ตอนที่ 48
สดับรับฟังบทเพลงขลุ่ย
มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงก็มีความคิดเห็นเช่นนี้ สายตาที่จับจ้องดูการเคลื่อนไหวของจ่านจือกับเทียนจิ้ง แฝงแววตาเย้ยหยันดูถูก และคิดในใจว่าที่แท้ฝีมือของทั้งสองมีเพียงเท่านี้เองหาได้ร้ายกาจดั่งที่คาดไว้ จึงมิให้ความสำคัญอีกต่อไป คิดเช่นนั้นแล้ววกสายตากลับมาจ้องมองใบหน้าของเหยี่ยนผิง ซึ่งนางเองกำลังส่งกำลังใจต่อจ่านจืออย่างเงียบ ๆ ดังนั้นจึงไม่เห็นสายตาของเยิ่นหว่อถิงที่จ้องมองมา
ส่วนทางด้านจ่านจือกับเทียนจิ้ง ยังคงประสานท่าร่างแก้กระบวนท่ากันไปมา ต้าทงไต้ซือหันมาทางนางชีเทวราชชิ้วโส่ว แล้วแสดงออกถึงสีหน้ายินดีต่อนาง จากนั้นส่งเสียงกล่าวกับนางชีเทวราชชิ้วโส่วว่า
"อมิตพุทธ อาตมายอมรับนับถือในสายตาอันหลักแหลมของซือไถ่ยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าคลื่นลูกใหม่จะเปล่งประกายเจิดจ้าเช่นนี้ ผู้อื่นอาจจะมองว่าทั้งสองประลองคล้ายเด็กทารกละเล่นกัน แต่ซือไถ่กับอาตมาคงเห็นตรงกันว่าคนทั้งสองแก้กระบวนท่ากันไปมา จนในที่สุดมองเห็นลึกซึ้งทะลุปรุโปร่งของการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนย้ายท่าร่าง และการเคลื่อนไหวของกระบวนท่า จนกระทั่งตอนนี้เห็นได้ว่าทั้งสองไร้ซึ่งกระบวนท่า จะมีผู้ใดสักกี่คนทราบว่ากระบวนท่าที่ร้ายกาจ นั่นก็คือไร้ซึ่งกระบวนท่า หากไร้ซึ่งกระบวนท่าแล้วผู้ใดเล่าจะดูออกถึงการเคลื่อนไหวให้จู่โจม"
ส่วนขอทานพเนจรกับเจ้าสำนักฝ่ายธัมมะทั้งสาม รวมถึงเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กับเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ถึงมองไม่ลึกซึ้งเท่ากับต้าทงไต้ซือกับนางชีเทวราชชิ้วโส่ว แต่ดูออกว่าทั้งสองตั้งใจประลองโดยแท้จริง ส่วนไป่ชิงกับซื่อเหมี่ยนและเอวี้ยอี้เซินต่างภาวนาในใจ ขอให้จ่านจือสามารถเข้าไปประลองถึงยกสุดท้าย พร้อมทั้งเอาตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์มาครองให้จงได้
แต่ถึงเช่นไรก็ตามที่วิจารณ์มาทั้งหมด นั่นเป็นเพียงกระบวนท่าเท่านั้น ส่วนพลังวัตรที่นำออกมาใช้แท้จริงแล้ว จ่านจือได้ซุกงำเก็บไว้ถึงหกส่วน ดังนั้นการประลองของทั้งคู่ในตอนนี้ ซึ่งไม่อาจนับกระบวนท่าได้แล้วนั้น หากจะให้คำนวณตามระยะเวลาที่ใช้ อาจจะทะลุไปถึงพันกระบวนท่าแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นความอ่อนล้าย่อมเกิดขึ้นแก่เทียนจิ้ง
ด้านเทียนจิ้งยอมรับนับถือในฝีมือและน้ำใจของจ่านจือ กอปรด้วยเห็นถึงความตั้งใจในการที่จะช่วยเหลือชาวยุทธ์ผดุงคุณธรรม ดังนั้นจึงเก็บกระบี่แล้วแล้วตรงเข้าไปกล่าวแสดงความยินดีต่อเขาพร้อมกับให้กำลังใจว่าให้เอาชนะให้ถึงรอบสุดท้ายให้จงได้ เมื่อทั้งสองกลับเข้ามายังที่นั่งของตนแล้วเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือได้ประกาศรายชื่อผู้ที่เข้าไปประลองในรอบที่สองอันได้แก่ เยิ่นหว่อถิง เหยาเยี่ยนผิง ถู่ฝู และจ้าวจ่านจือ
เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่เป็นอาจารย์ของทั้งสี่คนที่ผ่านเข้าประลองในรอบที่สอง ต้าทงไต้ซือได้เชิญขอทานพเนจรหวงเกาฉือเป็นผู้ถือไม้สั้นไม้ยาว และให้ผู้ที่เป็นอาจารย์ของทั้งสี่เป็นผู้จับไม้สั้นไม้ยาวให้แก่ศิษย์ของตน ดังนั้นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันจึงรีบออกมาจับก่อนเป็นคนแรก ติดตามมาด้วยนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ถัดมาเป็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่วนต้าทงไต้ซือเหลือไม้สุดท้าย
เมื่อมาเทียบไม้ทั้งสี่ที่จับได้ในมือแล้วผลที่ได้คือ เยี่ยนผิงประลองกับถู่ฝู จ่านจือประลองกับเยิ่นหว่อถิงโดยคู่ของเยี่ยนผิงกับถู่ฝุจะเริ่มประลองก่อน เช่นเคยถู่ฝูไม่ขอใช้อาวุธในการประลองส่วนเยี่ยนผิงใช้กระบี่เล่มเดิมในการประลอง เมื่อได้รับสัญญาณทั้งสองก็เริ่มประลองในทันที
เยี่ยนผิงชิงโอกาสเข้าจู่โจมก่อนครั้งนี้กระบวนท่าดูรุนแรงและเกรี้ยวกราดกว่าครั้งที่ประลองกับหนานตี้มากนัก วิชากระบี่อัคคีน้ำค้างใช้ออกรวดเดียวถึงสามสิบกระบวนท่าติดต่อกัน ถู่ฝูศิษย์ของต้าทงไต้ซือมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำแข็งแรง ดวงตาดุจเหยี่ยวคิ้วหนายาวส่วนหางคิ้วปล่อยยาวเลยขมับที่นูนเด่น เวลาเคลื่อนไหวท่าร่างหางคิ้วปลิวไหวสะบัดไปมา
กรงเล็บพยัคฆ์และกรงเล็บมังกรต่างสลับใช้ออก ทั้งตะปบทั้งต่อยหมัดใช้ออกติดต่อกันถึงสามสิบกระบวนท่าเช่นกัน เยี่ยนผิงฟาดฟันกระบี่ในมือออกตำแหน่งหัวไหล่ซ้ายของถู่ฝูแต่แท้จริงเป็นท่าหลอกล่อ พอถู่ฝูยื่นมือขวาออกหมายตบขอบกระบี่นางพลันรีบดึงกระบี่คืนกลับ แล้วเสือกปลายกระบี่เข้ายังใต้ซอกแขนขวาด้วยความเร็วถึงที่สุด ถู่ฝูเห็นเช่นนั้นรีบหมุนตัวกลับ ด้านหลังหันเขาหาเยี่ยนผิงปล่อยให้ปลายกระบี่แทงผ่านใต้ซอกแขนขวามา แล้วฝ่ามือซ้ายกระแทกเข้ากับขอบกระบี่ออกไปด้านข้างพ้นตัว
เยี่ยนผิงรีบควบคุมกระบี่หมุนตัวต่ำลงกระบี่ในมือกรีดเป็นวงกว้าง เกิดเป็นประกายแปลบปลาบเข้าใส่บริเวณสะโพกของถู่ฝู มิรอช้าหลวงจีนหนุ่มเห็นเงากระบี่อยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ ลอยตัวขึ้นตีลังกาข้ามศีรษะของเยี่ยนผิงไปในขณะที่นางเปลี่ยนท่าร่างตีลังกากลับหลังตามติด กระบี่ในมือกรีดผ่านส้นเท้าของถู่ฝูไม่ถึงหนึ่งนิ้วเห็นแล้วชวนหวาดเสียว เมื่อทั้งคู่ทิ้งร่างลงสู่พื้นพร้อมกันห่างกันราวสามก้าว ได้ยินต้าทงไต้ซือแห่งเส้าหลินส่งเสียงกล่าวมาว่า
"ถู่ฝูเจ้าอย่าเสียมารยาทรีบส่งสิ่งของคืนแก่นางไป"
พอเยี่ยนผิงหมุนร่างกลับมาพบว่าในมือของถู่ฝูเพิ่มปิ่นปักผมสีมุกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งนางจดจำได้ว่าก่อนหน้านั้นปิ่นปักผมชิ้นนั้นปักอยู่บนศีรษะของตนเอง ถู่ฝูก้าวเข้ามาพร้อมกับยื่นส่งปิ่นปักผมสีมุกคืนให้แก่นางแล้วส่งเสียงกล่าววาจาต่อเยี่ยนผิงว่า
"วิชากระบี่อัคคีน้ำค้างร้ายกาจสมกับเป็นเพลงกระบี่ของสำนักมารสวรรค์ อาตมาต้องกล่าวขอขมาที่ได้ล่วงเกินหยิบฉวยสิ่งของคือปิ่นปักผมชิ้นนี้ของประสกมาโดยมิได้รับอนุญาต รับปิ่นของประสกกลับคืนไปเถอะ"
เยี่ยนผิงยื่นมือออกไปรับปิ่นปักผมกลับคืนมาแล้วรีบหมุนกายก้าวเข้ามายังที่นั่งโดยมิได้กล่าววาจาใดออกไป เป็นอันว่าการประลองระหว่างเยี่ยนผิงกับถู่ฝูฝ่ายถู่ฝูแห่งเส้าหลินเป็นผู้ชนะ ซึ่งจะผ่านเข้าไปประลองกับผู้ชนะในรอบสุดท้ายระหว่างจ่านจือกับเยิ่นหว่อถิงนั่นเอง
เสียงบรรดาชาวยุทธ์ต่างส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าผู้ใดจะผ่านเข้าไปประลองในรอบสุดท้าย ฟังจากคำวิจารณ์ที่ดังมาเข้าหูเสียงของบรรดาชาวยุทธ์ที่อยู่รอบนอก ต่างเห็นตรงกันว่าจะต้องเป็นเยิ่นหว่อถิงกับถู่ฝูอย่างแน่นอนที่จะต้องมาประลองตัดสินกันในรอบสุดท้าย
ตะวันฉายแสงแรงกล้าอยู่บนท้องนภาฟ้ากว้าง หากแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องนภาจะพบว่าดวงตะวันในยามนี้ช่างกลมโตและเปล่งรัศมีเจิดจ้าจนร้อนแรง คล้ายกับจะกล่าวบอกต่อชาวโลกหล้าว่า บัดนี้วีรบุรุษผู้กล้าที่จะนำยุทธภพให้สงบสุขได้ปรากฏขึ้นแล้ว ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดิบพอดี
แม้แสงตะวันจะร้อนแรงสักเพียงไหนสายลมจะพัดหอบผ่านไปสักพันหมื่นครั้ง แต่บนพื้นราบกลางลานประลองยังคงยืนอยู่ด้วยบุรุษสองคนหันหน้าประจันกัน หนึ่งคือบุรุษผู้ถูกขนานนามว่าเป็นจอมมารรุ่นเยาว์นามขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงบุรุษผู้นี้อยู่ในชุดยาวสีขาวล้วนสะอาดตา ในมือสะบัดพัดจีบสีเงินยวงอย่างรื่นรมย์ ชุดยาวสีขาวโบกสะบัดพลิ้วไหวไปมาท้าทายสายลมดูแล้วช่างสง่างามน่าเกรงขามยิ่งนัก
อีกหนึ่งบุรุษไร้ซึ่งชื่อเสียงเรียงนาม มีเพียงคุณธรรมน้ำใจที่ได้แสดงออกมาก่อนหน้านั้น แม้นชื่อเสียงไม่มีให้กล่าวขานร่ำลือแต่ความดีกับคุณธรรมน้ำใจนั้นบัดนี้ระบือลือเลื่องไปทั่วทั้งยุทธภพแล้ว ด้วยปากต่อปากของบรรดาขอทานทั้งแผ่นดินที่กล่าวขานต่อ ๆ กันไป บุรุษผู้นี้มีนามว่าจ้าวจ่านจือบัดนี้อาจหาญลงประลองฝีมือกับมารน้อยผู้ซึ่งสยบสามเจ้าสำนักฝ่ายธัมมะมาแล้ว
จ่านจืออยู่ในชุดรัดกุมสีเนื้อสวมทับด้วยชุดคลุมยาวสีครามอ่อน ในมือปราศจากอาวุธชนิดใด ๆ บุรุษทั้งสองมีรูปร่างใกล้เคียงกันแต่หากวิจารณ์ถึงความสง่างามและความหล่อเหลาคมคายแล้ว นับได้ว่าขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงยังมิอาจเปรียบเทียบติดกับเขาได้
รอบนี้เป็นการประลองระหว่างจ่านจือกับเยิ่นหว่อถิง ผู้ใดเป็นผู้ชนะจะได้ผ่านเขาไปประลองกับถู่ฝูแห่งเส้าหลินในรอบสุดท้าย บัดนี้ได้เวลาเริ่มการประลองแล้วทุกสายตาต่างจับจ้องมองมายังทั้งสองกลางลานประลองโดยไม่กระพริบ ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงเมื่อได้รับสัญญาณรีบชิงก้าวเท้าเข้าหาจ่านจือโดยทันที พัดจีบในมือถูกคลี่กางออกจนสุดความกว้างของตัวพัด จากนั้นกรีดพัดออกเป็นวงกว้างขนานกับพื้นเข้าใส่บริเวณคอหอยของจ่านจืออย่างอำมหิต พร้อมกับสายตาจับจ้องมองเขาคล้ายกับจะสะกดเอาไว้มิให้เคลื่อนไหวปานฉะนั้น
สายตาของจ่านจือจับจ้องมองขอบพัดจีบของเยิ่นหว่อถิงที่สั่นไหวระริกคล้ายดั่งมีชีวิต จากนั้นรีบโน้มร่างท่อนบนไปด้านหลังหลบกระบวนท่าแรกของเยิ่นหว่อถิง มารน้อยผู้นี้นับว่าผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน ส่งเสียงหัวร่ออย่างถือดีพร้อมกับวกพัดจีบกลับมาแล้ววาดซ้ายสลับขวาเป็นรูปกากบาทใส่บริเวณหน้าอกถึงท้องน้อยของเขาซึ่งอยู่ในท่าโน้มตัวไปด้านหลัง จ่านจือเห็นเช่นนั้นรีบทิ้งตัวไปด้านหลังตามสภาวะแล้วตีลังกากลับหลังไปหนึ่งตลบ
จ่านจือพอเท้าสัมผัสพื้นเห็นเยิ่นหว่อถิงพุ่งร่างตามติดในระยะกระชั้นชิด พัดจีบในมือกวัดแกว่งถี่ยิบรวดเร็วโดยมิให้เขาได้ทันตั้งตัวติด จ่านจือหาได้ลนลานตามมันไม่พุ่งฝ่ามือออกใช้ขอบฝ่ามือขวาด้านนอกปาดเฉียง ๆ เข้าใส่บริเวณขอบพัดด้านข้างของมารน้อยผู้นี้พร้อมกันนั้นก้าวเท้าออกมาอีกครึ่งก้าว ฝ่ามือที่พุ่งออกมายังไม่หมดสภาวะ เปลี่ยนจากที่ปาดขอบฝ่ามือใส่พัดจีบเป็นกระบวนท่าฝ่ามือของท่าที่สองในวิชาดาวดึงส์นามดาวเกลื่อนนภาเข้าใส่บริเวณหน้าอกของมันโดยแยบคาย
ฝ่ายมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณรีบสะบัดพัดจีบที่กางคลี่อยู่เข้าสกัดปัดป้องบริเวณหน้าอก แต่ทว่าวิชาดาวดึงส์เพียงหนึ่งท่าสามารถแปรเปลี่ยนได้สิบสองกระบวนท่าแม้จะสะบัดพัดจีบเข้าปิดป้องใช่ว่าจะรอดพ้นง่ายดาย สายตาของมันยังคงเห็นฝ่ามือของจ่านจือลอยกลาดเกลื่อนละลานเต็มท้องฟ้า เยิ่นหว่อถิงเพิ่งเริ่มกระจ่างแก่สายตาว่าด้วยเหตุใดจึงเรียกท่านี้ว่าดาวเกลื่อนนภา รีบเกร็งลมปราณขึ้นคุ้มครองกายแล้วสะบัดพัดจีบไปมาคราเดียวนับร้อยพันครั้งเข้าต้านทานฝ่ามือดาวเกลื่อนนภาของจ่านจืออย่างไม่ง่ายดายเท่าใดนัก
เมื่อต้านทานกระบวนท่าของวิชาดาวดึงส์ของจ่านจือแล้ว เยิ่นหว่อถิงชิงจู่โจมใส่เขาอีกหนด้วยกระบวนท่าเด็ดบุปผาชมจันทร์ จ่านจือเคลื่อนย้ายท่าร่างซ้ายขวาหลบหลีก จนผ่านไปหลายร้อยกระบวนท่ายังไม่มีผู้ใดเอาชนะคะคานกันได้ ดังนั้นมารน้อยหว่อถิงคิดจะรีบเผด็จศึก รีบใช้ท่าเท้าในวิชาเงาปีศาจพันร่างเก็บพัดจีบแล้วใช้ฝ่ามือออกด้วยวิชาฝ่ามืออสูรสยบโลกันตร์ ดังนั้นภาพที่เห็นในขณะนี้เยิ่นหว่อถิงคล้ายดั่งเงาปีศาจเคลื่อนย้ายเปลี่ยนตำแหน่งไปมา ส่วนฝ่ามืออสูรสยบโลกันตร์ยิ่งเปล่งอานุภาพถึงที่สุด ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งรวดเร็วและดุดันผันแปร
ฝ่ายเหล่ามารอธรรมที่ชมดูอยู่ด้านข้างต่างโห่ร้องชมเชยส่งเสียงสนับสนุนเยิ่นหว่อถิงมิขาดปาก ด้านเยี่ยนผิงอดประหวั่นพรั่นพรึงต่อท่าร่างของเยิ่นหว่อถิงแทนจ่านจือออกมามิได้ แต่ก่อนที่สถานการณ์ของจ่านจือจะตกเป็นรองวิชากระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดงที่อัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงถ่ายทอดให้ถูกนำออกมาใช้
ฝ่ามือใช้ออกด้วยวิชาดาวดึงส์เข้าต้านทานฝ่ามืออสูรสยบโลกันตร์ ส่วนท่าเท้าเคลื่อนไหวแคล่วคล่องว่องไวด้วยวิชากระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดงเข้าแก้กระบวนท่าเด็ดบุปผาชมจันทร์ของเยิ่นหว่อถิง เวลายิ่งผ่านพลังวัตรของจ่านจือยิ่งเพิ่มพูนอย่างประหลาดสายตายิ่งปราดเปรียวโสตสัมผัสทุกส่วนล้วนตื่นตัวเต็มที่มิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่รูขุมขนบนร่างยังสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวรอบข้างได้ตรงกันข้ามกับสมาธิที่สงบนิ่งดั่งน้ำในบ่อ
ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงเริ่มสับสนงุนงงต่อท่าร่างของจ่านจือ ทั้งที่เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวมาด้านข้างรีบใช้ท่าร่างในวิชาเงาปีศาจพันร่างเข้าสกัดขวางหน้าแต่ต้องพบกับความว่างเปล่า สร้างความแตกตื่นถึงกับปรากฏเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามรูขุมขนท่าร่างของจ่านจือในขณะนี้นับได้ว่าทำความเข้าใจถึงไร้ซึ้งกระบวนท่าเคลื่อนไหวแต่มิเคลื่อนไหว
ความสามารถนี้จ่านจือสามารถทำความเข้าใจได้ตอนประลองฝีมือกับเทียนจิ้งในรอบแรกนั่นเอง เทียนจิ้งเองก็เข้าใจเคล็ดความนี้ภายหลังจ่านจือไม่นานเท่าใดนัก นับว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์อีกผู้หนึ่งที่น่าจับตามอง
บัดนี้ทางฝ่ายของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันผู้เป็นอาจารย์ของเยิ่นหว่อถิงถึงกับไม่อาจยืนสงบนิ่งอยู่กับที่ได้ สายตาที่มองลอดผ่านช่องหน้ากากแสดงให้เห็นถึงความกริ้วโกรธต่อจ่านจือออกมา ไม่เพียงแต่เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเท่านั้นบรรดายอดฝีมือฝ่ายมารอธรรมทั้งหลายในตอนนี้เริ่มแสดงอาการกระสับกระส่ายร้อนรน ต่างเริ่มไม่แน่ใจว่าขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงจะสามารถเอาชนะจ่านจือได้ ภายในใจของทุกคนต่างเริ่มมีคำถามขึ้นว่า บุรุษไร้ชื่อเสียงที่เพิ่งปรากฏชื่อและตัวตนขึ้นในยุทธภพผู้นี้แท้จริงแล้วมีประวัติความเป็นมาเยี่ยงไรกันแน่
ส่วนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนยังคงนั่งสงบนิ่งสีหน้าแสดงความประหลาดยากคาดเดา เมื่อเห็นจ่านจือประสานวิชาดาวดึงส์กับวิชากระสวยฟ้าตาข่ายด้ายแดงเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียนแทบจะเป็นไปได้ หรือว่าเจ้าโอสถสายเส้าเยี๊ยะเทียนเองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะมีฝีมือรุดหน้ามากมายถึงปานนี้
ความจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะท่านไม่ทราบมาก่อนว่า ขอทานพเนจรหวงเกาฉือได้กรุยจุดชีพจรและเปลี่ยนเส้นทางการเดินลมปราณให้แก่จ่านจือ พร้อมกับถ่ายทอดพลังวัตรของท่านให้กับเขาด้วยส่วนหนึ่ง แถมยังได้รับการถ่ายทอดวิชาของอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงอีก
กลางลานประลองในตอนนี้ภาพที่เห็น ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงถอยหลังมาตั้งหลักหลังจากเร่งเร้าพละกำลังเข้าพัวพันต่อจ่านจือหมายปิดฉากให้เร็วที่สุดจนสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมิใช่น้อย แต่ยิ่งเพิ่มพละกำลังเสริมสร้างพลังลมปราณออกมาเท่าใด คล้ายกับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับจ่านจือมากขึ้นเท่านั้น นับว่าจ่านจือเป็นอัจฉริยะบุคคลทางวิชาบู๊อย่างแท้จริง อาศัยคู่มือที่ร้ายกาจอย่างเยิ่นหว่อถิงในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับตนเอง การพัฒนาฝีมือต้องผ่านการฝึกฝนแต่การฝึกปรือโดยลำพังยากนักที่จะได้ประสบการณ์เช่นนี้
ในยามนี้จ่านจือรู้สึกปลอดโปร่งไร้เรื่องราว ลมหายใจต่อเนื่องมิติดขัดไม่มีอาการเหนื่อยหอบแสดงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อยนิด ต่างกับขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงบัดนี้ปรากฏหยาดเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผาก รูจมูกทั้งสองขยายออกกว้างจนเห็นได้ชัด หลังจากถอยหลังมาตั้งหลักห่างจากจ่านจือห้าหกก้าวพลางลอบส่งสายตามาทางด้านเจ้าอสูรโลกันตร์ผู้เป็นอาจารย์โดยไร้พิรุธ จากนั้นเอ่ยวาจาต่อจ่านจือขึ้นว่า
"คิดไม่ถึงว่าข้าพเจ้าขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงจะดูท่านผิดพลาดไป แต่การประลองมิได้ตั้งกติกาเอาไว้ว่าการเอาชนะต้องใช้วิธีการใดเข้าชิงชัย ข้าพเจ้าเองวันนี้มีอารมณ์ครื้นเครงอยากสนุกสนานเพื่อเป็นการต้อนรับท่าน ข้าพเจ้าจะบรรเลงบทเพลงให้ท่านฟังเพื่อผ่อนคลาสักเพลงสองเพลง คิดว่าท่านเองคงชื่นชอบและมิต้องกล่าวขอบคุณต่อข้าพเจ้าออกมาก็ได้ บทเพลงนี้มีชื่อว่าบทเพลงคร่าวิญญาณหรือเรียกว่าบทเพลงอสูรโลกันตร์คร่าวิญญาณก็นับว่าถูกต้อง มิว่าผู้ใดจะเรียกหาบทเพลงนี้ว่ากระไรแต่ความไพเราะหาได้แตกต่างกันไม่"
จ่านจือได้ยินเช่นนั้นคาดเดาไม่ออกว่าเยิ่นหว่อถิงจะบรรเลงบทเพลงที่กล่าวชื่อถึงมาเพื่อการสิ่งใด เขาอาศัยอยู่กับแม่บุญธรรมตั้งแต่เล็กมาจนเติบใหญ่ไม่เคยฟังเพลง ดังนั้นจึงไม่เข้าใจท่วงทำนองดนตรีมาก่อน เมื่อได้ยินเยิ่นหว่อถิงกล่าวเช่นนั้นจึงรีบกล่าวตอบสวนออกไปว่า
"เรียนต่อท่านตามตรงข้าพเจ้าจ่านจือไม่รู้เรื่องดนตรีและไม่เคยฟังมาก่อน ในเมื่อท่านมีน้ำใจจะบรรเลงบทเพลงที่ว่าให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อไม่เป็นการทำลายน้ำใจของท่าน ข้าพเจ้าจะขอรับฟังดูสักคราก็ไม่เป็นการเสียหายนักขอบคุณท่านยิ่งแล้ว"
พอจ่านจือกล่าวจบทางด้านฝั่งของเจ้าสำนักฝ่ายธัมมะทั้งสามรู้ทราบได้ทันทีว่ามารน้อยผู้นี้จะกระทำการใด จ่านจือไม่ทราบมาก่อนว่าในยุทธภพนี้มีบทเพลงที่สามารถคร่าวิญญาณผู้คนได้ ดังนั้นจึงมิได้แสดงอาการวิตกหรือหวาดหวั่นออกมา ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณได้ยินจ่านจือตอบกลับมาเช่นนั้น เผยอยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วรีบดึงขลุ่ยเงินยาวฟุตครึ่งที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา จากนั้นส่งเสียงต่อบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายว่า
"บทเพลงคร่าวิญญาณ ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงตั้งใจจะมอบแก่คู่ประลองของข้าพเจ้า หากว่าท่านใดมิอยากรับฟังก็จงรีบถอยออกไปให้ไกลห่าง แต่ทว่าผู้ใดอยากสนุกสนานมีอารมณ์สุนทรีอยากอยู่ร่วมรับฟังข้าพเจ้าบรรเลง ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงก็มิหวงแหนต่อบทเพลงของข้าพเจ้าแต่ประการใด"
พอเยิ่นหว่อถิงกล่าวจบบรรดาชาวยุทธ์ที่มีพลังวัตรอ่อนด้อยต่างรีบพากันถอยร่นออกมาตั้งหลักเพื่อให้รอดพ้นจากรัศมีของเสียงขลุ่ยเงินของมันในการบรรเลงบทเพลงคร่าวิญญาณ ส่วนทางด้านศิษย์ของเจ้าสำนักต่าง ๆ รีบหาสิ่งของมาอุดหูเพื่อลดสภาวะของคลื่นเสียงของบทเพลงคร่าวิญญาณของมารน้อยผู้นี้ ยอดฝีมือที่เหลือต่างเตรียมเกร็งลมปราณขึ้นคุ้มครองโสตสัมผัสการรับรู้โดยทันที
เยี่ยนผิงอดรนทนดูไม่ไหวอีกต่อไปรีบสะกิดเท้าพุ่งร่างเข้าหาจ่านจือกลางลานประลอง แล้วส่งเสียงกล่าวต่อเขาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยโดยไม่สนใจต่อสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาความว่า
"จ่านจือท่านคงยังมิทราบ บทเพลงคร่าวิญญาณเป็นบทเพลงอันล้ำลึกพิสดาร ท่านอย่าได้ประลองสืบต่อไปอีกเลย ได้โปรดวางมือยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้มิเช่นนั้นข้าพเจ้าเกรงว่าท่านมิอาจรักษาชีวิตรอด หากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะกระทำเช่นไร? หากท่านยอมถอนตัวครั้งนี้ต่อไปภายหน้าข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจะยอมเชื่อฟังวาจาท่านทุกอย่าง ไม่สร้างความลำบากแก่ท่านอีกต่อไปจ่านจือต้องเชื่อวาจาของข้าพเจ้า"
จ่านจือได้ยินเยี่ยนผิงกล่าววาจาออกมากิริยาแววตาท่าทางในครั้งนี้ล้วนแสดงออกจากความรู้สึกอันเที่ยงแท้และจริงใจ มิได้เสแสร้งแกล้งทำหรือมีเล่ห์เหลี่ยมแต่ประการใด สายตาที่จับจ้องใบหน้าของเขาสร้างความประทับใจแก่จ่านจือยิ่งนัก แต่ด้วยปณิธานที่ตั้งใจจะสร้างความสงบสุขให้แก่ยุทธภพ เกิดเป็นลูกผู้ชายอันองอาจผ่าเผยจะให้ยินยอมวางมือยอมแพ้โดยที่ยังมิได้พิสูจน์เขาหากระทำได้ ดังนั้นจึงส่งเสียงตอบเยี่ยนผิงออกไปว่า
"เยี่ยนผิงข้าพเจ้าจ่านจือขอขอบคุณในน้ำใจของท่านและความหวังดีที่เป็นห่วงข้าพเจ้า แต่หากข้าพเจ้ากระทำเช่นนั้นจริงต่อไปภายหน้าหากต้องเผชิญกับอุปสรรคแล้วข้าพเจ้ารีบยอมแพ้โดยที่ยังมิได้ลงมือแก้ไขพิสูจน์จะถือเป็นลูกผู้ชายชาตรีอยู่ได้เช่นไร? มิสู้ให้ข้าพเจ้าตายเสียย่อมประเสริฐกว่าหากจะต้องยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้ลงมือพิสูจน์"
เยี่ยนผิงได้ยินเช่นนั้นทราบว่าไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของจ่านจือได้ ดังนั้นจึงคิดว่าเขากล่าวมาก็มีส่วนถูกตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่แม้แต่ตนก็ไม่เคยยอมแพ้สิ่งใดมาก่อนเช่นกันหากยังมิได้ลงมือกระทำให้กระจ่างเสียก่อน ดังนั้นจึงแสดงความมั่นใจต่อจ่านจือออกมาแล้วกล่าววาจาต่อว่า
"หากเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าก็ขอเป็นกำลังใจให้ท่าน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นข้าพเจ้าเยี่ยนผิงจะอยู่เคียงข้างท่าน ขอท่านจงอย่ายอมแพ้ข้าพเจ้าจะไปรอท่านทางด้านโน้นโปรดถนอมตัวด้วย"
"ข้าพเจ้าทราบแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังเป็นอัดขาด"
พอจ่านจือกล่าวจบเยี่ยนผิงก้าวเท้ากลับมายังริมลานประลองด้านข้าง หลังจากนั้นได้ยินเสียงเพลงเริ่มส่งเสียงคลอเคล้าแผ่วเบานุ่มนวลฟังแล้วรู้สึกเคลิบเคลิ้มชวนหลงใหล เป็นบทเพลงอันแสนนุ่มนวลไพเราะเสนาะหูชื่อว่าเพลงกล่อมจิตทุกคนในลานชุมนุมต่างรู้สึกถึงความไพเราะของบทเพลงจนจับจิตจับใจ หากทว่ามิได้เกร็งพลังลมปราณขึ้นต้านทานคงจะต้องพากันเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปต่อบทเพลงของเยิ่นหว่อถิงไปแล้ว
เยิ่นหว่อถิงบรรจงไล่นิ้วไปตามด้ามขลุ่ยอย่างชำนาญมิมีผิดเพี้ยน จากท่วงทำนองหนึ่งไปอีกทำนองหนึ่งสลับสับเปลี่ยนไปมาจนผ่านบทเพลงไปถึงห้าบทเพลง หากเป็นผู้ที่มีพลังกำลังภายในอ่อนด้อยป่านนี้คงคลุ่มคลั่งเสียสติไปแล้ว ดีที่ว่าเหล่าศิษย์ของเจ้าสำนักทั้งหลายต่างอุดหูเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว จนมาถึงบทเพลงที่หกชื่อว่าเพลงสลายวิญญาณอันเป็นท่วงทำนองอันบ้าคลั่งเร้าร้อนรุนแรง
เหล่ายอดฝีมือเองในตอนนี้ต่างรับรู้ได้ว่าเป็นบทเพลงอันร้ายกาจ สมกับชื่อบทเพลงคร่าวิญญาณโดยแท้จริง ถึงจะมีพลังยุทธ์สูงส่งหากเยิ่นหว่อถิงยังคงบรรเลงบทเพลงต่อไปเห็นทีคงมิอาจจะต้านทานไหว ขณะที่เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายต่างมีความคิดเช่นนั้นโดยลืมไปว่ายังมีจ่านจืออีกผู้หนึ่ง พอนึกขึ้นได้ดังนั้นต่างรีบหันไปยังร่างของเขาโดยพร้อมเพรียงกัน
ภาพที่เห็นจ่านจือยังคงยืนสงบนิ่งไร้เรื่องราวหาได้มีปฏิกิริยาใดต่อบทเพลงคร่าวิญญาณของเยิ่นหว่อถิงไม่ ทำเอาสร้างความแตกตื่นแก่เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายแต่ผู้ที่แตกตื่นยิ่งกว่ากลับเป็นเยิ่นหว่อถิงกับเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน
ที่ผ่านมาผู้ที่ได้ยินบทเพลงคร่าวิญญาณแม้เพียงไม่ถึงครึ่งเพลง ต่างต้องตกอยู่ในอำนาจของบทเพลง อยู่ที่ท่วงทำนองของบทเพลงจะนำพาไป หากเป็นบทเพลงที่นุ่มนวลก็จะตกอยู่ในห้วงภวังค์ดั่งอยู่ในความฝัน มาตรแม้นเป็นห้วงทำนองอันโศกซึ้งเศร้าโศกโศกาอาดูรก็จะตกอยู่ในความซึมเศร้าหมดอาลัย ไม่มีอันกระทำเรื่องราวใดได้ ที่ร้ายกาจที่สุดคือทำนองที่หนักแน่นร้อนแรงบ้าคลั่ง ทำนองนี้ทำให้ผู้คนคลุ้มคลั่งเสียสติได้ บ้างก็ลงมือทำร้ายกันเองแม้แต่ตนเองก็ไม่ละเว้น ดั่งที่พรรคไผ่หลิวเคยประสบพบมาแล้วถึงหนึ่งร้อยสิบชีวิตนั่นเอง
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564