ตอนที่ 43
ชุมนุมชาวยุทธ์เสียวลิ้มยี่
ผู้ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเรียกหาว่าน้องรองคือเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ที่แท้ในอดีตคนผู้นี้มีฉายาว่าภูผาผลักเมฆาศิษย์คนที่สองของสำนักตำหนักหมื่นเทพนั่นเอง ส่วนผู้ที่ถูกเรียกหาว่าน้องห้าคือนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ในอดีตก่อนสำนักแห่งนี้ล่มสลายนางมีฉายาว่าอัคคีสวรรค์เป็นศิษย์คนที่ห้านั่นเอง
ส่วนศิษย์คนที่สามกับสี่ของสำนักตำหนักหมื่นเทพ ศิษย์คนที่สามมีฉายาว่าเทพธิดาชินแสนั่นคือนางชีเทวราชชิ้วโส่วนั่นเอง ส่วนศิษย์คนที่สี่มีฉายาว่าวายุล่องลอยซึ่งก็คือเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยซึ่งเดินทางร่วมกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน บรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายที่อยู่บริเวณงานชุมนุมต่างเพ่งมองคนทั้งสี่ด้วยความสนใจ ขาดแต่เพียงนางชีเทวราชชิ้วโส่วผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นศิษย์ของสำนักตำหนักหมื่นเทพซึ่งยังไม่ปรากฏตัวออกมา
เมื่อได้ยินเจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวถามว่าทั้งสองสุขสบายดีหรือไม่ เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันจึงส่งเสียงลอดผ่านหน้ากากอสูรกล่าวตอบออกไปว่า
“ข้าพเจ้าหม่าถิงอันที่ผ่านมาสุขสบายดี นึกไม่ถึงว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก มิทราบว่าพี่ใหญ่ไปทำกระไรอยู่ที่ใด? ที่ผ่านมาจึงไม่ระแคะระคายข่าวคราวของพี่ใหญ่แม้แต่น้อย ออน้องสี่ท่านมาด้วยที่ผ่านมาสามารถปกปิดร่องรอยได้มิดชิดนัก แม้ข้าพเจ้าจะพยายามให้คนสืบหาร่องรอยแต่ไม่เคยทราบเบาะแสของท่านแม้แต่น้อยเฉกเช่นเดียวกันกับพี่ใหญ่ มิทราบว่าพวกท่านทั้งสองสุขสบายดีหรือไม่?”
ยังมิทันที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกับเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยจะได้ตอบคำถามออกไป นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนชิงกล่าววาจาสอดขึ้นก่อนว่า
“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าพเจ้าคิดว่าพี่สี่สุขสบายดี ที่ผ่านมาท่านทั้งสองไม่เคยเสาะหาข่าวคราวของข้าพเจ้า มีเพียงพี่รองเพียงผู้เดียวที่ยังเป็นห่วงศิษย์ร่วมสำนักผู้นี้อยู่ หรือว่าพวกท่านทั้งสองยังโกรธเคืองเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตมิคลาย นอกจากยังโกรธแค้นข้าพเจ้าแล้วท่านทั้งสองยังคงไม่หายแค้นเคืองต่อพี่รองด้วยถูกต้องหรือไม่?”
พอนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนกล่าวจบ เจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยก้าวเท้าออกมาด้านหน้าแล้วส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“พี่รอง น้องห้า นี่ล่วงเลยมาถึงยี่สิบปีเรื่องราวในอดีตข้าพเจ้าว่าอย่าได้กล่าวถึง หากสามารถที่จะลืมเลือนไปได้จงลืมมันไปเถิด ข้าพเจ้าเองได้ลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปหมดสิ้นแล้ว ได้พบกันอีกครั้งทราบว่าทุกคนสุขสบายดีข้าพเจ้าเองรวมถึงพี่ใหญ่ล้วนรู้สึกยินดียิ่งนัก จะมีแต่พี่สามป่านนี้ยังไม่ปรากฏตัว ผู้ที่พี่ใหญ่กับข้าพเจ้ารู้สึกเป็นห่วงมากที่สุดคือนาง แต่ทราบมาว่าพี่สามถือศีลก่อตั้งอารามเก็บตัวมิยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวชาวยุทธ์มาช้านานแล้ว เป็นห่วงอยู่เรื่องหนึ่งในอดีตพวกเราทุกคนต่างมีส่วนทำให้นางถูกชาวยุทธ์หยามเหยียด ในที่สุดทนความอัปยศไม่ไหวจำต้องปลงผมออกบวช คิดแล้วข้าพเจ้ายังรู้สึกสำนึกเสียใจต่อเรื่องราวเหล่านั้นมิได้”
“ฮาฮา กล่าววาจาถึงผู้อื่นลับหลังไฉนมิสู้รอให้ผู้ที่พวกท่านกล่าวหามาถึงก่อนเล่า? เช่นนี้จะยึดถือหรือเรียกหาว่าเป็นผู้กล้ามีหน้ามีตาในยุทธภพได้เช่นนั้นรึ”
สิ้นเสียงเจ้าของร่างสีขาวเจิดจ้าพลันปรากฏกายขึ้นแล้วเหินร่างลงใกล้ ๆ กับคนทั้งสี่ พอเท้าสัมผัสพื้นโบกสะบัดแส้สีขาวดั่งเส้นไหมไปมาแล้วเสียบเก็บไว้กลางหลัง จากนั้นก้าวเดินเข้ามาหาคนทั้งสี่อย่างไม่รีบเร่งใจเย็น คนทั้งสี่เห็นเช่นนั้นส่งเสียงเรียกโดยพร้อมเพรียงว่า
“น้องสาม พี่สาม”
ผู้ที่เหินร่างมาอย่างนิ่มนวลไม่มีสะดุดเป็นนางชีเทวราชชิ้วโส่วนั่นเอง ท่าร่างที่เหินมาแม้แต่ต้าทงไต้ซือเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินยังอดลอบตื่นเต้นยินดีออกมามิได้ คาดคิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ใช้วิชาตัวเบาได้ยอดเยี่ยมสูงส่งถึงเพียงนี้ ท่านเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือรีบก้าวเดินเข้าหาคนเหล่านั้นเพื่อต้อนรับ ได้ยินนางชีเทวราชชิ้วโส่วเอ่ยวาจาดังว่า
“พวกท่านมิต้องลำบากเรียกหาข้าพเจ้าเป็นพี่น้องกับพวกท่าน ตอนนี้ข้าพเจ้าคือนางชีมีฉายาว่านางชีเทวราช พวกท่านก็เรียกหาข้าพเจ้าตามนี้ย่อมไพเราะเสนาะหูกว่าคำเรียกหาเป็นน้องพี่ ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเก็บตัวปฏิบัติธรรมถือศีลมีความเป็นอยู่สุขสบายดีมิทุกข์ร้อน ที่ข้าพเจ้าบอกกล่าวด้วยเกรงว่าพวกท่านจะเอ่ยถามให้ลำบากเสียเปล่า ๆ หากมิมีตัวบัดซบแอบอ้างชื่อข้าพเจ้าเคลื่อนไหวสกปรกโดยมิละอายให้บัดสี มันผู้นั้นบังอาจหยิบยืมนามผู้อื่นก่อกรรมทำเข็ญกล้าทำแต่มิกล้ารับถือว่าขี้ขลาดตาขาว แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าไม่นานเท่าใดนักมันผู้นี้จะต้องยืดหัวโผล่หางออกมา เมื่อถึงเวลานั้นข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วจะคิดบัญชีกับมันอย่างสาสม”
นางชีเทวราชชิ้วโส่วใช้วาจากล่าวตีวัวกระทบคราดเหวี่ยงก้อนดินหยั่งทางเดิน ด้านหนึ่งลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนรอบข้างโดยสีหน้ายังคงวางเฉยเหมือนไร้เรื่องราวใด พอดีเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือก้าวมาถึงพอดี ท่านพนมมือทั้งสองขึ้นแล้วกล่าววาจาเนิบนาบแก่คนทั้งหมดว่า
“ประสกทั้งหลายรวมทั้งท่านผู้มีศีล เดินทางจากกันหลายหมื่นลี้ยังมีวาสนาได้พบพาน หนทางแม้กันดารหากแม้นพากเพียรก็บรรลุ ทิฐิความโกรธความแค้นชิงชังหากรู้จักปล่อยวางลงบ้างย่อมประเสริฐ ท่านทั้งหลายอย่ามัวโต้เถียงกันอยู่เลยเชิญท่านทั้งหลายทางด้านนี้จะดีกว่า อาตมาได้จัดสถานที่เอาไว้ต้อนรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
เจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือกล่าววาจาจบแล้วรีบเชื้อเชิญคนทั้งหมดเข้ามานั่งยังโต๊ะรับรองที่จัดเตรียมเอาไว้ ดังนั้นคนทั้งหมดจึงแยกย้ายมานั่งตามโต๊ะที่จัดเตรียมแยกแต่ละสำนัก เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้วด้านหน้ามีอีกสี่คนกำลังก้าวเดินเข้ามา เจ้าอาวาสพร้อมกับศิษย์รีบเดินออกไปต้อนรับโดยมิชักช้า ผู้ที่มาถึงเป็นสามสำนักมารอธรรมชื่อเสียงเป็นที่น่าพรั่นพรึงในอดีตนั่นเอง
ผู้ที่เดินนำหน้ามาเป็นเจ้าสำนักอินทรีขาวฉายาอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง อีกสองคนคือยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกับตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินทั้งสองเป็นเจ้าสำนักอสรพิษดำ ด้านหลังสุดเป็นเจ้าสำนักฝ่ามือโลหิตฉายาหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย เมื่อเจ้าอาวาสเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่งประจำโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดต่างนั่งจิบน้ำชากันโดยมิมีผู้ใดปริปากซักถามพูดคุย
ส่วนด้านหน้าและบริเวณโดยรอบบรรดาชาวยุทธ์ท่านอื่น ๆ ต่างทยอยเดินทางขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย นอกจากนั้นยังมีบรรดามือดีของแต่ละสำนักที่มิได้เข้ามานั่งในงานต่างยืนประจำทิศทางและตำแหน่งด้านนอกที่ได้วางเอาไว้คล้ายคุมเชิงซึ่งกันและกัน
ไม่นานนักมีผู้คนปรากฏกายขึ้นมาอีกสี่คน คนที่ก้าวเดินนำหน้ามาเป็นดรุณีที่งดงามปานเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ ตามติดมาด้วยบุรุษอีกสามคนเมื่อเข้ามาใกล้คนที่เดินนำหน้าเป็นเยี่ยนผิงนายน้อยแห่งสำนักมารสวรรค์นั่นเอง ด้านหลังของนางติดตามมาด้วยมารนภาหม่าจิ้งเถากับมารธุลีต้าเอ่อคา คนหลังสุดอายุเยาว์ไล่เลี่ยวัยเดียวกับนางมีชื่อว่าเฉาลู่ฟาง ทั้งหมดเมื่อเดินเข้ามาภายในบริเวณงาน ด้วยความงามของเยี่ยนผิงทำเอาผู้คนภายในสถานที่แห่งนั้นหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน คนผู้หนึ่งเมื่อแลเห็นรีบลุกขึ้นแล้วปรี่เข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยกล่าววาจาต่อนางว่า
“แม่นางเยี่ยนผิงในที่สุดท่านเดินทางมาถึงแล้ว เพิ่งเดินทางมาถึงคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงจะพาท่านไปนั่งพักผ่อนให้หายเหน็ดเหนื่อย เชิญแม่นางเยี่ยนผิงทางด้านนี้”
ผู้ที่กล่าววาจาแสดงท่าทางอย่างอวดโอ่ทำตัวคล้ายกับสนิทสนมกับเยี่ยนผิงเป็นอย่างดี เยี่ยนผิงนางมิต้องการเป็นเป้าสายตาของเหล่าบรรดาชาวยุทธ์ จึงรีบก้าวเดินตามมันไปโดยมิได้กล่าววาจาแต่อย่างใด เมื่อเดินเข้าไปมองเห็นนางมารเยือกเย็นมารดานั่งอยู่กับท่านน้าอั้งเซี๊ยะเปา จึงรีบก้าวเข้าไปหาแล้วเรียกหามารดาด้วยความยินดี
“มารดา”
“เยี่ยนผิง”
เมื่อเยี่ยนผิงส่งเสียงเรียกมารดานางมารเยือกเย็นเองส่งเสียงเรียกบุตรีเช่นกัน แล้วทั้งสองโผเข้าสวมกอดกันเพราะมิได้เจอะเจอกันเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นทั้งนางมารเยือกเย็นกับเยี่ยนผิงต่างนั่งลงเพื่อรอดูว่าจะมีผู้ใดเดินทางมาอีกหรือไม่
สำหรับเยี่ยนผิงแล้วผู้ที่นางต้องการพบหน้ามากที่สุดในขณะนี้มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นจ่านจือนั่นเอง ป่านนี้ไม่ทราบว่าถูกอัปลักษณ์อาภรณ์แดงหอบหิ้วไปยังสถานที่แห่งใด แล้ววันนี้เขาจะมาร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ด้วยหรือไม่ นางสอดส่ายสายตามองออกไปไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ด้านหนึ่งอดรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมามิได้ มิทราบว่าอัปลักษณ์อาภรณ์แดงที่แท้นางเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่
ยามซิ้ง(ราวแปดนาฬิกา) ภายในงานชุมนุมชาวยุทธ์ดูคึกคักอักโข บรรดาชาวยุทธ์และผู้กล้าต่างเดินทางมาจากทั่วสารทิศ บนโต๊ะล้วนจัดวางด้วยอาหารซึ่งทุกจานล้วนปรุงมาจากผักกับเต้าหู้ ส่วนเครื่องดื่มเป็นน้ำชาชั้นดีที่ผ่านการชงใหม่ ๆ ทุกคนต่างนั่งรอคอยให้ถึงเวลาเริ่มงาน ตามหมายกำหนดการอีกครึ่งชั่วยามจะถึงกำหนดเวลาเริ่มงานแล้ว
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของแต่ลำสำนักต่างเพิ่งจะทราบว่าที่แท้อาวุโสเหล่านั้น ในอดีตเคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันมาก่อน พวกเขาต่างส่งเสียงสนทนากับเบา ๆ ตามประสาหนุ่มสาว แต่เรื่องหนึ่งที่สงสัยกระวนกระวายใจว่าไฉนป่านนี้จ่านจือจึงยังไม่ปรากฏตัว
ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งรอคอยเวลาเริ่มงานต่างสนทนาพูดคุยถึงสารทุกข์สุกดิบในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีเพียงนางชีเทวราชชิ้วโส่วที่ปลีกตัวออกมานั่งเพียงลำพัง ดูท่าทางของนางชีเทวราชชิ้วโส่วกำลังใช้ความคิดบางประการอย่างตั้งอกตั้งใจ มีบางช่วงบางคราวนางยกมือขึ้นมานับนิ้วอยู่ไปมา ปากของนางขยับขมุบขมิบเหมือนกำลังนับหรือคำนวณอะไรบางประการอยู่กระนั้น
แล้วจู่ ๆ นางชีเทวราชชิ้วโส่วพลันร้องอุทานออกมาเบา ๆ คล้ายกับรับทราบสิ่งใด แต่ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นประกายสายตาของนางบ่งบอกว่ารับทราบเรื่องราวหรือเหตุการณ์อะไรบางประการ จากนั้นนางชีเทวราชชิ้วโส่วพลันหลับตาลงพลางลอบกำหนดลมปราณส่งคลื่นเสียงไกลหมื่นลี้ออกไป แต่มิอาจทราบได้ว่านางส่งสัญญาณใดออกไปและส่งสัญญาณไปถึงผู้ใด
เวลาล่วงเลยผ่านไปครึ่งชั่วยามในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยมาถึง เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือก้าวออกมาตรงกลางพื้นกว้างกลางงาน ระหว่างซีกของฝ่ายธัมมะกับฝ่ายมารอธรรม แล้วท่านจึงยกมือด้านที่มิได้ถือไม้เท้าพระธรรมขึ้นจรดแนบชิดติดปลายคางพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย จากนั้นส่งเสียงกล่าวออกไปได้ยินทั่วบริเวณงานความว่า
“ท่านผู้กล้าทั้งหลายรวมถึงเหล่าบรรดาชาวยุทธ์ทุกท่าน อาตมาต้าทงไต้ซือเป็นเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลิน มีความยินดียิ่งนักที่ในวันนี้ท่านทั้งหลายได้ให้เกียรติเดินทางมาร่วมงานโดยพร้อมเพรียง เหตุผลสำคัญที่จัดงานชุมนุมชาวยุทธ์ในครั้งนี้หนึ่งเพื่อเฟ้นหาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาเป็นผู้นำชาวยุทธ์นั่นเอง เพื่อจะได้นำพายุทธภพให้สงบสุขสืบไปในภายภาคหน้า สองที่ผ่านมาท่านทั้งหลายคงทราบกันดีว่ามีผู้ถูกฆ่าตายด้วยฝ่ามือลึกลับอำมหิต จนกระทั่งบัดนี้นับไปผ่านมาถึงห้าปีแล้วยังไม่อาจหาตัวฆาตกรได้ ดังนั้นในวันนี้อาตมาจึงได้ให้ท่านทั้งหลายส่งตัวแทนออกมาสำนักละหนึ่งคน แล้วให้ท่านทั้งหลายลงความเห็นว่าผู้ใดมีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ต่อจากอาตมา”
เจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือเว้นจังหวะเล็กน้อย ขณะนี้บรรยากาศภายในงานพลันอื้ออึงได้ยินเสียงพูดจาสนทนากันดังเซ็งแซ่ต่างเสนอชื่อผู้ที่ตนให้การสนับสนุน ได้ยินฟากของสำนักมารสวรรค์กับสำนักอสูรโลกันตร์พูดคุยกันว่า
“ท่านเจ้าสำนักครั้งนี้ฝ่ายเราส่งท่านเป็นตัวแทนในครั้งนี้ ส่วนสำนักอสูรโลกันตร์ส่งเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันเป็นตัวแทนดั่งที่เคยหารือกันเอาไว้ หากได้รับเสียงสนับสนุนจากสำนักอสรพิษดำ สำนักฝ่ามือโลหิต และสำนักอินทรีขาว นอกจากนั้นราชสำนักหมู่ตึกกระเรียนฟ้าให้การสนับสนุนท่าน มิว่าท่านหรือเจ้าอสูรโลกันตร์มีโอกาสเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับกติกาว่าใช้สิ่งใด?มาตัดสินเลือกผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ ท่านเจ้าสำนักมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
ผู้ที่กล่าววาจาเป็นกุนซือนามอั้งเซี๊ยะเปา ซึ่งเป็นมือขวาคนสนิทของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนนั่นเอง ฝ่ายเยี่ยนผิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นรีบกล่าวสนับสนุนคำพูดของท่านน้าขึ้นทันทีว่า
“ใช่แล้วมารดาเยี่ยนผิงเห็นด้วยกับท่านน้า หากท่านเป็นตัวแทนของฝ่ายเราลงแข่งขัน ข้าพเจ้าคิดว่าไม่มีผู้ใด สามารถมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับท่านได้อย่างแน่นอน”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนเมื่อได้รับฟังคำพูดของอั้งเซี๊ยะเปากับเยี่ยนผิง นางรีบส่งเสียงกล่าวตอบพลางหันไปทางเจ้าอสูรโลกันตร์และทางสำนักอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ที่นั่น
“พวกเจ้าทั้งสองมิรอให้ท่านเจ้าอสูรโลกันตร์กับสำนักอื่น ๆ เสนอความคิดเห็นก่อนหรืออย่างไร ถึงแม้ข้าจะเป็นตัวแทนลงแข่งขันร่วมกันกับเจ้าอสูรโลกันตร์ หากได้รับเสียงสนับสนุนเท่าเทียมกันสุดท้ายต้องตัดสินผลแพ้ชนะกันด้วยการประลองยุทธ์อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นไม่ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายชนะถือว่าเป็นฝั่งเราหาใช่ฝ่ายธัมมะ ดังนั้นข้าจึงมีความเห็นว่าขอให้เป็นคนของฝั่งเราถือว่าใช้ได้”
กล่าวจบนางมารเยือกเย็นหันไปทางเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน พร้อมกับกล่าววาจาสืบต่อโดยทันทีว่า
“พี่รองท่านเองในความเห็นของข้าพเจ้า ท่านมีความเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าพี่รองมีความคิดเห็นเช่นไร หรือว่านอกจากเราสองคนแล้วท่านยังมีชื่อผู้ใด?อยู่ในใจนอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่?”
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ส่งเสียงกล่าวตอบลอดผ่านหน้ากากอสูรออกมาว่า
“น้องห้าไม่ว่าท่านหรือข้าพเจ้า ผู้ใดจะได้เป็นผู้นำในครั้งนี้ ในความเห็นของข้าพเจ้าคิดว่าไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ถึงท่านจะได้เป็นผู้นำข้าพเจ้าในฐานะพี่รองต้องสนับสนุนท่าน อีกอย่างในไม่ช้าท่านกับข้าพเจ้าเราจะร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว ดังนั้นไม่ว่าท่านหรือข้าพเจ้าจะได้เป็นผู้นำมีค่าเท่ากัน”
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกล่าวจบ พลางหันไปทางขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงกับเยี่ยนผิง แล้วกล่าววาจาต่อทั้งสองว่า”
“เจ้าละหว่อถิงมีความคิดเห็นเช่นใด? ดูสิตั้งแต่ได้พบหน้าเยี่ยนผิงดูเจ้าสดใสขึ้นมากทีเดียว เสร็จจากงานนี้แล้วข้าเจ้าอสูรโลกันตร์กับท่านเยี๊ยะเหยียน จะพูดคุยเรื่องเจ้ากับเยี่ยนผิงให้เป็นเรื่องเป็นราวเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้อีกต่อไป”
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันหันไปกล่าวต่อมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงว่ามันมีความเห็นเป็นเช่นไร?เกี่ยวกับเรื่องนี้ และยังกล่าวต่อเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดคุยสู่ขอเยี่ยนผิงให้แก่มันด้วย เยิ่นหว่อถิงเมื่อได้ยินผู้เป็นอาจารย์กล่าวออกมาต่อหน้านางมารเยือกเย็นพร้อมกับเยี่ยนผิงจึงแสดงสีหน้าดีอกดีใจออกมา แล้วกล่าวตอบเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันว่า
“ข้าพเจ้าเห็นด้วยที่จะเสนอชื่อท่านอาวุโสเยี๊ยะเหยียนหากท่านได้เป็นผู้นำชาวยุทธ์ ภายหลังข้าพเจ้าได้แต่งงานกับแม่นางเยียนผิงแล้วสองสำนักเหมือนเป็นทองแผ่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดจะได้เป็นผู้นำข้าพเจ้าย่อมเห็นด้วยทั้งสิ้น”
ขณะที่ทุกคนกล่าววาจาเยี่ยนผิงแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน อีกทั้งไม่ใคร่พอใจนัก ทางหนึ่งไม่อยากทำลายบรรยากาศในตอนนี้หากทว่าไม่อยู่ในช่วงคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์นางคงลุกขึ้นอาละวาดไปเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นจึงหันไปมองหน้านางมารเยือกเย็นผู้เป็นมารดา ฝ่ายนางมารเยือกเย็นยังไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ต่อเยี่ยนผิงมาก่อน นางจึงรีบคว้าข้อมือของบุตรีมากุมไว้พร้อมกับรีบกล่าววาจาว่า
“เยี่ยนผิงเรื่องนี้มารดารับปากต่อท่านเจ้าอสูรเอาไว้แต่ไม่เคยเอ่ยต่อเจ้าให้รับทราบ เห็นว่าช่วงหลังเจ้ามิค่อยมีเวลา ดังนั้นมารดาจึงอยากบอกต่อเจ้าว่าท่านเจ้าอสูรได้ออกปากสู่ขอเจ้าให้กับนายน้อยเยิ่นหว่อถิง และมารดาเองได้กล่าวตกลงไปแล้วเพราะเห็นว่าเจ้าทั้งสองมีความเหมาะสมกัน”
พอนางมารเยือกเย็นกล่าวจบเยี่ยนผิงรีบดึงมือกลับอย่างไม่พอใจ พร้อมกับกล่าวต่อนางมารเยือกเย็นผู้เป็นมารดาว่า
“มารดาเรื่องนี้ท่านไม่เคยบอกกล่าวต่อเยี่ยนผิงมาก่อน การที่ลูกจะมีคู่ครองคนผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้ที่ลูกรัก คนผู้นี้ท่านแม่ยังมิได้ทำความรู้จักให้ดีก่อนประวัติความเป็นมาดีชั่วประการใด ยังไม่อาจสืบทราบ ท่านกลับรีบร้อนตกปากรับคำไปจะไม่ด่วนสรุปไปสักหน่อยรึ อีกประการหนึ่งมารดาเอ่ยปากรับคำโดยมิสอบถามความสมัครใจจากลูกก่อน เท่ากับเป็นการทำร้ายเยี่ยนผิงทางอ้อมทราบหรือไม่?”
นางมารเยือกเย็นพอได้รับฟังวาจาของบุตรีฟังจากน้ำเสียงที่กล่าวทราบได้ทันทีว่าธิดาไม่พอใจนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางเองย่อมทราบดีกว่าผู้ใดว่าหากเยี่ยนผิงมิยินยอมแล้ว มิว่าผู้ใดมิอาจจะบังคับนางได้ จึงทำน้ำเสียงอ่อนลงแล้วกล่าวต่อนางว่า
“เยี่ยนผิงถึงแม้ว่ามารดาจะไม่เคยพบเจอกับนายน้อยผู้นี้มาก่อน แต่มารดากับท่านเจ้าอสูรเราทั้งสองต่างเป็นคนคุ้นเคยกัน เมื่อท่านบอกว่านายน้อยเหมาะสมกับเจ้ามารดาย่อมเห็นด้วย เจ้าเองยังมิมีชายใดในดวงใจมาก่อนถูกต้องหรือไม่? คบกันไปสักระยะเจ้าทั้งสองรักกันไปเอง”
“มารดาท่าน เยี่ยนผิงไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ ตอนนี้อยู่ในงานชุมนุมชาวยุทธ์คงไม่สะดวกที่ท่านกับลูกจะมาโต้เถียงกันในเรื่องนี้ เอาเป็นว่าลูกยังมิเคยทราบเรื่องนี้มาก่อนและจะไม่คุยเรื่องนี้กับท่านอีก ท่านย่อมรู้จักลูกดีกว่าผู้ใดหากกล่าววาจาใดออกไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถมาทำให้ลูกเปลี่ยนใจได้”
เยี่ยนผิงพอกล่าวจบแล้วหันไปถลึงตาใส่นายน้อยแห่งสำนักอสูรโลกันตร์อย่างถือดี นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนเองมิกล้ากล่าวกระไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เกรงว่าบุตรีจะอาละวาดขึ้นมาเพราะนางทราบว่าธิดาผู้นี้เป็นคนเยี่ยงไร
ทางด้านฝ่ายธัมมะตอนนี้ต่างปรึกษาหารือกันว่าจะเสนอผู้ใดเป็นผู้นำชาวยุทธ์ในวันนี้ สามสำนักใหญ่อันได้แก่สำนักเมฆฟ้าพิรุณกับหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวและพรรคไผ่หลิว เจ้าสำนักทั้งสามยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บเท่าใดนัก ทั้งสามหันไปมองทางสำนักอสูรโลกันตร์เห็นมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณหันมองมาทางด้านนี้พอดี สายตาที่มองมาหาได้เกรงกลัวต่อเจ้าสำนักทั้งสามไม่
เจ้าสำนักทั้งสามต่างกล่าวตรงกันว่าพวกท่านขอสละสิทธิ์ ไม่เสนอตัวเองเข้าชิงตำแหน่งในครั้งนี้ แต่มีความเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือกับท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ น่าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการเป็นผู้นำในครั้งนี้
ส่วนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกับเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ต่างบอกว่าขอดูสถานการณ์ต่อไปก่อนว่าทางฝ่ายมารอธรรมจะส่งผู้ใดลงชิงตำแหน่ง หลังจากเวลาผ่านไปจึงได้รายชื่อที่เสนอเข้ามาดังนี้
ทางฝ่ายมารอธรรมเสนอชื่อเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แต่ที่ทุกคนคาดคิดมิถึงกลับเป็นหมู่ตึกกระเรียนฟ้าซึ่งไม่มีสิทธิ์ส่งตัวแทนเข้าช่วงชิงในครั้งนี้ ต๊กม้อเต็กลามะก้าวเดินออกมาพร้อมกับกล่าววาจาดังได้ยินทั่วบริเวณว่า
“ทุกท่านโปรดรับฟังอาตมากล่าววาจาสักหลายประโยค อาตมาต๊กม้อเต็กแม้ว่าจะเป็นคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าซึ่งเป็นราชสำนัก ในวันนี้ท่านหลิวซุ่นกงกงติดภารกิจเร่งด่วนจึงมิอาจมาร่วมงานได้ ถึงแม้ว่าตัวอาตมาจะเป็นคนของราชสำนักแต่มีบุคคลสองท่านซึ่งมิได้เป็นคนของราชสำนักอยู่ที่นี่ด้วย”
ต๊กม้อเต็กลามาทิ้งจังหวะพร้อมกับหมุนกายมองออกไปรอบบริเวณงาน เมื่อเห็นว่าทุกคนตั้งอกตั้งใจฟังวาจาที่ตนกล่าวจึงรีบส่งเสียงกล่าวต่อโดยทันทีว่า
“ผู้ที่อาตมากำลังกล่าวถึงท่านเป็นอาจารย์ลุงกับอาจารย์อาของอาตมาเอง ท่านทั้งสองเพิ่งจะเดินทางมาจากทิเบตเมื่อไม่กี่วันนี้ ดังนั้นในเมื่อท่านทั้งสองมิได้เป็นคนของราชสำนักอาตมาจึงขอเสนอชื่อของท่านทั้งสองเข้าชิงตำแหน่งในครั้งนี้ด้วยทุกท่านคงมิมีผู้ใดขัดข้องใช่หรือไม่?”
เมื่อต๊กม้อเต็กกล่าวจบหันมองไปทั่วบริเวณงานอีกครั้ง แต่หลวงจีนรูปนี้มิทันสังเกตสายตาซึ่งทอประกายพิสดารของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน เมื่อเห็นว่ามิมีผู้ใดส่งเสียงคัดค้านออกมาต๊กม้อเต็กจึงส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“หากทุกท่านมิมีผู้ใดคัดค้านอาตมาขอแนะนำอาจารย์ทั้งสองแก่ทุกท่านได้รู้จักทั่วกัน ท่านแรกเป็นอาจารย์ลุงของอาตมามีนามว่าเส้าเทียนเต็ก”
กล่าวแล้วต๊กม้อเต็กผายมือไปทางด้านผู้ที่เป็นอาจารย์ลุงซึ่งเพิ่งเดินทางมาจากทิเบต ลามะรูปนั้นเมื่อได้รับการแนะนำชื่อขึ้นจากผู้เป็นศิษย์รีบลุกขึ้นยืนแสดงตัวให้ทุกคนได้เห็นโดยทั่วกันจากนั้นนั่งลงเช่นเดิม
“ท่านที่สองเป็นอาจารย์อาของอาตมาท่านมีนามว่าทิเทียนเต็ก”
ลามะอีกรูปซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับลามะรูปเมื่อครู่รีบลุกขึ้นยืนแสดงตัวจากนั้นนั่งลงเช่นเดิม เมื่อกล่าวแนะนำชื่อแซ่ของอาจารย์ทั้งสองแล้วบัดนี้บรรยากาศภายในงานเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึง เมื่อเสียงทุกคนสงบลงแล้วเล่อต้าเต๋อกับเสิ่นซื่อสูอวี้คนทั้งสองก้าวออกมาสมทบกับต๊กม้อเต็กลามะ
จากนั้นทั้งสามคนส่งเสียงปรึกษาหารือกันแผ่วเบา เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วต๊กม้อเต็กจึงหันมาทางด้านเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า พร้อมกับส่งเสียงกล่าวขึ้นต่อว่า
“นอกจากเรื่องที่อาตมาเสนอชื่ออาจารย์ทั้งสองเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์แล้ว มีอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องสะสางในวันนี้ เมื่อไม่นานมานี้มีคนถูกฆ่าตายภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ซึ่งในค่ำคืนนั้นมีคนนอกผู้เดียวที่เป็นแขกนั่นคือเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ผู้ที่ถูกฆ่าตายเป็นหัวหน้าตึกคชสีห์นามเกาฉวน ในวันนั้นท่านหลิวกงกงพร้อมด้วยเหล่ายอดฝีมือในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ต่างพบหลักฐานมัดตัวชัดเจนว่าเป็นฝีมือของคนผู้ที่กล่าวถึง ดังนั้นในวันนี้หมู่ตึกกระเรียนฟ้าขอสะสางหนี้แค้นนี้ให้กับเกาฉวนหัวหน้าตึกคชสีห์ก่อนที่จะมีการคัดเลือกผู้นำในวันนี้”
เมื่อสิ้นเสียงของต๊กม้อเต็กลามะ เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวรีบลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินออกมา ศิษย์สตรีทั้งสองมิรอช้ารีบเดินตามผู้เป็นอาจารย์ออกมาด้วย เมื่อเดินออกมาด้านหน้าหลังจากหยุดยืนแล้วเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวส่งเสียงกล่าวว่า
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564