Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (สลัดคราบยาจก)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

สลัดคราบยาจก

  • 13/08/2565

ตอนที่ 33

สลัดคราบยาจก

ทางด้านสุสานร้างหลังจากจ่านจือจากมาแล้ว นางชีเทวราชชิ้วโส่วได้เผชิญหน้ากับยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน หัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย อินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิง ความจริงแล้วนางชีเทวราชชิ้วโส่วเพียงต้องการสะกดรอยของคนทั้งสี่มา เพื่อสืบข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องที่มีแม่ชีสองนางออกมาก่อกวนเรื่องราวในยุทธจักร ซึ่งที่ผ่านมานางและคนในอารามอเทวตามิเคยมีผู้ใดออกมาจากอารามมาก่อน

พอนางชีเทวราชชิ้วโสว่ได้ข่าวว่ามีคนของอารามนางออกมาเคลื่อนไหว เรื่องนี้จึงสร้างความแปลกประหลาดใจให้แก่นางถึงที่สุด อีกทั้งทราบจากแม่ชีในอารามว่าในช่วงที่นางเก็บตัวฝึกวิชา มีบรรดาชาวยุทธ์หลายฝ่ายคิดบุกเข้าไปในอาราม แต่ทว่าแม่ชีแปดนางพากันสกัดขัดขวางขับไล่ไปจนหมดสิ้น เรื่องราวนี้จึงสะกิดความสงสัยว่าจะต้องมีผู้หนึ่งผู้ใดเล่นสกปรกอยู่เป็นแน่

หลังจากสำเร็จวิชาเก้าชโลทรขั้นที่เก้า จึงได้ออกจากอารามมาเพื่อสืบหาว่าเป็นผู้ใด ที่บังอาจกล้าแอบอ้างชื่ออารามอเทวตามาก่อเรื่องราว ในจังหวะที่นางกำลังเดินทางพบเจอกับคนทั้งสี่เข้า จึงสะกดรอยติดตามมาห่าง ๆ ด้วยนางทราบดีว่าคนทั้งสี่เป็นยอดฝีมือจึงทิ้งระยะห่างมิได้ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด

จนกระทั่งคนทั้งสี่เข้าไปในสุสานร้าง นางชีเทวราชชิ้วโส่วจึงคิดจะแอบฟังคนทั้งสี่สนทนาเรื่องราวกัน แต่นางคาดคิดไม่ถึงว่าจะพบกับเด็กน้อยอายุเยาว์ผู้หนึ่ง ซึ่งซ่อนกายอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ด้วยความสามารถอันสูงส่งของนาง จึงสามารถแยกแยะออกมาได้ว่าเด็กน้อยที่หลบซ่อนมีลักษณะเช่นไร แต่ทว่านางกลับคาดคิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นคือเด็กน้อยผู้นี้มีวิชาติดตัวไม่ธรรมดา แถมยังชักนำคนทั้งสี่ในสุสานให้ออกมาเล่นงานนางก่อนจะจากไปอีกด้วย

คนทั้งสี่เมื่อพังทลายผนังสุสานร้างออกมาพบว่าผู้ที่ยืนอยู่ด้านนอกสุสานร้างเป็นแม่ชีนางหนึ่ง คนทั้งสี่จึงคาดเดาได้ทันทีว่าเป็นนางชีเทวราชชิ้วโส่วอย่างแน่นอน ส่วนนางชีเทวราชชิ้วโส่วเมื่อเห็นคนทั้งสี่ออกมาจากสุสานร้าง จึงก้าวเท้าออกมาจากที่กำบังพร้อมกับสะบัดแส่สีขาวในมืออยู่ไปมา แล้วส่งเสียงกล่าวกับคนทั้งสี่ขึ้นว่า

"ที่แท้เป็นประสกทั้งสี่นั่นเอง ตอนแรกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมิจฉาชีพจากสารทิศใด มาสุมหัววางแผนการชั่วช้าในสุสานร้างแห่งนี้ เมื่อเป็นพวกท่านทั้งสี่ก็แล้วกันไปเถิด ไม่ได้เจอะเจอกันถึงยี่สิบปี มิทราบว่าประสกทั้งสี่สุขสบายดีหรือไม่?"

"พวกเราทั้งสี่สบายดีไม่นึกว่าจะเป็นเจ้า ออไม่สินะต้องเรียกว่าท่านถึงจะเป็นการให้เกียรติ ในเวลานี้ท่านมิได้เป็นศิษย์ของสำนักที่ล่มสลายแต่กลับเป็นแม่ชีผู้ทรงศีล หลังจากไม่ได้เจอะเจอกันเสียเนิ่นนานตอนนั้นเมื่อท่านถูกขับออกจากสำนักอย่างอัปยศทำเสื่อมเสียชื่อสำนักอย่างใหญ่หลวง เมื่อท่านก่อตั้งอารามอเทวตาพวกเราล้วนมิเคยพบเห็นท่านปรากฏตัวอีกเลย ในคราวแรกพวกเรากลับคิดว่าท่านอาจทนความอัปยศมิได้ตรอมใจตายภายในอารามไปเสียแล้ว เมื่อเห็นท่านยังมีชีวิอยู่ย่อมรู้สึกยินดี มิทราบว่าท่านกับแม่ชีในอารามสุขสบายดีหรือไม่?"

ผู้กล่าววาจาเป็นยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว คำกล่าวของยายเฒ่าผู้นี้นางชีเทวราชชิ้วโส่วย่อมดูออกว่าเป็นการกล่าวเหน็บแนมเสียดสีเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตที่นางถูกขับออกจากสำนักนั่นเอง หากเป็นเมื่อก่อนป่านนี้นางคงโกรธกริ้วต่อคำพูดของยายเฒ่าและลงมือสั่งสอนแล้ว แต่ยามนี้นางเป็นแม่ชีจึงเก็บสำรวมอาการ พร้อมกับกล่าววาจาโต้ตอบกลับไปว่า

"ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วกับแม่ชีทุกนางในอารามล้วนสุขสบายดี ที่ผ่านมาเก็บตัวศึกษาหลักธรรมคำสอนจนจิตใจสงบ คำกล่าวของยายเฒ่าท่านเมื่อครู่หาได้สร้างความเคืองขุ่นแม้แต่น้อย กลับคิดปลิดปลงว่ามนุษย์โลกอันชั่วช้ามักมีวาจาอันสกปรกพร้อมพฤติกรรมอันต่ำช้าเลวทรามติดตัว อันว่าสันดอนขุดได้สันดานขุดมิได้ฉันใดยายเฒ่าท่านย่อมฉันนั้น"

นางชีเทวราชชิ้วโส่วแม้อยู่ในอาการสำรวม แต่วาจาที่กล่าวโต้ตอบยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกลับมิได้เกรงอกเกรงใจ ในอดีตนางกับคนทั้งสี่มิได้ญาติดีกันอยู่เดิม แถมยังผ่านการลงไม้ลงมือห้ำหั่นกันมาก่อน ดังนั้นเมื่อพบหน้าคนทั้งสี่อีกทั้งวาจาเสียดสีของยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว

ดังนั้นนางชีเทวราชชิ้วโส่วจึงมิเกรงอกเกรงใจ เมื่อกล่าววาจาโต้ตอบกลับไปด้วยอาการสำรวมสีหน้าเรียบเฉย นางขยับโบกแส้คราหนึ่งแล้วกล่าววาจาต่อยายเฒ่าหมื่นพิษต่อจากเมื่อครู่ว่า

"นอกจากข้าพเจ้าจะเก็บตัวขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์แล้ว ข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วกับแม่ชีอีกแปดนางใช้เวลาทั้งหมดฝึกปรือวิชาพัฒนาฝีมือ ที่ผ่านมาเลยไม่มีเวลาออกมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธจักร อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าเองได้ลั่นวาจาเอาไว้ก่อนที่จะปลงผมออกบวชก่อตั้งอารามอเทวตา ว่าจะไม่เหยียบย่างเข้าสู่ยุทธภพแม้แต่เพียงก้าวเดียวโดยมีข้อแม้ว่าห้ามมิให้ชาวยุทธ์ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปในบริเวณอารามอเทวตาของข้าพเจ้าก่อน แต่บัดนี้มีผู้บุกรุกอารามอเทวตาพร้อมกับแอบอ้างชื่อของอารามข้าพเจ้า ก่อเรื่องราวขึ้นมาให้เสื่อมเสียมาถึงสำนักจึงต้องออกมาสืบสาวหาตัวผู้กระทำอันต่ำช้าเลวทรามในครั้งนี้"

"ข้าพเจ้ากลับคิดว่าท่านออกมาเพื่องานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินเสียอีก?"

อินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกล่าววาจาขึ้นบ้าง พอกล่าวจบหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ยจึงกล่าวเสริมต่อทันทีว่า

"ใช่แล้ว ข้าพเจ้าเองกลับคิดว่าท่านออกมาเพื่องานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินเช่นกัน มิทราบว่าท่านเดินทางมากับผู้ใด เมื่อครู่เราทั้งสี่รับรู้สัมผัสได้ว่ามีคนอีกผู้หนึ่งอยู่ตรงนี้ด้วย มิทราบว่าเป็นแม่ชีในอารามท่านหรือว่าเป็นผู้ใด? ท่านจงได้บอกกล่าวแก่พวกเราทั้งสี่ให้รับทราบโดยกระจ่างด้วย"

นางชีเทวราชชิ้วโส่วสำรวจมองคนทั้งสี่เห็นว่าตอนนี้ชราภาพมากแล้ว ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วกับตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน คนทั้งสองน่าจะมีอายุล่วงเลยวัยเก้าสิบปีเห็นจะได้ ผมเผ้าบนศีรษะล้วนขาวโพลนดุจเส้นไหมเงิน

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วเกล้าผมมัดไว้กลางศีรษะเสียบด้วยปิ่นปักผมรูปอสรพิษสีดำ ระหว่างหน้าผากพาดทับด้วยแถบผ้าสีดำมีสัญลักษณ์รูปอสรพิษดำอยู่กึ่งกลาง ปลายผ้าทั้งสองถูกผูกมัดเป็นปมไว้ด้านหลังท้ายทอย ใบหน้าประดับประดาด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นปะปนขี้กระกับขี้แมลงวันอยู่ทั่วใบหน้า คิ้วสีขาวของนางช่วยลดความน่ากลัวของดวงตาอันลึกกลวงทั้งสองได้มากโข ริมฝีปากเหี่ยวย่นสีขาวราวกระดาษแต่ทว่าขอบริมฝีปากกลับมีริ้วรอยสีดำสนิทอยู่โดยรอบ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนแต่เป็นสีดำสนิทเช่นกัน

ส่วนตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินอยู่ในอาภรณ์สีขาวขุ่นสวมทับด้วยชุดคลุมสีดำ สารรูปทั่วไปมิได้แตกต่างจากยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วเท่าใดนัก ผมขาวบนศีรษะผูกเกล้าลวก ๆ ผูกมัดด้วยริบบิ้นสีดำปักปิ่นรูปอสรพิษดำด้านข้าง ส่วนอินทรีกลางฟ้าหว่าเกาเฉิงกับหัตถ์อมตะหลี่ปู้เหว่ย คนทั้งสองมีอายุอ่อนกว่าอยู่ปีสองปี ทั้งสองมีใบหน้าดุดันส่วนสูงไล่เลี่ยกันราวเจ็ดเชี้ยะรูปร่างไม่ผอมไม่อ้วนเอนเอียงมาทางท้วมนิดหน่อย คนทั้งสองแม้เส้นผมจะยังไม่เป็นสีขาวเสียทั้งหมด แต่หากจะให้เปรียบเทียบกับสีดำคงเก้าในสิบส่วน

เจ้าสำนักทั้งสองอยู่ในอาภรณ์สีเทาสลับดำเพื่อสะดวกในกายเคลื่อนไหวยามค่ำคืนป้องกันมิให้ผู้คนพบเห็นได้โดยง่าย ค่ำคืนนี้คนทั้งสี่มิได้พกพาอาวุธประจำกายติดตัวมาด้วย หลังจากไม่ได้เจอะเจอกันมาเป็นเวลาถึงยี่สิบปี

นางชีเทวราชชิ้วโส่วแม้ว่าวัยจะอ่อนเยาว์กว่าคนทั้งสี่อยู่หลายสิบปี แต่มิได้แสดงอาการยำเกรงหรือให้ความเคารพนับถือแต่อย่างใด เนื่องจากครั้งที่นางยังเป็นศิษย์ของตำหนักหมื่นเทพในขณะนั้นนางมีฉายาว่าเทพธิดาชินแส คอยช่วยเหลือผู้คนจากเหล่ามารทั้งหลายซึ่งรวมถึงบุคคลตรงหน้าทั้งสี่นี่ด้วย ดังนั้นนางกับคนทั้งสี่จึงเคยเป็นคู่ปรับที่เคยประมือกันมาก่อน เมื่อสำรวจคนทั้งสี่แล้วนางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวตอบคำถามว่า

"ข้าพเจ้าเองไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นผู้ใด ทราบแต่เพียงว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งมิเห็นใบหน้าลักษณะว่าเป็นเช่นไร เด็กน้อยนั่นอาศัยจังหวะที่พวกท่านทั้งสี่ทลายผนังสุสานร้างออกมาหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ที่น่าแปลกประหลาดใจวิชาตัวเบาของเด็กน้อยช่างร้ายกาจนัก ดูอายุยังเยาว์ไม่น่าจะบรรลุถึงระดับนี้ได้แถมยังเก็บซ่อนงำเก็บประกายได้มิดชิดนัก หากวันหน้าได้พบเจอข้าพเจ้านางชีเทวราชชิ้วโส่วจะขอรับทราบว่าอาจารย์ของเด็กน้อยเป็นผู้ใด ส่วนเรื่องงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินข้าพเจ้าต้องไปร่วมงานไม่พลาดแน่นอน ข้าพเจ้ากระหายใคร่ดูหน้าบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายที่เคยเหยียดหยามซ้ำเติมข้าพเจ้าไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน ดูสิว่าพวกมันจะมีกระไรพอมีหน้ามีตา หรือชั่วช้าสามานย์กว่ากาลก่อน"

พอนางชีเทวราชชิ้วโสว่กล่าวจบ ตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินจึงกล่าวถามขึ้นบ้างว่า

"มิทราบว่าท่านพอจะคาดเดาออกหรือไม่? ว่าผู้ใดมีคุณสมบัติในการเป็นผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ ในความเห็นของข้าพเจ้าในการคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ ผู้ที่ควรได้รับคัดเลือกสมควรเป็นฝ่ายเราหาใช่ฝ่ายที่เรียกตนเองว่าฝ่ายธัมมะไม่ ส่วนเรื่องราวบาดหมางระหว่างท่านกับเราทั้งสี่ในอดีตขอให้ท่านอย่าได้ถือสา ท่านเองล้วนถูกกล่าวหาว่าเป็นมารอธรรมเข่นฆ่าชาวยุทธ์เช่นกัน ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าเราควรยุติความบาดหมางทั้งหมดในอดีตแล้วมาร่วมมือกัน ต่อแต่นี้เราทั้งหมดจะทำการโค่นล่มฝ่ายธัมมะให้ราบคาบ ส่วนที่เหลือจะต้องยอมศิโรราบให้แก่ฝ่ายเราซึ่งฝ่ายมารอธรรมจะตั้งตัวเป็นผู้นำชาวยุทธ์ปกครองบู๊ลิ้ม ท่านเห็นด้วยกับพวกเราหรือไม่?"

นางชีเทวราชชิ้วโส่วแสดงสีหน้าเรียบเฉยต่อคำพูดของตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉิน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบตอบไปว่า

"เรื่องนี้ข้าพเจ้าเองยังมิทันได้คิดติดสินใจ เรื่องที่ถูกเหยียดหยันพวกมันเหล่านั้นข้าพเจ้าต้องคิดบัญชีแน่นอน แต่ในเวลานี้เรื่องที่ข้าพเจ้าต้องการกระทำก่อนเป็นอันดับแรกคือ สืบหาว่าผู้ใดที่มันบังอาจแอบอ้างชื่อของอารามอเทวตาของข้าพเจ้าก่อเรื่องราวฉาวโฉ่ เรื่องที่สองข้าพเจ้าต้องการสืบสาวเรื่องราวในอดีตให้กระจ่าง ว่าสาเหตุใดหรือผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในคราวนั้น จนเป็นเหตุให้ท่านอาจารย์ขับข้าพเจ้าพ้นสำนักอย่างอัปยศ แล้วพวกท่านทั้งสี่เตรียมตัวสำหรับงานชุมนุมชาวยุทธ์ในครั้งนี้อย่างไร?"

ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วจึงกล่าวตอบขึ้นว่า

"เรื่องนี้พวกเราได้เตรียมการไว้แล้วส่วนหนึ่ง ขาดเพียงแต่เรียกรวมตัวบรรดามารอธรรมทั้งหลายอีกครั้ง อีกสามวันหลังจากนี้เหล่ามารทั้งหลายจะไปรวมตัวกันที่สำนักมารสวรรค์ เพื่อคัดเลือกตัวผู้นำเหล่ามารอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังจะเป็นการคัดเลือกบุคคลที่ฝ่ายเราจะส่งเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ด้วย ตามกติกามิได้บ่งบอกว่าฝ่ายใดส่งได้กี่คน หากฝ่ายเราส่งผู้ที่มีวิทยายุทธ์ลึกล้ำซ้ำมีไหวพริบอุบายอันชาญฉลาด คิดว่าฝ่ายธัมมะคงมิอาจเปรียบเทียบติดกับฝ่ายเรา หากท่านมิมีธุระอันใด พวกเราขอเชิญท่านไปร่วมงานในครั้งนี้ด้วย"

"เรื่องนี้ข้าพเจ้ายังไม่ขอรับปากพวกท่าน หากว่าไม่ติดขัดธุระใด ข้าพเจ้าอาจจะไปร่วมงานนี้กับพวกท่าน นี่จวนใกล้จะสว่างแล้วข้าพเจ้าต้องขอตัวกลับอารามก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยพบเจอกันใหม่"

นางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวตอบ และนางจะเดินทางกลับอารามแล้วเพราะใกล้จะสว่างแล้วนั่นเอง คนทั้งสี่เห็นเช่นนั้นจึงน้อมส่งนางชีเทวราชชิ้วโส่วโดยพร้อมเพรียงกันว่า

"ขอท่านเดินทางเถิดพวกเราทั้งสี่ขอน้อมส่งตรงนี้ และหวังว่าพวกเราคงจะได้ร่วมมือกัน"

พอคนทั้งสี่กล่าวจบนางชีเทวราชชิ้วโส่วพลิ้วร่างจากไปดุจหมอกควันเบาบางยามเช้า ทำให้คนทั้งสี่อดตื่นตระหนกตกใจต่อท่าร่างวิชาตัวเบาของนางชีเทวราชโส่วออกมามิได้ คิดไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกับนางยี่สิบปีกำลังภายในและวิชาตัวเบาจะรุดหน้าไปมากมายปานนี้ คนทั้งสี่มิมีผู้ใดกล้าปริปากต่อท่าร่างของนางชีเทวราชชิ้วโส่ว ต่างล่ำลาพากันทยอยเดินทางกลับยังสำนักของตนไป

ทางด้านดอยตะวันเวลานี้สองมารฟ้าดินหม่าจิ้งเถากับต้าเอ่อคา ทั้งสองเดินทางบรรลุถึงดอยตะวันเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับแจกจ่ายยาถอนพิษให้กับเหล่าขอทานทั้งหมด แท้จริงแล้วหากถอนพิษผงหอมหวนสิบทิศตั้งแต่เนิ่น ๆ นั้นง่ายดายยิ่งนัก เหมือนเส้นผมบังภูเขาสองมารฟ้าดินบอกออกมาว่าหากได้รับพิษทางการสูดดม เมื่อรู้ตัวว่าได้รับพิษเพียงสูดดมฉี่ของตัวเองเข้าไปเพียงเท่านี้สามารถสลายพิษของผงหอมหวนสิบทิศได้จนหมดสิ้นแล้ว

หลังจากบรรดาขอทานทั้งหลายฟื้นฟูพละกำลังกลับคืนมาส่วนหนึ่งแล้ว สองมารฟ้าดินจึงแจ้งต่อทุกคนเกี่ยวกับจ่านจือที่มิได้เดินทางกลับมาด้วยว่า ตอนนี้เขาต้องทำงานชิ้นหนึ่งให้กับนายน้อยของตนเพื่อแลกกับยาถอนพิษเหล่านี้ หลังจากเสร็จงานแล้วเขาจะเดินทางกลับมาในภายหลัง สองมารฟ้าดินเมื่อเห็นว่าทุกคนอาการดีแล้วตามคำสั่งของเยี่ยนผิง ทั้งสองจึงเร่งรุดเดินทางลงจากดอยตะวันกลับไปยังที่พักของเยี่ยนผิงโดยมิชักช้า

หลังจากสองมารฟ้าดินคล้อยหลังไปได้ไม่นานนัก ปรากฏบุคคลสองคนเร่งรุดขึ้นดอยตะวันมาอย่างเร่งร้อน เมื่อเข้ามาใกล้ ๆ จึงได้ทราบว่าเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ทั้งสองเมื่อมาถึงต่างประสานมือทำความเคารพแก่ผู้อาวุโสทั้งหลาย แล้วกล่าวแนะนำตัวขึ้นว่า

"ข้าพเจ้ามีนามว่าหนานตี้เป็นศิษย์คนโตของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ขอคารวะอาวุโสทุกท่านรวมถึงเหล่าขอทานทุกท่านในที่นี่ด้วย"

"ข้าพเจ้ามีนามว่ากุ้ยโส่ว เป็นศิษย์คนรองของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ เราทั้งสองได้เดินทางมาตามคำสั่งของท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ มิทราบว่าบุคคลท่านใดคือจ่านจือ ข้าพเจ้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้งต่อเขา"

ที่แท้สองคนที่รีบรุดขึ้นดอยตะวันมาเป็นศิษย์ทั้งของสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ทั้งสองได้รับข่าวจากพรรคไผ่หลิวว่าผู้เป็นอาจารย์ถูกทำร้าย ทั้งสองจึงได้ออกจากสำนักเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิวในทันที ศิษย์ของสำนักเมฆฟ้าพิรุณมีเพียงสองคน ศิษย์คนโตเป็นบุรุษมีนามว่าหนานตี้อายุยี่สิบสามปี เป็นบุรุษรูปงามใบหน้าหล่อเหลาผิวขาวสะอาด อุปนิสัยใจเย็นรักความถูกต้องด้านฝีมือได้รับการถ่ายทอดวิชาจากผู้เป็นอาจารย์มาจนหมดสิ้น

ส่วนศิษย์คนเล็กเป็นสตรีนามกุ้ยโส่วอายุยี่สิบปี รูปร่างบอบบางรูปโฉมโนมพรรณงดงามไร้ที่ติ ถึงแม้รูปร่างนางจะบอบบางอ้อนแอ้นแต่ด้านฝีมือกลับไม่ตกเป็นรองศิษย์พี่เท่าใดนัก ทั้งสองเมื่อเดินทางไปถึงพรรคไผ่หลิวพบว่าอาจารย์กับประมุขพรรคไผ่หลิวพร้อมด้วยเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวอาการสาหัส

ครั้นเมื่อสอบถามอาการจากผู้เป็นอาจารย์และอาวุโสทั้งสองท่าน ได้รับการยืนยันว่ามิเป็นอะไรมากมิต้องเป็นห่วง เนื่องด้วยที่พรรคไผ่หลิวมีท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือท่านอยู่ด้วย ทุกวันท่านใช้พลังวัตรของท่านช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้ คาดว่าในหนึ่งสัปดาห์อาการของทั้งสามอาวุโสคงหายสนิท

เมื่อเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณได้พบกับศิษย์ทั้งสองแล้ว ท่านเห็นว่าใกล้วันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินเหลือเวลาไม่กี่วัน ดังนั้นต้องการให้ศิษย์ทั้งสองเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ล่วงหน้าท่านมาก่อน พอดีท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือไหว้วานให้ทั้งสองช่วยเป็นธุระแจ้งข่าวนี้ให้กับศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวให้ได้รับทราบด้วย 

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือเห็นว่าศิษย์ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวเป็นสตรี หากทราบข่าวว่าผู้เป็นอาจารย์ถูกทำร้ายอาการสาหัสเกรงว่านางทั้งสองจะตระหนกตกใจ ดังนั้นจึงสั่งกับศิษย์ทั้งสองของสำนักเมฆฟ้าพิรุณให้ถามหาจ่านจือก่อน แล้วบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมดแก่เขา ซึ่งท่านเห็นว่าเขาน่าจะมีคำพูดที่จะมิทำให้พี่สาวทั้งสองของเขาไม่เสียขวัญมากนัก

ดังนั้นเมื่อเร่งรุดขึ้นดอยตะวันมาหลังจากคารวะและแนะนำตัวเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงได้เอ่ยถามถึงจ่านจือ ถึงแม้เวลานี้จะสายแล้วแต่จ่านจือยังมิได้เดินทางกลับดอยตะวัน พอได้ยินกุ้ยโส่วเอ่ยถามถึงจ่านจือว่าคือผู้ใด? ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินจึงกล่าวว่าจ่านจือมิได้อยู่ดอยตะวันในขณะนี้

แต่ด้วยความสงสัยว่าทั้งสองถามหาจ่านจือด้วยสาเหตุใด อี้เซินจึงสอบถามแก่กุ้ยโส่วว่ามีธุระสำคัญอันใดกับจ่านจือหรือไม่ ศิษย์ของทั้งสองสำนักเคยพบเจอกันมาก่อนหลายครั้งจึงมีความสนิทสนมอยู่บ้าง พอได้รับทราบว่าจ่านจือมิได้อยู่ดอยตะวันและไม่ทราบชัดว่าจะกลับมาเมื่อใด

ดังนั้นทั้งหนานตี้กับกุ้ยโส่วจึงจำเป็นต้องค่อย ๆ บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินได้รับทราบ ทั้งสองพอทราบว่าอาจารย์ถูกทำร้ายอาการสาหัสต่างรู้สึกตกใจในคราวแรก แต่เมื่อกุ้ยโส่วกับหนานตี้ยืนยันว่าอาการไม่น่าห่วงแถมยังมีท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉืออยู่ด้วย ดังนั้นซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง แต่กระนั้นนางทั้งสองยังรู้สึกสำนึกเสียใจหากในเวลานั้นนางทั้งสองอยู่ด้วยกับอาจารย์ อย่างน้อยจะได้ช่วยเหลืออาจารย์ได้ในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะต้องตายมิเสียดายหากได้ตอบแทนบุญคุณของผู้เป็นอาจารย์

หลังจากทั้งหมดพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ อีกราวครึ่งชั่วยาม บรรดาขอทานต่างฟื้นพลังกลับคืนมาได้หมดสิ้น ดังนั้นจึงเริ่มทยอยเดินทางลงจากดอยตะวันเพื่อกลับไปเตรียมตัวสำหรับงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ส่วนผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อกับสองผู้เฒ่ารักษากฎผู้เฒ่าโอ่วกับผู้เฒ่าลู่ พร้อมด้วยเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ยกับศิษย์คนโตนามเหมาต้า ซื่อเหมี่ยนและอี้เซิน พร้อมหนานตี้กับกุ้ยโส่วเมื่อทั้งหมดปรึกษากันแล้ว จึงลงความเห็นว่าจะเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิวเพื่อดูอาการของอาวุโสทั้งสาม อีกทั้งพบพานกับขอทานพเนจรหวงเกาฉือด้วย ดังนั้นซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินจึงทำเครื่องหมายบอกให้จ่านจือไปพบกันที่งานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน หลังจากนั้นทั้งหมดจึงออกเดินทางสู่พรรคไผ่หลิวโดยพร้อมเพรียงกัน

ภายในตึกรโหฐานหลังหนึ่งซึ่งโอบล้อมด้วยกำแพงศิลาสูงราวสิบกว่าวา อันเป็นที่ตั้งสาขาของสำนักมารสวรรค์ตั้งอยู่ภายในตัวเมืองลั่วหยาง ภายในห้องนอนตกแต่งอย่างเลิศหรูโอ่อ่าสิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องล้วนคัดสรรแต่สิ่งที่มีคุณภาพดีที่สุดราคาแพง บนเตียงนอนหนานุ่มในห้องนอนร่างหนึ่งนอนสงบนิ่งคล้ายยังไม่ตื่น แต่ทว่าแท้จริงร่างนั้นหาได้หลับไหลอย่างที่ทุกคนเข้าใจไม่ สติสัมปชัญญะทุกประการยังคงแจ่มใส ร่างที่นอนอยู่นั่นมิใช่ผู้ใดแต่เป็นจ่านจือนั่นเอง

ตอนนี้เป็นเวลายามซิ้ง(ประมาณแปดนาฬิกา) ถัดไปอีกห้องหนึ่งด้านข้างติดกันมีเสียงคนสนทนากันอย่างแผ่วเบาน้ำเสียงที่เล็ดลอดมากระทบโสตจ่านจือจดจำได้อย่างแม่นยำ เสียงสนทนานั่นเป็นเสียงของเยี่ยนผิงเองหลังจากที่เขาดื่มสุราซึ่งนางบรรจงรินให้กับเขา แม้ว่ากลิ่นของสุราจะหอมหวนสักปานใด หากเป็นคนทั่วไปซึ่งมิได้ศึกษาตำรายาโอสถอาจจะไม่ระแวงหรือสงสัยแต่ประการใด

แต่สำหรับจ่านจือแล้วห้าปีที่อาศัยอยู่หุบเขาผีเสื้อ ทุกคืนวันล้วนคลุกคลีอยู่กับตัวยาสมุนไพรนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสสูดกลิ่นหรือลองลิ้มชิมรสชาติล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นพอลิ้นสัมผัสกับน้ำสุราจ่านจือรับทราบได้ทันทีว่า ในสุราของเยี่ยนผิงเจือยานอนหลับรุนแรงชนิดหนึ่ง

ถึงแม้ว่าตัวยาที่ใช้จะไร้กลิ่นไร้รสแต่สำหรับจ่านจือแล้วหาได้รอดพ้นสัมผัสไปได้ เยี่ยนผิงเป็นคนเจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาดแอบใส่ยาลงไปเมื่อใดจ่านจือไม่ทันสังเกตเห็น ซึ่งตัวนางเองดื่มสุราป้านเดียวกับเขาเช่นกัน ดังนั้นนางต้องมีวิธีการอื่นในการวางยาลงในถ้วยสุราอย่างแน่นอน

ยาพิษชนิดอื่น ๆ จ่านจือหาได้หวาดกลัว มีเพียงผงหอมหวนสิบทิศเท่านั้นซึ่งการถอนพิษจะต้องให้ผู้ที่ใช้พิษเท่านั้นเป็นผู้รักษา เพราะว่าพิษชนิดนี้มีการเปลี่ยนตัวยาในการผสมจึงไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว หากการรักษาพลาดพลั้งนอกจากแก้พิษมิได้แล้ว ยังทำให้พิษกระจายได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม เยี่ยนผิงนางใช้เฉาลู่ฟางโปรยยาหอมหวนสิบทิศลงไปในกองไฟ ต่อให้ผู้ทักษะยุทธ์ยังมิอาจระแวงสงสัยหรือระวังป้องกันได้ทัน

จ่านจือเมื่อดื่มสุราถ้วยที่สองลงท้องไปเขาจึงแสร้งทำเป็นสลบฟุบหน้าลง อาศัยช่วงจังหวะนั้นล้วงเม็ดยาในอกเสื้อกลืนกินลงไปโดยที่เยี่ยนผิงมิทันสังเกตเห็น ดังนั้นยานอนหลับรุนแรงของนางจึงใช้มิได้ผล ขณะที่แกล้งเป็นนอนสลบได้ยินนางกล่าวกับสองมารฟ้าดิน ว่าให้ทั้งสองเดินทางไปรักษาบรรดาขอทานที่ดอยตะวัน ดังนั้นเขาจึงหมดห่วงขอทานทั้งหลายจึงแกล้งเล่นละครตบตานางทำเป็นนอนสลบต่อไป เพื่อดูว่าเยี่ยนผิงสะคราญโฉมผู้นี้จะมีแผนการชั่วร้ายกระไรอีก

หลังจากเฉาลู่ฟางแบกร่างของจ่านจือกลับมายังห้องนอนภายในตึกใหญ่โตแห่งนี้ เขาอาศัยเวลาตอนใกล้รุ่งงีบหลับไปราวหนึ่งชั่วยาม ในเวลานั้นเยี่ยนผิงกับคนอื่น ๆ ภายในตึกต่างแยกย้ายกันไปนอนพักผ่อนเช่นเดียวกัน เยี่ยนผิงนางมั่นใจในตัวยาของนางว่าสองถึงสามชั่วยามจ่านจือไม่อาจฟื้นตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน หลังจากหลับไหลไปราวหนึ่งชั่วยามเขาจึงตื่นขึ้นมารู้สึกสดชื่นแจ่มใสขึ้นมากหลังจากเดินทางมาหลายวัน พอได้ยินเสียงสนทนาดังมากระทบโสต จึงตั้งใจรับฟังว่าผู้คนเหล่านั้นสนทนากระไรกัน

"เฉาลู่ฟางท่านแน่ใจใช่หรือไม่? ว่าคนแซ่เฟิ่นทั้งสองเดินทางมาถึงตัวเมืองลั่วหยางและพักอยู่ที่โรงเตี้ยมเจ็ดดาวห่างจากที่นี่ราวสิบลี้"

"นายน้อยข้าพเจ้าเฉาลู่ฟางสืบทราบมาจนแน่ชัดไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย เมื่อคืนคนของเราที่หาข่าวอยู่ในเมืองลั่วหยาง ส่งข่าวกลับมาว่าพบเห็นพี่น้องแซ่เฟิ่นเข้าจองห้องพักที่โรงเตี้ยมเจ็ดดาวพร้อมจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าเป็นเวลาห้าวัน และยังได้ยินพี่น้องแซ่เฟิ่นสนทนากันด้วยว่า จะพักแรมที่โรงเตี้ยมเจ็ดดาวเพื่อรอชมเทศกาลโคมไฟที่ใกล้จะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จึงแน่ใจได้ว่าข่าวนี้ไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน"

เฉาลู่ฟางกล่าวรายงานต่อเยี่ยนผิงเกี่ยวกับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ซึ่งเป็นบุคคลที่สองคนนั่นกล่าวถึงคือเฟิ่นมู่เหอกับเฟิ่นไป่ชิงนั่นเอง ทั้งสองคงเดินทางมาเพื่อชมโคมไฟในเทศกาลสารทง่วนเซียวที่จะมาถึงในไม่กี่วันข้างหน้า จ่านจือเมื่อได้ยินเช่นนั้นรู้สึกยินดียิ่งนักหลังจากแยกย้ายกับคนทั้งสองก่อนเดินทางไปหมู่บ้านเย้ยอรุณ คาดคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอทั้งสองในตัวเมืองลั่วหยางอีก จึงตั้งใจรับฟังว่าคนทั้งสองที่อยู่ห้องถัดไปกล่าวกระไรต่อไป

"หากเป็นเช่นนั้นนับว่าประเสริฐนัก นับแต่วันพรุ่งนี้เฉาลู่ฟางเจ้าจงคอยติดตามคนแซ่เฟิ่นทั้งสองเอาไว้ให้ดี หากมีการเคลื่อนไหวรีบให้คนส่งข่าวมาแจ้งต่อข้าพเจ้าอย่าได้ผิดพลาด ส่วนตัวท่านจงติดตามประกบคนทั้งสองเป็นเงาตามตัวอย่าได้คลาดคลาเป็นอันขาด"

จ่านจือได้ยินเยี่ยนผิงสั่งกำชับเฉาลู่ฟางให้คอยติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่น เขาเองพอจะคาดเดาได้ว่าสาเหตุมาจากเรื่องใด เนื่องด้วยสองเฮียม่วยเคยบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณให้แก่เขา ซึ่งยาพิษนี้เป็นอาจารย์ของเขาเองเป็นผู้คิดค้นขึ้นและมีเพียงสิบเม็ดเท่านั้น หากจะปรุงยาพิษชนิดนี้ขึ้นมาอีกจะต้องใช้เวลาหายาสมุนไพรหลายชนิดซึ่งหาได้ยากยิ่ง อีกทั้งวิธีการปรุงนั้นยังแสนยุ่งยากลำบาก

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนใช้เวลาถึงสิบห้าปีในการปรุงยาตัวนี้จึงสำเร็จออกมาได้ตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณในยุทธภพมีเพียงสิบเม็ด ตัวยาแบ่งออกเป็นสองสีด้วยกัน เม็ดยาสีแดงเรียกว่าเก้าพิษโหยหวนส่วนเม็ดสีดำเรียกว่าเก้าพิษดับโลกันตร์ หากรับประทานเม็ดหนึ่งเม็ดใดลงไปเพียงลำพังจะทำให้ผู้นั้นตายอย่างสุดทรมาน ดั่งชื่อเรียกหาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ มันจะกัดกร่อนอวัยวะภายในให้วิญญาณโหยหวนชวนสยอง ก่อนที่จะกระชากวิญญาณผู้นั้นลงสู่หุบเหวโลกันตร์มิได้ผุดมิได้เกิดเลยทีเดียว

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป