบครองเช่นเดียวกัน จึงส่งเสียงกล่าวถามต่อเยี่ยนผิงทันทีว่า
“แล้วแม่นางคิดจะกระทำเช่นไรต่อไป? นี่ก็มืดค่ำแล้ว ข้าพเจ้าว่าแม่นางพักอาศัยอยู่ที่สำนักข้าพเจ้าสักคืนก่อน พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะให้คนของข้าพเจ้าไปส่งข่าว ต่อเจ้าสำนักมารสวรรค์ อาศัยอยู่ในสำนักข้าพเจ้า รับรองว่าแม่นางจะปลอดภัย มิมีผู้ใดกล้าบุกเข้ามาแย่งชิงกระบี่เล่มนี้อย่างแน่นอน” เยี่ยนผิงลอบอมยิ้มกับตัวเอง เมื่อเห็นว่าเหยื่อกำลังตกหลุมพราง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ท่านจะให้ข้าพเจ้า พักค้างคืนในสำนักอสูรโลกันตร์ของท่าน ข้าพเจ้าเกรงว่าจะไม่เหมาะนัก เช่นไรข้าพเจ้าก็เป็นสตรี ผู้ใดเห็นเข้าข้าพเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? อีกประการหนึ่งในสำนักของท่าน มีผู้คนมากมาย ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็น ข้าพเจ้าอยู่กับท่านตามลำพัง ความจริงก็มืดค่ำแล้ว ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่าน ว่าไม่สะดวกนัก หากจะเดินทางในเวลานี้ ดีไม่ดีมีคนแย่งชิงกระบี่ไปได้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อข้าพเจ้า เรื่องนี้ท่านมีความเห็นเป็นเช่นไร?”
เยิ่นหว่อถิง เมื่อได้ยินเยี่ยนผิงกล่าวเช่นนั้น ทราบว่านางห่วงชื่อเสียง หากมีผู้ใดพบเห็นว่าอยู่กับตนในเวลาค่ำคืน ดังนั้นครุ่นคิดว่าจะใช้อุบายใด ให้นางมิต้องเดินทางจากไป พลันนึกได้ว่า ในสวนอุทยานทางทิศใต้ มีเรือนพักผ่อนส่วนตัว ซึ่งมันไม่อนุญาตให้ผู้ใดก้าวเข้าไป ดังนั้นส่งเสียงกล่าวออกไปในทันทีว่า
“เช่นนั้น ข้าพเจ้ามีข้อเสนอประการหนึ่ง ด้านทิศใต้มีเรือนพักผ่อนส่วนตัวของข้าพเจ้า หากแม่นางเกรงว่าจะมีผู้ใดพบเห็น ข้าพเจ้าจะพาแม่นางไปพักยังสถานที่นั้น รับรองว่าไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไป หากมิได้รับคำสั่งจากข้าพเจ้า จะมิมีผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปอย่างแน่นอน”
“ข้อเสนอของท่านนับว่าไม่เลว แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ไว้ใจท่านอยู่ดี หากท่านให้ข้าพเจ้าไปพักยังเรือนพักผ่อน แล้วท่านละจะพักที่ไหน?” เยี่ยนผิง ส่งเสียงกล่าวตอบต่อเยิ่นหว่อถิง พร้อมกล่าวถามว่ามันจะไปพักที่ใด
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้เป็นห่วง เรือนพักผ่อนของข้าพเจ้า มีห้องพักผ่อนอยู่มากมายหลายห้อง ข้าพเจ้าจะมอบให้ท่านห้องหนึ่ง ส่วนข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่อีกห้องหนึ่ง ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงขอให้คำมั่นว่า จะไม่ก้าวย่างเข้าไปในห้องของแม่นางโดยเด็ดขาด หากแม่นางไม่อนุญาตให้ข้าพเจ้าเข้าไป มิทราบว่าแม่นางจะตกลงหรือไม่?”
“หากจะให้ข้าพเจ้าตกลง ท่านจะต้องรับปากข้าพเจ้าก่อนสองข้อ ท่านจะว่าเช่นไร?” เยี่ยนผิงกล่าวถามเยิ่นหว่อถิงว่า นางจะตกลงหากรับปากข้อเสนอของนางสองข้อ
“แม่นางมีสิ่งใดจะให้ข้าพเจ้ารับปาก? โปรดรีบกล่าวออกมาให้ข้าพเจ้าได้รับทราบ หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงจนเกินไป ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงย่อมรับปาก” เมื่อได้ยินมารน้อยผู้นี้กล่าวเช่นนั้น เยี่ยนผิงรีบดำเนินอุบายต่อโดยทันที ส่งเสียงกล่าวกับมันว่า
“ข้อที่หนึ่งท่านต้องอยู่กับข้าพเจ้าตลอดเวลา ห้ามไปไหนแม้จะอยู่คนละห้องก็ตาม แต่ท่านต้องแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านมิได้ไปยังที่ใด? โดยปล่อยให้ข้าพเจ้าอยู่โดยลำพังโดยเด็ดขาด ข้อที่สองหลังจากฟ้าสาง ท่านต้องไปเป็นเพื่อนข้าพเจ้า เพื่อเดินทางไปค้นหาร่างจ่านจือว่าเขาพลัดตกผาไป ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? หากเขาเสียชีวิต ข้าพเจ้าต้องการจะนำร่างเขามาทำพิธีให้แก่เขา ดวงวิญญาณเขาจะได้สงบ ท่านจะยอมรับปากข้าพเจ้าได้หรือไม่? หากท่านรับปาก ข้าพเจ้าก็จะพักอาศัยอยู่กับท่าน ที่เรือนพักผ่อนของท่านสักหลายวัน”
เยิ่นหว่อถิง ได้ยินเช่นนั้น เห็นว่าเงื่อนไขของเยี่ยนผิงมิลำบากสักเท่าใด ดังนั้นแสดงสีหน้าเอาใจ แล้วกล่าวตอบนางว่า
“ตกลง ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงรับปากท่าน เช่นนั้นรีบติดตามมา ข้าพเจ้าจะพาท่านไปยังเรือนพักผ่อน ที่นั่นมีอาหารเครื่องดื่ม ท่านมิต้องกลัวลำบากแม้แต่น้อย มาเถอะรีบตามข้าพเจ้ามา” เยิ่นหว่อถิง กล่าวจบรีบเดินนำหน้า พาเยี่ยนผิงไปยังเรือนพักผ่อนส่วนตัวของมันทันที เยี่ยนผิงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก แล้วรีบก้าวเท้าติดตามเยิ่นหว่อถิงไปในทันที
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564