Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (หลวงจีนทุศีล)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

หลวงจีนทุศีล

  • 13/08/2565

ตอนที่ 18

หลวงจีนทุศีล

เมื่อทั้งสามสนทนากันได้สักพักใหญ่ ไปชิงจึงเอ่ยถามจ่านจือเกี่ยวกับเรื่องที่เขากำลังจะเดินทางไปหมู่บ้านเย้ยอรุณ จ่านจือบอกกล่าวไปตามจริงว่า เขาต้องการแวะไปกราบหลุมฝังศพมารดา หลังจากนั้นค่อยนัดพบกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ที่โรงเตี้ยมต้าเหอชุน

ดังนั้นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น จึงตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับจ่านจือสักระยะหนึ่ง พอถึงทางแยกค่อยแยกย้ายเพื่อไปทำธุระ อีกทั้งยังบอกต่อจ่านจือว่า ค่อยนัดเจอกันที่เส้าหลิน ในงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่กำลังจะมาถึง

เฟินไป่ชิง นางเองจับจ้องมองจ่านจือ นางเห็นว่าเขาในตอนนี้ดูไม่คล้ายกับจ่านจือเมื่อกาลก่อน ครั้งพบเจอที่หมู่บ้านเย้ยอรุณในคราวแรก ในเวลานี้ดูเขาองอาจสง่างามฉายแววของจอมยุทธ์ผู้กล้าอยู่หลายส่วน ใบหน้ายิ่งดูคมคายหล่อเหลาแทบไม่เหลือเค้าหน้าเดิมให้จดจำ หากให้เขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ที่ไม่เก่าขาดหม่นหมองเหมือนในตอนนี้ คิดว่าคงเห็นเขาเป็นกงจื้อ(คุณชาย) อันสง่างาม อีกทั้งยังหล่อเหลาเอาการผู้หนึ่งเลยทีเดียว

จ่านจือเองลอบสังเกตเช่นกัน เขาเห็นว่าไป่ชิงเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากกว่าครั้งก่อนอยู่บ้าง ครั้งนี้นางแต่งกายคล้ายเป็นสตรีมากกว่าครั้งก่อน ตอนที่พบกันครั้งแรก บัดนี้นางอยู่ในชุดนักบู๊สีน้ำทะเล เกล้าผมสูงเป็นมวยกลางไว้ศีรษะ พร้อมกับเสียบปิ่นปักผมสีทองด้ามหนึ่ง ผิวพรรณของนางยิ่งดูขาวเนียนผุดผ่อง ขับเน้นเสริมความงดงามอันเฉิดฉัน ไป่ชิงเมื่อเห็นว่าจ่านจือจ้องมองมา อดประหม่าขวยเขินเอียงอายขึ้นมา กระทั่งหน้าแดงเปล่งปลั่งดั่งลูกตำลึงสุก มู่เหอผู้เป็นพี่ชาย เห็นน้องสาวของตนหน้าแดง จึงเอ่ยถามขึ้นว่า

"ไป่ชิง เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ อากาศไม่อบอ้าวสักเท่าใด พี่ชายเห็นเจ้าหน้าแดงปานนี้ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?"

ไป่ชิง รีบกล่าววาจาแก้ตัวโต้ตอบไปว่า

"ข้าพเจ้ารู้สึกอบอ้าวนิดหน่อย พี่ชายอย่าได้ห่วง ข้าพเจ้ามิได้เป็นกระไรเสียหน่อย คงเพราะอากาศที่นี่กับบนผาของเราไม่คล้ายกัน บนผาอากาศหนาวเย็นปกคลุมไปด้วยหมอกน้ำค้าง แถมยังมีสายลมพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา พอลงจากผามาข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่า ร้อนอบอ้าวขึ้นมากะทันหัน อาจเป็นเพราะปรับตัวไม่ทันนั่นเอง ว่าแต่พี่ชายไม่รู้สึกอบอ้าวบ้างหรืออย่างไร?"

มู่เหอครุ่นคิดในใจว่า

“น้องสาวของเราผู้นี้ช่างพิลึกนัก อากาศในยามนี้กำลังเย็นสบาย กลับบอกออกมาว่าร้อนอบอ้าว”

แต่กระนั้น มู่เหอไม่อยากโต้แย้งกระไรกับน้องสาวผู้นี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาจะตามใจไป่ชิงอยู่มาก ไม่เคยจะขัดใจนางสักครั้ง นางว่าเช่นไรเขาก็ว่าเช่นนั้น

คนทั้งสามเห็นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า พร้อมกับศิษย์ทั้งสองกำลังมุ่งตรงมา จึงพากันหยุดการสนทนาเอาไว้ก่อน เจ้าหุบเขามู่ชิวป้า กล่าววาจากับทั้งหมดว่า

“เราจะหลบซ่อนตัวสักระยะหนึ่ง พร้อมกันนั้นจะส่งข่าวถึงเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณ กับหัวหน้าพรรคไผ่หลิว เกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า นัดหมายกับทุกคนว่า

“พวกเราทั้งหมดค่อยพบเจอกันอีกครั้ง ในงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน สถานที่นั่นในวันงานชุมนุม ล้วนเต็มไปด้วยเหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธัมมะ  คิดว่าคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า คงไม่กล้าลงมือโดยพละการ อีกอย่างในวันนั้นเราเองคงจะมีโอกาสได้แก้ตัวอยู่บ้าง เพื่อให้ชาวยุทธ์ทั้งหลายได้ช่วยตัดสินเรื่องราวโดยยุติธรรม”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าหยุดกล่าววาจาเล็กน้อย แล้วส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“ในเวลานี้นอกจากหลบซ่อนแล้ว เรื่องราวที่เราสามารถกระทำได้ นั่นคือคอยสืบข่าวคราวการเคลื่อนไหว ของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าอย่างลับ ๆ ว่าผู้ใดกันแน่? ที่อยู่เบื้องหลังในการกระทำต่ำทรามครั้งนี้”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า จึงกล่าวกับจ่านจือว่า

“เราอนุญาตให้ศิษย์ทั้งสองของเรา ร่วมเดินทางไปกับเจ้า หากให้นางทั้งสองเดินทางไปกับเราด้วย เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย อีกทั้งไม่สะดวกในการเคลื่อนไหวหลบซ่อนตัว”

เมื่อทั้งหมดนัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่างแยกย้ายออกเดินทางทันที เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ท่านปลีกตัวไปตามลำพังมุ่งหน้าสู่นอกเมืองทางทิศเหนือ มู่เหอกับไป่ชิง ร่วมเดินทางไปกับจ่านจือพร้อมทั้งซื่อเหมี่ยน และเอวี้ยอี้เซิน เมื่อถึงทางแยกข้างหน้าอีกราวครึ่งลี้ สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น จะขอปลีกตัวแยกเดินทางไปอีกเส้นหนึ่ง

ยามนี้ คนทั้งหมดเดินทางมาถึงทางแยก สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นจึงขอแยกตัว เดินทางไปตามเส้นทางซ้ายมือ ก่อนแยกย้ายจากกัน ไป่ชิงกล่าววาจากับจ่านจืออีกหลายประโยค นางกล่าวกับเขาว่า

“ข้าพเจ้าขอให้ท่านรักษาตัวให้ดี อีกทั้งระมัดระวังตัวให้มาก เมื่อเสร็จธุระที่หมู่บ้านเย้ยอรุณแล้ว พวกท่านรีบเดินทางไปพบกันที่วัดเส้าหลิน ที่นั่นข้าพเจ้าจะแนะนำอาจารย์ พร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่ของเราสองคน ให้ท่านและพี่สาวทั้งสองได้รู้จัก”

สำหรับกับมู่เหอนั้น ดูเขาเป็นห่วงเป็นใยต่อศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอวี้ยอี้เซิน ศิษย์ผู้น้องของ       ซื่อเหมี่ยน ในขณะเดินทางมาด้วยกัน มู่เหอลอบชำเลืองมองนางอยู่หลายหน กระทั่งซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่ นางยังสังเกตเห็นว่า ศิษย์น้องของตนเอง คล้ายให้ความสนใจต่อมู่เหออยู่ไม่น้อย เมื่อเจรจาร่ำลากันแล้วทั้งหมดจึงพากันแยกย้ายออกเดินทางสู่จุดหมายในทันที

หลังจากเดินทางมาได้สักพักใหญ่ เส้นทางต้องตัดผ่านตัวเมืองแห่งหนึ่ง ซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่ จึงกระซิบกระซาบกับอี้เซินศิษย์ผู้น้อง โดยที่นางทั้งสองมิให้จ่านจือรู้ตัว แม้กระทั่งได้ยินเรื่องราวที่พวกนางกำลังพูดคุยกัน พอเดินผ่านสถานที่นั่น ซึ่งเต็มไปด้วยร้านรวงมากหลาย ล้วนแล้วแต่วางขายสินค้าสารพัดชนิด นางทั้งสองจึงหันมากล่าวกับจ่านจือ เอวี้ยอี้เซินส่งเสียงกล่าวว่า

"เซียวจือ เจ้ารอคอยพี่สาวทั้งสองอยู่บริเวณนี้สักครู่เถิด ข้ากับพี่ใหญ่เราจะไปซื้อหาสิ่งของบางอย่าง หลังจากนั้นจะรีบกลับมา เจ้าอย่าได้ซุกชนเพ่นพ่านเป็นอันขาด อีกทั้งอย่าได้วิ่งไปไหนไกลจากตรงนี้ ที่พี่สาวกล่าวเจ้าเข้าใจหรือไม่?"

จ่านจือพยักหน้ารับทราบ พร้อมกับกล่าวกับดรุณีพี่สาวทั้งสองว่า

"ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว พี่สาวทั้งสองไปเถิด ข้าพเจ้าจะจดจำคำของพี่สาวทั้งสอง จะมิวิ่งเพ่นพ่านซุกซนเป็นอันขาด อีกทั้งขณะที่รอคอยพี่สาวอยู่เพียงลำพัง จะมิสร้างความยุ่งยากให้วุ่นวายแน่นอน"

ซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซิน นางทั้งสองพยักหน้าแล้วรีบก้าวเท้าไปจากที่นั่นทันที นางทั้งสองหายเข้าไปยังร้านรวงแถบหนึ่ง เมื่อนางทั้งสองคล้อยหลังไปแล้ว จ่านจือสังเกตเห็นเงาหลังของคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้คล้ายคุ้นหูคุ้นตาเขาอยู่บ้าง แต่เมื่อพยายามนึกทบทวนเท่าไหร่ เขากลับรู้สึกว่านึกไม่ออก

จ่านจือขมวดคิ้วยกมือเกาศีรษะทำท่านึกคิด คิดว่าเคยพบพานคนผู้นี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่? เห็นเงาหลังคนผู้นี้เพียงวูบเดียวไม่ชัดเจนนัก คนผู้นี้อยู่ในชุดนักบู๊สีขาวสะอาดตา ท่าทางทะมัดทะแมงแต่งกายรัดกุม ดูจากด้านหลังคล้ายเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งรูปร่างค่อนข้างอ้อนแอ้นบอบบางอยู่บ้าง ทั้งยังสังเกตเห็นบนศีรษะเกล้าผมตึง สวมรัดเกล้าสีเงินแวววาวอยู่เหนือศีรษะ จึงอดครุ่นคิดขึ้นว่า

“คนผู้นี้ไฉนคุ้นตาเรานัก คล้ายกับเคยพบเห็นที่ใดมาก่อน แต่งกายภูมิฐานสำอางดั่งบุรุษ แต่ทว่ารูปร่างกลับอ้อนแอ้นบอบบางดั่งสตรี”

จากนั้น จ่านจือส่งเสียงกล่าวพึมพำกับตัวเองว่า

“ดู ๆ ไปคล้ายกงจือสูงศักดิ์ หรืออาจเป็นคุณชายทายาทของผู้มีฐานะมีหน้ามีตาในเมืองนี้ก็อาจเป็นได้ ไฉนเราต้องให้ความสนใจต่อคนผู้นี้มากมายปานนี้ด้วย”

จ่านจือเป็นคนช่างสังเกต ไม่ปล่อยรายละเอียดให้เล็ดรอดสายตาไป เมื่อเขามองต่ำลงมาพบว่า ในมือซ้ายของคนผู้นี้ ถือกระชับไว้ด้วยกระบี่งดงามเล่มหนึ่ง ด้ามกระบี่ห้อยพู่สีแดงแกว่งไกวอยู่ไปมา ฝักกระบี่ล้วนแกะสลักเป็นลวดลายอันวิจิตรสะดุดตา เขาจึงพยามนึกทบทวนอีกครั้ง สุดท้ายก็นึกไม่ออกอยู่ดี ว่าเขาเคยพบพานเห็นคนผู้นี้ที่ไหนมาก่อน

ดังนั้นจ่านจือจึงครุ่นคิดสรุปกับตนเองขึ้นว่า

“หรือว่าเราจดจำคนผิดไป เราหลังจากออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณไป ก็มิได้พบหน้าผู้คนมากมายนัก จากนั้นก็อยู่แต่ในหุบเขาสายรุ้ง จะไปรู้จักคุณชายฐานะดีได้เช่นไร?”

ในขณะที่จ่านจือ คิดจะกระทำเช่นไรต่อไปดี ไม่ไกลเท่าใดนักซื่อเหมี่ยนกับเอวี้ยอี้เซินนางทั้งสองกำลังก้าวย่างกลับมาพอดี ในมือของอี้เซินเพิ่มห่อผ้ามาด้วยห่อหนึ่ง แต่เขาไม่ทราบว่าภายในห่อผ้านั้นเป็นสิ่งของใด

จ่านจือเอง เขาไม่กล้าเสียมารยาทเอ่ยถามเช่นกัน นางทั้งสองสังเกตเห็นว่า เขาใช้สายตาเพ่งมองสิ่งใดอยู่ ดังนั้นนางทั้งสองจึงใช้สายตามองตามไป ในจังหวะนั้นคุณชายผู้ซึ่งจ่านจือจับจ้องมองอยู่ ก้าวเท้าลับหายไปกับมุมตึกร้านขายของร้านหนึ่งพอดี นางทั้งสองจึงมองไม่เห็นสิ่งใด หลังจากนั้นคนทั้งสาม จึงเร่งรุดออกเดินทางสู่หมู่บ้านเย้ยอรุณ ซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน ในอำเภอเติงเฟิง เมืองเจิ้งโจวในทันที

ย้อนเหตุการณ์กลับมาทางด้านต๊กม้อเต็กลามะ กับเสิ่นซื่อสูอวี้และเล่อต้าเต๋อ พอระเบิดควันเบาบางจางหาย พวกมันทั้งสามกลับพบว่า ทุกคนในที่นั่นพลันอันตรธานหายไปหมดสิ้น ดังนั้นมันทั้งสามต่างส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น คาดคิดไม่ถึงว่า สุกรกำลังจะหาม กลับมีคนเอาคานเข้ามาสอด กระทั่งไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนไป

ในขณะที่พวกมันทั้งสาม กำลังงุนงงราวไก่ตาแตก ไม่ทราบว่าจะกระทำเช่นไรต่อไป เป็นเวลาเดียวกันกับหลิวซุ่นกงกง พร้อมด้วยอันสุ่ย อีกทั้งฉีฝ่านกับต้าถง คนทั้งหมดติดตามมาทันพอดี

หลิวซุ่นกงกง เมื่อทอดสายตามองเห็นร่องรอยของคราบฝุ่นควัน อีกทั้งยอดฝีมือทั้งสามต่างยืนตะลึงพรึงเพริด เมื่อสำรวจจนทั่วบริเวณไม่พบเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ดังนั้นจึงพอคาดเดาเหตุการณ์ได้ทันทีว่า เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวคงหนีรอดไปได้ สามยอดฝีมือแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่างรีบพากันประสานมือต่อเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ต๊กม้อเต็กลามะเป็นผู้กล่าวรายงาน ต่อหลิวซุ่นกงกงว่า

"เรียนท่านหลิวซุ่นกงกง เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมันหนีรอดไปได้ อีกทั้งยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก ว่ามันหลบหนีไปยังทิศทางใด? พวกเราเกือบจะลงมือจัดการมันได้แล้ว นึกไม่ถึงศิษย์สตรีของมันสองคนมาทันเวลาพอดี”

จากนั้นเสิ่นซื่อสูอวี้ รีบกล่าววาจาบอกเล่าเหตุการณ์ต่อทันทีว่า

“มิเพียงแต่ศิษย์สตรีทั้งสองของมัน ในเวลานั้นยังเพิ่มเด็กทารกผู้หนึ่งอีกด้วย ทารกผู้นี้แต่งกายคล้ายขอทานอยู่เจ็ดส่วน สารรูปโดยทั่วไปของทารกผู้นี้มิมีสิ่งใดให้น่าสนใจ เพียงแต่...”

เสิ่นซื่อสูอวี้ มันยังมิทันได้กล่าววาจาใดต่อ เจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวซุ่นกงกง ส่งเสียงกล่าวถามกลางคันก่อนว่า

“เพียงแต่อันใด? มิมีสิ่งใดให้สนใจ แต่ทำไมสีหน้าพวกเจ้า คล้ายกับพบพานเรื่องราวพิสดารอันใดมา”

เล่อต้าเต๋อ หันสบสายตากับต๊กม้อเต็กลามะ แล้วหันมามองหน้าเสิ่นซื่อสูอวี้ จากนั้นหันมาทางด้านหลิวซุ่นกงกง ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า

“ทารกน้อยผู้นั้นภายนอกมิมีสิ่งใดน่าสนใจ แต่ทว่าทารกสารรูปดั่งยาจกขอทานผู้นั้น มันกลับใช้กระบวนท่าวิชาแปลกประหลาดพิสดารพวกเรามิเคยพบพานวิชาฝ่ามือนี้มาก่อน ทำให้พวกเราสองคนไม่กล้าจะลงมือโดยวู่วาม ในช่วงจังหวะนั้นกลับมีเพิ่มมาอีกสองคน เป็นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง พอปรากฏตัวก็ซัดขว้างระเบิดควันเข้าใส่ในกลุ่มต่อสู้ พอฝุ่นควันจางหายพวกมันทั้งหมด พากันหลบหนีไม่มีผู้ใดเหลือแม้แต่ผู้เดียว"

เสิ่นซื่อสูอวี้ รีบกล่าววาจาต่อจากเล่อต้าเต๋อทันทีว่า

"ใช่แล้วท่านหลิวซุ่นกงกง ทารกน้อยขอทานผู้นั้น มันใช้วิชาท่าร่างที่พวกเราไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดูจากกระบวนท่าวิชาฝ่ามือ วรยุทธ์ของทารกน้อยผู้นี้มิธรรมดา คาดว่ามีฝีมือเก่งกล้าพอตัว ถือว่าเป็นทารกน้อยอันน่ากลัวผู้หนึ่งก็ว่าได้”

เล่อต้าเต๋อ รีบกล่าวต่ออีกว่า

“ดูจากกระบวนท่าและสภาวะท่าร่าง ที่ทารกน้อยใช้ซัดทำลายอาวุธของพวกเราทั้งสอง ลมปราณที่ใช้ไม่เคยเห็นช่างน่าแปลกพิสดารนัก ในความเกรี้ยวกราดดุดัน กลับแฝงความอ่อนหยุ่นพลิ้วไหว ทำให้พวกเราทั้งสองตระหนกตกใจไปบ้าง ดังนั้นจึงมิกล้าด่วนลงมือโต้ตอบช่วงหนึ่ง ท่านหลิวซุ่นกงกงโปรดอภัยให้กับพวกเรา ที่ปล่อยให้เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า อีกทั้งทารกน้อยเหล่านั้นหนีรอดไปได้"

หลิวซุ่นกงกง เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของสามยอดฝีมือ คล้ายกับท่านจะมีอาการตื่นตระหนกตกใจเล็กน้อย แต่ทว่ารีบเก็บซ่อนอาการเอาไว้ มิให้ผู้ใดทันสังเกตเห็น ต่อจากนั้นเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าส่งเสียงกล่าวตอบออกมาว่า

"มีเรื่องราวเช่นนี้จริง ๆ? เอาเถิดเราไม่อาจกล่าวโทษโกรธพวกท่านทั้งหลายได้ เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า ในเมื่อมันมีความสามารถ เอาตัวรอดหนีพ้นเงื้อมมือของพวกท่านไปได้ ในวันหน้ามันต้องระมัดระวังตัว เมื่อมันหนีไปได้ในครั้งนี้ คงยากที่เราจะเล่นงานมันได้อีก”

เจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าแสดงสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมกับยกมือขึ้นลูบเครากล่าววาจาต่อว่า

“ต่อให้เจ้าหุบเขามู่ชิวป้า หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว เรายังไม่อาจนิ่งนอนใจ ปล่อยมันไปโดยไร้เรื่องราวได้ ก่อนที่มันจะนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปบอกเล่าให้แก่สหายชาวยุทธ์ทราบ เราจะต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม่ใช่แต่มันที่เราคิดปิดปาก ศิษย์ของมันรวมถึงทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่ละเว้น”

ต๊กม้อเต็กลามะ พร้อมด้วยสองยอดฝีมือแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย ต๊กม้อเต็กลามะแสดงท่าทางกระตือรือร้น ส่งเสียงกล่าวถามว่า

“มิทราบว่า ท่านหลิวซุ่นกงกงต้องการให้พวกเราจัดการเช่นไรกับพวกมัน?”

หลิวซุ่นกงกง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“พวกท่านทั้งสาม รีบจัดกำลังคนออกติดตาม ใช้ทุกวิถีทางเล่นงานมัน พวกท่านลองทบทวนนึกดูให้ดี เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า รวมทั้งศิษย์สตรีของมัน อีกทั้งทารกแปลกหน้าที่พวกท่านกล่าวถึง พวกมันทั้งหมดจะไปที่ใดได้บ้าง?”

เสิ่นซื่อสูอวี้รีบกล่าวตอบออกไปว่า

“หากว่าพวกมันทั้งหมดเดินทางไปด้วยกันทั้งหมด คิดว่าพวกเราคงสืบสาวหาร่องรอยได้ไม่ยาก แต่หากพวกมันแยกกันหลบหนี วิธีนี้น่าจะเป็นหนทางที่พวกมันเลือกใช้ เนื่องด้วยหนทางรอดมีความเป็นไปได้สูง”

หลิวซุ่นกงกง พยักหน้าคล้ายเห็นด้วยต่อคำพูดของเสิ่นซื่อสูอวี้ แล้วส่งเสียงกล่าวว่า

“พวกท่านทั้งสามอย่าได้ชักช้า รีบจัดกำลังคนออกติดตาไล่ล่าพวกมัน อย่าปล่อยให้พวกมันมีชีวิตรอดไปได้ หากพวกมันเพียงผู้หนึ่ง มีชีวิตรอดถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน ผู้ที่ตกอยู่ในความยุ่งยากลำบาก คล้ายจะกลายเป็นฝ่ายเราแล้ว"

ยามนี้ มิเพียงแต่เหล่ายอดฝีมือทั้งสาม แต่รวมถึงหัวหน้าตึกทั้งสาม ต่างส่งเสียงรับคำอย่างขันแข็ง ว่าพวกมันจะจัดคนออกไล่ล่า ควานหาตัวเจ้าหุบเขามู่ชิวป้ากับศิษย์ทั้งสอง รวมทั้งทารกแปลกหน้าเหล่านั้น พร้อมกับสังหารเป็นการฆ่าคนปิดปาก ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะถูกแพร่งพราย พวกมันทั้งหมดต้องตายก่อนวันงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินแน่นอน

หลิวซุ่นกงกง คล้ายนึกเรื่องราวใดขึ้นมาได้ แสดงท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเอ่ยกล่าวถามว่า

"เรามีเรื่องราวหนึ่งทียังคงคาใจ เรื่องราวของทารกน้อยขอทานผู้นั้น ฟังจากที่พวกท่านเล่ามา ทารกน้อยผู้นี้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ถ่ายทอดคำสั่งของเราออกไป หากพบตัวทารกน้อยผู้นี้ที่ใด? อย่าได้ฆ่ามันเด็ดขาด เราต้องการตัวมันเป็น ๆ ยังมีลมหายใจ ให้นำตัวทารกนั่นกลับมายังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เรามีเรื่องราวที่ยังข้องใจขบคิดมิออก เราต้องการสอบถามหาคำตอบจากปากมัน หากเราได้คำตอบที่ต้องการแล้ว เราค่อยส่งมันไปปรโลกด้วยตัวเราเอง"

เหล่ายอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ส่งเสียงพร้อมเพรียงรับคำดังว่า

"พวกเรารับทราบแล้ว น้อมรับคำสั่งของท่านหลิวซุ่นกงกง พวกเราจะรีบปรึกษาหารือ วางแผนการอันรัดกุม แยกย้ายกันทำงานตามคำสั่งท่าน ในครั้งนี้จะมิให้เกิดความผิดพลาดได้อีก จะมิมีเรื่องราวเกิดขึ้นดั่งเช่นครั้งนี้อีกเป็นอันขาด"

บัดนี้ เจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวซุ่นกงกง รวมทั้งเหล่ายอดฝีมือทั้งหมด ต่างเดินทางกลับมาถึงหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ภายในห้องโถง เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง มันทั้งสองกำลังใช้กำลังภายในรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ดูจากอาการคาดว่าสาหัสอยู่ไม่น้อย คิดว่าอาจต้องใช้เวลารักษาอาการบาดเจ็บ น้อยราวครึ่งเดือนหากนานกว่านั้นอาจเป็นเดือน

สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง เมื่อทราบว่าคนทั้งหมดกลับมาถึงแล้ว ต่างพากันลืมตาขึ้นขยับริมฝีปากคิดกล่าววาจา แต่ยังมิทันได้ส่งเสียง หลิวซุ่นกงกงรีบยกมือห้ามขึ้นก่อน พร้อมกับส่งเสียงกล่าวกับมันทั้งสองว่า

"เอาเถิด พวกเจ้าทั้งสองมิต้องกล่าววาจา ประเดี๋ยวจะกระทบกระเทือนอาการบาดเจ็บ นับจากวันนี้พวกเจ้าทั้งสอง พักผ่อนให้มากตั้งใจรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนหมอที่เชี่ยวชาญการรักษา เราจะให้คนไปจัดการรับตัวมา คิดว่าคงหายทันวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน”

หลิวซุ่นกงกง ก้าวเดินขึ้นไปแล้วทรุดลงนั่งยังเก้าอี้ พลางทอดสายตาสำรวจทุกคนเที่ยวหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า

“เราเองต้องวางแผนการสำคัญอีกหลายอย่าง งานนี้คิดว่าไม่ง่ายดายนัก หากเราคิดจะควบคุมชาวยุทธ์เอาไว้ จากการที่เราได้หารือกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินมา ท่านหลุดปากออกมาว่า การคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ มีความจำเป็นและยุ่งยาก อีกทั้งยังมีลำบากใจอยู่หลายประการ”

เจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวซุ่นกงกง ยกถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขวามือขึ้นดื่มอึกหนึ่ง เมื่อวางถ้วยน้ำชาลงบนจานรองแล้ว ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า

“ท่านเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินกล่าวว่า เหล่าชาวยุทธ์ส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ราชสำนักเข้าไปเกี่ยวข้อง อีกทั้งไม่ต้องการให้สอดมือเข้าไปมีส่วนยุ่งเกี่ยว กับเรื่องราวชาวยุทธจักรบู๊ลิ้ม ดังนั้นเราได้แต่เพียงเข้าร่วมชุมนุมเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจ หรือส่งผู้ใดเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้เด็ดขาด"

ต๊กม้อเต็กไต้ซือได้ยินเช่นนั้น จึงส่งเสียงกล่าวถามขึ้นว่า

"หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ท่านหลิวซุ่นกงกง คิดจะกระทำเช่นไรต่อไป? หลายปีมานี้ท่านเองรวมทั้งพวกเราทั้งหมด ต่างตระเตรียมความพร้อมลอบวางแผนการอันรัดกุม อีกทั้งยังจัดวางกำลังคนเอาไว้ในที่ต่าง ๆ พร้อมกันนั้นยังสร้างเครือข่ายคลี่กางแหฟ้าตาข่ายดิน รวมถึงสร้างความสัมพันธ์กับชาวยุทธ์มากมาย มิใช่สุดท้ายต้องมาคว้าน้ำเหลวเอาตอนสุดท้าย”

 เล่อต้าเต๋อแสดงท่าทีเห็นด้วย ส่งเสียงกล่าวสนับสนุนดังว่า

“หากจะให้วิจารณ์ตามความจริงแล้ว ตำแหน่งเสนาบดีของท่านหลิวซุ่นกงกง สมควรยกย่องให้เกียรติแก่ท่านให้มาก อีกทั้งยังต้องเกรงอกเกรงใจไม่อาจลบหลู่ ด้วยยศศักดิ์ฐานะของท่านแล้ว ยิ่งมีความเหมาะสมในทุกด้าน ชาวยุทธ์จักรเสนอความคิดนี้ต่อเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ถือว่าไม่ถูกต้องสักเท่าใด?”

เสิ่นซู่สูอวี้ส่งเสียงกล่าวเสริมเติมต่อว่า

“ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า เหล่าชาวยุทธ์ที่เสนอความคิดนี้อาจมีเพียงส่วนหนึ่ง แต่มิใช่เสียงส่วนใหญ่ของชาวบู๊ลิ้ม เมื่อถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ในวันนั้น เสียงของผู้ที่สนับสนุนท่านอาจมีมากกว่าก็ได้  บางทีท่านหลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้า อาจจะถูกเสนอชื่อเข้าชิงผู้นำชาวยุทธ์เป็นลำดับต้น ๆ ก็เป็นได้"

หลิวซุ่นกงกง แสดงท่าทางใช้ความคิด ยกชาขึ้นดื่มอีกอึกหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า

"ในตอนแรก หมากที่เราหมายตาเอาไว้ ผู้ที่คิดว่าจะสนับสนุนเรานั้น มีเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน หัวหน้าพรรคไผ่หลิว เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณ และสุดท้ายเป็นหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว”

หลิวซุ่นกงกงแสดงสีหน้าท่าทางเสียดาย ส่งเสียงกล่าวต่อทันทีว่า

“ความจริงแล้ว เพียงอาศัยสี่สำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หากสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะ กับวัดเส้าหลินสนับสนุนหมู่ตึกระเรียนฟ้า ค่ายพรรคสำนักไร้ชื่ออื่น ๆ คงมิกล้าคัดค้านแน่นอน แต่ทว่าตอนนี้ความผิดพลาดเกิดขึ้นจนได้ เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้า มันไม่น่าจะมาสร้างปัญหาความยุ่งยากให้กับเรา”

ยามนั้น หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย ซึ่งยืนรับฟังเรื่องราวอยู่เนิ่นนานแล้ว ส่งเสียงแสดงความคิดเห็นออกมาว่า

“การเสียชีวิตของหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวน ล้วนมีเงื่อนงำอำพราง เป็นที่น่าเคลือบแคลงอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้หมู่ตึกกระเรียนฟ้า กับหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ล้วนเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน ไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางผิดใจกันมาก่อน เหตุการณ์ในครั้งนี้ใช่มีความนัยอันใดแอบแฝงหรือไม่?”

หลิวซุ่นกงกง พยักหน้าช้า ๆ ท่าทางใช้ความคิด จากนั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เราเองก็ขบคิดไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า มีเหตุผลอันใด? จึงกล้าเข้ามาเข่นฆ่าคนของเราในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า การกระทำของมันคล้ายกับเหยียบหน้าเรา ดังนั้นเราจึงมิอาจปลดปล่อยให้มันหนีรอดไปได้”

หัวหน้าตึกเมฆาฉีฝ่าน แสดงความคิดเห็นบางว่า

“ข้าพเจ้าล้วนเห็นด้วยกับหัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย การตายของหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวนคล้ายไม่ปกติไปบ้าง เหมือนยังคลุมเครือดั่งเมฆหมอกปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ท่านหลิวซุ่นกงกงได้สังเกตท่าทีของเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวหรือไม่ ราวกับมันมิได้ลงมือแต่ตกบันไดพลอยโจน ด้วยสถานการณ์บังคับ จึงได้ลงมือตอบโต้หาทางหลบหนี”

หลิวซุ่นกงกง แสดงท่าทางใช้ความคิด พยักหน้าคล้ายเห็นด้วยอยู่ส่วนหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวตอบออกมาว่า

“เราเองก็ยังสงสัยในตัวมันเช่นกัน ดูจากปฏิกิริยาของมัน คล้ายกับว่ามันมิใช่ผู้ลงมือกระนั้น หากทว่าเป็นมันจริง ๆ ที่เป็นผู้ลงมือ มิฉะนั้นแล้วมันคงใช้ฝ่ามืออำมหิต ดั่งเช่นใช้จัดการกับหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวน เล่นงานพวกท่านแล้วก็ได้”

หลิวซุ่นกงกงหยุดครุ่นคิดเล็กน้อย ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“ในตอนนั้นเราเองใจร้อนไม่ทันใคร่ครวญ พวกเราด่วนรีบลงมือต่อมันโดยมิได้สวบสวน เรื่องนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องไม่ส่งผลดีต่อเราอย่างแน่นอน ดังนั้นหากปล่อยให้มันมีชีวิตรอด กระทั่งไปปรากฏตัวในงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลินได้ เห็นทีเราคงต้องใช้วิธีการอื่นรับมือแทน"

หัวหน้าตึกอินทรีต้าถง ได้ยินหลิวซุ่นกงกงกล่าววาจาออกมาคล้ายกับมีแผนการอื่นไว้รองรับอยู่ในใจ ดังนั้นจึงรีบกล่าววาจา ส่งเสียงกล่าวถามออกไปทันทีว่า

"ข้าพเจ้าฟังจากคำพูดของท่านหลิวซุ่นกงกงเมื่อครู่ คล้ายกับท่านมีแผนการอื่นรองรับอยู่กระนั้น? มิทราบว่าแผนการที่ท่านเตรียมเอาไว้ สามารถบอกกล่าวออกมาให้กับพวกเราในที่นี่ ให้รับทราบถึงแผนการดังกล่าวได้บ้างหรือไม่?”

หลิวซุ่นกงกง แสดงสีหน้าขบคิดตัดสินใจ ใช้ความคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวตอบว่า

"ถูกต้อง ความจริงเรามีหมากอีกตาหนึ่งซึ่งเตรียมไว้ อาจถือว่ายังเหนือชั้นกว่าแผนการแรกเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อบรรดาชาวยุทธ์มิให้เราซึ่งเป็นคนของราชสำนัก ลงแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้”

หลิวซุ่นกงกง ส่งเสียงหัวร่อในลำคอเบา ๆ ก่อนจะส่งเสียงราบเรียบแต่แน่นหนัก อีกทั้งยังแฝงความเฉียบขาดกล่าวต่อว่า

“เราหลิวซุ่นกงกง ผู้เป็นเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ในเมื่อไม่อาจลงช่วงชิงตำแหน่งประมุขยุทธภพได้ เราก็จะให้ผู้อื่นซึ่งเป็นชาวยุทธ์ ลงแข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์แทน โดยที่เราจะคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง มิหนำซ้ำบุคคลผู้นี้ที่เราหมายตาเอาไว้ ถือได้ว่าพลังฝีมือสูงเยี่ยม มีความรอบรู้ทั้งบุ๋นบู๊ถือว่าร้ายกาจยิ่ง อีกทั้งจิตใจของคนผู้นี้ยังโหดเหี้ยมอำมหิต เราแอบติดต่อกับคนผู้นี้สิบกว่าปีแล้ว กระทั่งบัดนี้ยังลอบนัดพบกันอยู่บ่อยครั้ง"

เล่อต้าเต๋อ พอได้ยินเช่นนั้น มันเกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาทันที ครุ่นคิดขึ้นในใจว่า

“คนผู้นี้ที่หลิวซุ่นกงกงกำลังกล่าวถึง เป็นผู้ใดกันแน่? เราเคยพบปะกับคนผู้นี้มาบ้างหรือไม่? ไฉนที่ผ่านมาหลิวซุ่นกงกงจึงไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อนเลย ในยุทธภพนอกจากสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะแล้ว ยังมีค่ายพรรคสำนักใด? ที่ซ่อนบุคคลชนชั้นยอดฝีมือ ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตอยู่อีก”

ยามนี้ เมื่อหลิวซุ่นกงกงกล่าวถึงชนชั้นยอดฝีมือ ที่มีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊ โดยท่านกล่าวว่าได้ลอบติดต่อกับคนผู้นี้มานานกว่าสิบปีที่ผ่านมา หากคำพูดนี้ของหลิวซุ่นกงกงเป็นจริง ย่อมหมายความว่าคนผู้นี้ มีพลังฝึกปรืออันร้ายกาจลึกล้ำ นับว่ายังสูงส่งกว่าพวกตนที่อาศัยอยู่ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าแน่นอน มิใช่เล่อต้าเต๋อผู้เดียวที่รู้สึกคันปากอยากกล่าวถาม คนอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการทราบคำตอบที่กระจ่างบัดเดี๋ยวนี้ พอดีเล่อต้าเต๋อเอ่ยกล่าวถามขึ้นก่อนว่า

"เรียนถามท่านหลิวซุ่นกงกง มิทราบว่าบุคคลที่ท่านกล่าวถึง เมื่อสักครู่ ท่านบอกว่ามีพลังฝีมือยอดเยี่ยมสูงส่ง แสดงว่าคนผู้นี้ที่ท่านกำลังกล่าวถึง ยังมีพลังวิชาฝ่ามือเหนือล้ำกว่าไต้ซือม้อเต็กลามะอีกใช่หรือไม่?”

เสิ่นซื่อสูอวี้ รีบส่งเสียงกล่าวถามต่อทันทีว่า

“หากเป็นเช่นนั้น ไฉนที่ผ่านมาพวกเราจึงไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย ท่านหลิวซุ่นกงกงมิเคยปริปากเอ่ยถึงมาก่อน อีกทั้งท่านยังวางตัวคนผู้นี้ไว้ ให้เป็นตัวแทนเข้าช่วงชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์แทนหมู่ตึกกระเรียนฟ้าอีกด้วย มิทราบว่าบุคคลชนชั้นยอดฝีมือสูงส่ง ผู้ที่ท่านกำลังกล่าวถึง มันมีฉายาหรือชื่อเรียกหาว่ากระไร?"

เจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า หลิวซุ่นกงกงส่งยิ้มแสดงความพึงพอใจ กระแอมไอดวงตาทั้งสองเป็นประกาย ส่งเสียงกล่าวภูมิอกภูมิใจว่า

"เอาเถิด ในเมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะเกริ่นให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบสักเล็กน้อยก็แล้วกัน หลังจากนั้นพวกท่านค่อยพบเจอกับบุคคลผู้นี้ในวันชุมนุมชาวยุทธ์ แท้จริงแล้วท่านทั้งหลายในที่นี่น่าจะคุ้นเคยกับบุคคลท่านนี้อยู่บ้าง ได้ยินเช่นนี้แล้วคงทำให้พวกท่าน ยิ่งเพิ่มความสนใจใคร่รู้ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ มากขึ้นอีกเท่าตัวสินะ?"

หลิวซุ่นกงกง กล่าววาจากระตุ้นความสนใจ แล้วหยุดคำพูดเอาเอาไว้กลางคัน หันมาจิบชาคำหนึ่ง จากนั้นลึกขึ้นจากเก้าอี้นั่ง ก้าวเท้าเดินไปยังม้านั่งอีกตัวหนึ่งริมหน้าต่าง คนรับใช้ยกชุดน้ำชาติดตามมาวางไว้

ม้านั่งตัวนี้ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ซึ่งยังวางโต๊ะไม้จันทน์แดงอีกตัวหนึ่ง บนโต๊ะไม้จันทน์แดงวางชุดน้ำชา พอหลิวซุ่นกงกงนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บรรจงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างช้า ๆ คล้ายกับว่าต้องการกลั่นแกล้งผู้คนให้หงุดหงิด ทุกคนที่ก้าวเท้าติดตามมาหยุดยืนอยู่ไม่ไกล เมื่อดื่มน้ำชาจนหายคอแห้งแล้ว หลิวซุ่นกงกงกล่าววาจาต่อว่า

"บุคคลผู้นี้ ท่านทั้งหลายอาจจะเคยรู้จักมาก่อน หรือไม่ก็อาจเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง ในอดีตนับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง ผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดฝีมือหนึ่งในห้า ของสำนักหนึ่งซึ่งล่มสลายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน บุคคลผู้นี้เก็บตัวซ่อนกายมาสิบห้าปี โดยที่ไม่มีชาวยุทธ์ผู้ใดเคยพบเห็น มิเคยมีผู้ใดพบเห็นเลยจริง ๆ หรืออาจจะเคยพบเห็น?”

หลิวซุ่นกงกง กล่าวทิ้งปริศนา ยิ่งทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยอยากรู้ หลิวซุ่นกงกงส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“หลายคนเข้าใจผิดคิดไปว่า บุคคลผู้นี้ได้ตายจากไปจากยุทธภพแล้วเมื่อสิบห้าปีก่อนแล้ว แต่ความจริงมันยังไม่ตาย บัดนี้ได้เวลาที่มันจะหวนกลับคืนสู่ยุทธจักรอีกครั้ง กลับมาพร้อมกับพลังฝีมือที่รุดหน้าจนน่ากลัวกว่าในอดีต เรากล้ารับรองได้ว่า บรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายจะต้องหนาวสั่นขวัญผวากันอีกครา เมื่อถึงเวลาที่คนผู้นี้ปรากฏตัว ทุกท่านคอยดูไปเถิด เราหลิวซุ่นกงกง กล่าววาจาได้เพียงเท่านี้ ฮาฮา"

เมื่อกล่าววาจาจบ หลิวซุ่นกงกงแหงนหน้าหัวร่อเสียงดังกังวาน พร้อมกับยกฝ่ามือข้างหนึ่ง ตบลงยังโต๊ะไม้จันทน์แดงซึ่งวางชุดน้ำชา โต๊ะไม้จันทน์แดงตัวนี้ ถือว่าสร้างจากไม้เนื้อแข็งชั้นดีแถมมีราคาแพง ความหนาของเนื้อไม้ราวหนึ่งคืบ

ยามนั้น พอฝ่ามือของหลิวซุ่นกงกง สัมผัสกระทบโต๊ะไม้จันทน์แดงอันแข็งแรงนั่น บังเกิดเป็นเสียงเปรี้ยงปร้างดั่งสนั่น ดั่งแจกันเครื่องลายครามขนาดใหญ่ ถูกผู้คนจับทุ่มลงกับพื้นโดยแรง โต๊ะไม้จันทน์แดงแข็งแรงหนาราวหนึ่งคืบ ที่วางอยู่ในสภาพดีเมื่อครู่ บัดนี้แตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี เศษของชิ้นไม้กับถาดชุดถ้วยน้ำชา ปลิวว่อนกระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ

ทุกคนในห้องโถง ต่างมองดูหลิวซุ่นกงกงราวเป็นสายตาเดียวกัน ในยามนี้เสื้อผ้าของท่านที่สวมใส่ พลันบวมเป่งพองโตดั่งพกลมเอาไว้ภายใน เส้นผมสีขาวที่แซมด้วยสีดำจาง ๆ ดั่งดอกเลา ต่างยกตัวชูชี้ชันตั้งตรงคล้ายดั่งงูที่มีชีวิตมิปาน ดูแล้วชวนให้รู้สึกตระหนกตกใจยิ่งนัก

ทุกคนในที่นี่ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ใด ได้เห็นพลังฝีมือที่แท้จริงของหลิวซุ่นกงกงมาก่อน เมื่อเห็นโต๊ะไม้จันทน์แดงแข็งแรงหนาหนึ่งคืบแตกละเอียดง่ายดายภายในฝ่ามือเดียว ต่างพากันขนลุกเกรียวกราวราวหนาวสั่น คาดคิดไม่ถึงว่าเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ยามลงมือจะรวดเร็วเกรี้ยวกราดดุดันถึงเพียงนี้  หลิวซุ่นกงกงในยามนี้ ท่านลุกขึ้นยืนแหงนหน้ามองฟ้าออกไปทางหน้าต่าง ส่งเสียงหัวร่อกึกก้องกังวาน เสียงดังยาวนานคล้ายคนคลุ้มคลั่งเสียสติ พอสิ้นเสียงหัวร่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเสียดกระดูดข่มขวัญผู้คนว่า

"ฮาฮา ผู้ใดคล้อยตามเราอยู่ ผู้ใดขัดขวางเราจงเป็นเช่นโต๊ะไม้จันทน์แดงตัวนี้"

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป