ตอนที่ 12
นายน้อยแห่งสำนักมารสวรรค์
“ข้าพเจ้าเห็นคนชุดดำผู้หนึ่ง แถมยังคลุมหน้ามิดชิด แอบหลบซ่อนในมุมมืดซอกหนึ่ง ค่ำคืนนั้นมีคนตายภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ส่วนรายละเอียดเป็นเช่นไรนั้น ข้าพเจ้าจึงมิได้อยู่สืบสาว ด้วยเกรงว่าฐานะของข้าพเจ้าจะถูกเปิดเผย”
เมื่อนางเล่าเรื่องราว ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนชุดดำ ที่หลบซ่อนในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ให้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กับอั้งเซี๊ยะเปาฟัง นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน สันนิษฐานว่าอาจเป็นบุคคลเดียวกับที่นางพบเจอ ยังเนินเสือดาวก็เป็นได้ กระทั่งบัดนี้ นางให้คนออกสืบข่าวหาคนผู้นี้ แต่ยังไร้วี่แววเบาะแสกลับมา
หลังจากออกจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เหยาเยี่ยนผิงเดินทางไปยังหมู่บ้านเย้ยอรุณ ตามคำสั่งของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางปลอมตัวเป็นบุรุษชุดดำ ไปพบกับชุดดำอีกผู้หนึ่ง ซึ่งเคยมาพบกับมารดาของนาง ที่สำนักมารสวรรค์อยู่หลายครั้ง แต่กระทั่งบัดนี้ เหยาเยี่ยนผิงกลับไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง ของบุคคลชุดดำผู้นี้แม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากทุกครั้งที่เจอกับคนผู้นี้ มันล้วนปิดบังใบหน้าอำพรางตลอดเวลานั้นเอง
นางเคยสอบถามมารดา ว่าชุดดำลึกลับมันเป็นผู้ใด แต่คำตอบที่ได้กลับมา บอกแต่เพียงว่าสักวันนางจะทราบกระจ่างเอง
“เจ้ามิต้องทราบประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ กระทั่งมารดาร่วมมือกับมันมาหลายปี เราเองยังไม่ทราบเช่นกันว่า มันที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่?”
นางมารเยือกเย็นบอกกล่าวกับนางเช่นนี้ทุกครั้ง มิว่านางจะเอ่ยถามความเป็นมาของคนผู้นี้กี่ครั้งก็ตาม
เหยาเยี่ยนผิงทราบแต่เพียงว่า มันเป็นคนที่ร่วมแผนการยึดครองยุทธภพ ร่วมกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจึงไม่ซักถามหาคำตอบอีก
ค่ำคืนที่นางไปพบกับคนชุดดำผู้นี้ บริเวณท้ายหมู่บ้านเย้ยอรุณ ขณะกำลังสนทนา นางพบเห็นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ดังนั้นนางกับชุดดำผู้นั้นจึงสะกดรอยติดตามไป จากนั้นลอบฟังการสนทนาของทั้งคู่ หลังจากนั้นมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งมุ่งหน้ามา จึงพากันแยกย้ายกับคนชุดดำผู้นี้ จากนั้นเดินทางกลับมายังสำนักมารสวรรค์ เขาหมางซาน
คนชุดดำลึกลับผู้นั้น แม้แต่ชื่อแซ่ของมัน เหยาเยี่ยนผิงยังมิทราบ มารดาของนางได้แต่ให้เรียกหาว่า ท่านอาวุโสก็เพียงพอ ดังนั้นนางจึงเรียกเช่นนี้เรื่อยมา กระทั่งเมื่อสองเดือนก่อน คนผู้นี้ได้เดินทางมายังสำนักมารสวรรค์อีก มันมาเพื่อพบกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน อีกทั้งยังสนทนากันอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน
ส่วนเรื่องราวของยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ซึ่งนางได้รับคำสั่งจากมารดา ให้ติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นไปนั้น นางเพียงเล่าเรื่องราวให้กับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนทราบ ถึงแม้นว่าจะบอกเล่าโดยละเอียดเพียงใด แต่นางจงใจและปกปิด โดยข้ามเรื่องราวหนึ่งไป
เรื่องราวที่นางกล่าวข้าม เป็นเรื่องราวซึ่งนางได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเอาไว้นั้นเอง นางเห็นว่าไม่มีสาระสำคัญอะไร อีกทั้งนางและมารดามิเห็นจะต้องเสียเวลา กับคนไร้หัวนอนปลายเท้าชั้นปลายแถวผู้หนึ่ง
เด็กหนุ่มซอมซ่อแถมไร้วรยุทธ์ผู้หนึ่ง คงมิส่งผลกระทบถึงแผนยึดครองยุทธภพไปได้ ที่จริงแล้ว นางมิได้ตั้งใจช่วยเหลือเขาด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะนางต้องการก่อกวน สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งนั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม นางกลับมิเข้าใจตนเองเช่นกัน บ่อยครั้งที่นางกลับนึกถึงใบหน้าทึ่มเซ่อ ของเด็กหนุ่มซอมซ่อผู้นี้ขึ้นมามิได้
อีกสองเดือนหลังจากนี้ การชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน กำลังจะมาถึง ดังนั้นวันนี้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน จึงเรียกระดมหัวหน้าสาขาต่าง ๆ เข้ามาพบ จุดประสงค์เพื่อชี้แจงรายละเอียด แผนการต่าง ๆ ที่ได้วางเอาไว้ สำหรับก่อกวนงานชุมนุมชาวยุทธ์ การคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ มิได้มีข้อห้ามแต่ประการใด ว่ามิให้สำนักมารอธรรมทั้งหลาย เข้าร่วมงานชุมนุม เมื่อเป็นเช่นนี้ นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน จึงเตรียมการ สำหรับเดินทางไปเส้าหลินในครั้งนี้นั้นเอง
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางเองต้องการทราบเบาะแสของผู้ที่ใช้ฝ่ามือลึกลับฆ่าคนเช่นกัน แม้การลงมือของคนลึกลับผู้นี้ จะส่งผลดีต่อนางอยู่บ้างก็ตาม มังกรพยัคฆ์ห้ำหั่นกัน เพียงยืนชมอยู่บนภู คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลัง เช่นนี้จะได้มิต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง
ในเมื่อฝ่ามือลึกลับผู้นั้น มันลงมือเข่นฆ่าบรรดาชาวยุทธ์ โดยที่นางมิต้องลงมือเอง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม นางยังต้องการทราบ ว่าเจ้าของฝ่ามือลึกลับนั้นเป็นผู้ใด ใช่นางจะใช้สอยประโยชน์จากมันได้หรือไม่ หรือว่ามันจะเป็นก้างชิ้นใหญ่ คอยขัดขวางแผนการของนางกันแน่
ที่ผ่านมาชาวยุทธ์ต่างยกย่อง ให้เจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลิน ดำรงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ชั่วคราว แต่อีกเพียงสองเดือนข้างหน้านี้ จะมีการชุมนุมชาวยุทธจักร พร้อมกับจัดให้มีการคัดเลือกประมุขยุทธภพอีกด้วย โดยกติกาเงื่อนไขในการคัดเลือกนั้น จะหารือและหาข้อยุติกันในวันชุมนุม เมื่อถึงวันนั้น จะได้ทราบว่าผู้ใด มีคุณสมบัติเป็นผู้นำชาวยุทธ์คนต่อไป
ถึงแม้ว่าชาวยุทธ์ และราชสำนัก ต่างร่วมมือกันสืบหาฝ่ามือลึกลับก็ตาม กระทั่งบัดนี้ยังมืดดำบอดสนิท มิมีสิ่งใดคืบหน้า แต่ทว่ายังดีที่ว่าช่วงระยะเวลานี้ คนลึกลับผู้นี้ มันมิได้ลงมือเข่นฆ่าผู้ใดอีก
วันนี้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เรียกสายของนางมาสอบถาม ซึ่งเป็นสายที่นางวางไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ นางส่งเสียงกล่าวถามว่า
“ได้เบาะแสอันใดหรือไม่? ฝ่ามือลึกลับผู้นั้น มันไม่ปรากฏตัวสักระยะหนึ่งแล้ว คาดว่าก่อนวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน มันคงก่อกวนสร้างเรื่องราวสะเทือนขวัญอย่างแน่นอน”
สายของนางผู้หนึ่งมีนามว่าอาโต่ว ส่งเสียงกล่าวตอบกับนางว่า
“พวกเราออกหาข่าวแกะร่องรอยมิได้เว้น คล้ายดั่งคำท่านกล่าว ฝ่ามือลึกลับผู้นี้ เก็บตัวซ่อนร่องรอยมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงยังมิได้เบาะแสอันใด? เกี่ยวข้องกับมันแม้แต่น้อย”
เมื่อนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน สอบถามสายคนอื่น ๆ ว่าได้เบาะแสของผู้ที่ใช้ฝ่ามือลึกลับนี้หรือไม่ คำตอบที่ได้ ทุกคนต่างตอบตรงกันว่า มิได้เบาะแสเกี่ยวข้องกับบุคคลผู้นี้ ที่ใช้ฝ่ามือลึกลับสังหารชาวยุทธ์แม้แต่เบาะแสเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน จึงให้ทุกคนออกไปจากห้องโถง โดยกล่าวว่าก่อนพลบค่ำ นางค่อยเรียกพบอีกครั้งหนึ่ง ที่หลงเหลือภายในห้องโถง มีเพียงสองคนเท่านั้น สองคนที่ว่าคือเหยาเยี่ยนผิงกับอั้งเซี๊ยะเปา นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าวกับพวกนางทั้งสองว่า
“มันเป็นผู้ใดกันแน่? ที่ใช้ฝ่ามือนี้ ซึ่งความจริง ๆ แล้ว วิชาฝ่ามือนี้ได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพ เนิ่นนานหลายปีแล้ว คิดมิถึงกลับมีคนนำมาใช้ วิชาฝ่ามือนี้กลับมาฆ่าคนได้อีก เรายิ่งขบคิดยังคิดไม่ออก หากยังไม่ทราบชัด ว่าที่แท้มันเป็นใคร? เราไม่อาจนิ่งนอนใจได้เด็ดขาด”
อั้งเซี๊ยะเปา ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง นางได้ยินนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าวถึงฝ่ามือลึกลับว่า วิชาฝ่ามือนี้ได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงคาดเดาได้ทันทีว่า นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน คิดบอกเล่าเรื่องราวที่มาของวิชาฝ่ามือนี้ ให้เหยาเยี่ยนผิงได้รับทราบนั้นเอง ส่วนนางนั้นเคยได้ฟังมาคราหนึ่งแล้ว จากการบอกเล่าของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เมื่อครั้งที่ทั้งสองปลอมเป็นนางชี ริมทะเลสาบต้งถิง
ดังนั้นอั้งเซี๊ยะเปาจึงส่งเสียงกล่าวถามว่า
“นางมารเยือกเย็นเหยา ท่านกล่าวถึงฝ่ามือนี้อีกแล้ว นอกจากท่านแล้ว ยังมีผู้ใดเคยพบเห็นวิชาฝ่ามือนี้อีกหรือไม่? เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านอย่าได้ปิดบังอำพราง เวลานี้นายน้อยเยี่ยนผิงอยู่พร้อมหน้าด้วย เช่นนั้นท่านควรบอกเล่าความเป็นมา ของวิชาฝ่ามือนี้ ให้กับนางได้รับทราบด้วย นางจะได้ระมัดระวังตัว ด้วยกลัวว่าสักวันหนึ่ง พวกเราอาจจะได้ประมือกับคนผู้นี้”
เหยาเยี่ยนผิง นางเองกำลังจะเอ่ยถามมารดาเช่นกัน พอดีอั้งเซี๊ยะเปาเอ่ยถามขึ้นก่อน นางตั้งใจจะสอบถามมารดาอยู่หลายครั้ง เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ พอมีโอกาสในครั้งนี้ จึงหันไปทางมารดา พร้อมกับส่งเสียงกล่าวถามว่า
“ถูกต้องของท่านน้า มารดาต้องบอกเล่าออกมาแล้ว ไม่เพียงแต่ท่านน้าที่อยากทราบ ข้าพเจ้าเองต้องการทราบเช่นกัน ว่าฝ่ามือลึกลับนี้มีที่มาเช่นไร? ถึงได้ร้ายกาจน่ากลัวยิ่ง วิชานี้ฆ่าคนตายภายในฝ่ามือเดียว โดยไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผล แต่ทว่าอวัยวะภายใน กลับแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน หันหน้ามาทางอั้งเซี๊ยะเปากับเหยาเยี่ยนผิง พร้อมกับเอ่ยถามเหยาเยี่ยนผิงว่า
“เยี่ยนผิง วิชาฝ่ามือนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทกลอนประโยคหนึ่ง ซึ่งมารดาชอบท่องออกมา ให้เจ้าฟังอยู่บ่อย ๆ เจ้ายังพอจดจำได้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินมารดากล่าวถาม ถึงบทกลอนประโยคหนึ่ง เหยาเยี่ยนผิงจึงนึกขึ้นมาได้ในทันที เป็นเพราะว่า นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน มักจะท่องบทกลอนประโยคนี้อยู่บ่อย ๆ แต่ทุกครั้งที่นางท่องบทกลอนประโยคนี้ มักจะมีท่าทีโกรธเกรี้ยว คล้ายกับโกรธขึ้งเคียดแค้นชิงชังต่อผู้หนึ่งผู้ใดอยู่มิปาน จึงรีบกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าย่อมจดจำได้ มารดาท่านชอบร่ายกลอนบทนี้ ให้ข้าพเจ้าฟังอยู่บ่อย ๆ เยี่ยนผิงจะท่องออกมา ให้มารดารับฟังว่าถูกต้องหรือไม่?”
กล่าวจบคำ เหยาเยี่ยนผิงท่องบทกลอนบทหนึ่งออกมา ให้แก่มารดากับอั้งเซี๊ยะเปาได้รับฟัง นางท่องว่า
“ขุนเขาสูงหยั่งฟ้า สมุทรธาราลึกหยั่งดิน หยินหยางสร้างสรรพสิ่ง อัคคีสายลมสมดุล ดารากลาดเกลื่อนเคลื่อนคล้อย กำเนิดหมื่นเทพเซียนสวรรค์”
เหยาเยี่ยนผิงท่องบทกลอนออกไป จดจำได้ว่ายามใดที่มารดาท่องบทกลอนนี้ นางจะมีอารมณ์แปรปรวน หวนนึกถึงความหลัง คล้ายกับเจ็บช้ำน้ำใจ เคียดแค้นชิงชังผู้หนึ่งผู้ใดอยู่มิคลายกระนั้น เหยาเยี่ยนผิงนางเองเคยสอบถามมารดาอยู่หลายครั้ง ถึงที่มาของบทกลอนนี้ ที่แท้มีความเกี่ยวข้องกับผู้ใด นางไม่เคยตอบคำถามนี้ ได้แต่ทอดถอนใจ แล้วสั่งห้ามว่าอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
“ผู้ใดกันแน่ผู้ซึ่งเป็นที่มาของฝ่ามือลึกลับนี้ หากข้าพเจ้าคาดเดามิผิด คงเป็นยอดคนผู้หนึ่งถูกต้องหรือไม่?”
เหยาเยี่ยนผิงกล่าววาจาคาดเดา นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเยียนเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าววาจาตอบว่า
“เจ้าคาดเดาได้ถูกต้อง ย่อมเป็นยอดคนผู้หนึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองในยุคนั้น แต่ทว่าได้เกิดเรื่องราวมากมาย มารดาไม่สะดวกที่จะเอ่ยถึง ยอดคนผู้นี้ท่านได้อำลาโลกนี้ไปเนิ่นนานสิบกว่าปีแล้ว แต่ทว่าครั้งที่ท่านยังมีชีวิต มิยอมถ่ายทอดวิชาฝ่ามือนี้ให้กับผู้ใด?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ทอประกายสายตาเย็นชา ซ่อนเร้นความเคียดแค้นแน่นอก ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“แม้กระทั่งศิษย์ของตนเองทั้งห้าคน ท่านยังไม่ยกเว้น ปล่อยให้วิชาฝ่ามือนี้สาบสูญไปสิบกว่าปี พอมีคนถูกสังหารตายภายใต้วิชาฝ่ามือนี้ คิดแล้วมารดาเอง ยังมืดแปดด้านเช่นกันว่าเป็นผู้ใดกันแน่? ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาฝ่ามือร้ายกาจนี้”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน แสดงท่าทีโกรธขึ้งขึ้นมา เมื่อเอ่ยถึงยอดคนผู้นี้ นางหยุดวาจาครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า
“ยอดคนผู้นี้เพียงบอกกับศิษย์ทั้งห้าว่า กระบวนท่าวิชาฝ่ามือนี้โหดเหี้ยมอำมหิต ยิ่งฝึกยิ่งเพิ่มพูนไอเย็นแห่งความชั่วร้าย หากผู้ฝึกปราศจากจิตสำนึกไร้ซึ่งคุณธรรม เมื่อฝึกแล้วอาจจะกลายเป็นมารได้ จึงมิยอมถ่ายทอดให้กับศิษย์ผู้ใด เพียงแต่บันทึกไว้บนจีวรผืนหนึ่ง ซึ่งห่มอยู่บนร่างของหลวงจีนแห่งวัดเส้าหลิน แต่ทว่ามันได้สูญหายไปเนิ่นนานแล้วพร้อมกับร่างของหลวงจีนท่านนั้น ภายใต้หน้าผาเทพนิรันดร์ เขาหมื่นเซียน นึกมิถึงเลขจริง ๆ ล่วงเลยมากระทั่งบัดนี้ กลับมีคนตายภายใต้กระบวนท่าวิชาฝ่ามือนี้ มารดานึกมิออกว่าเป็นฝีมือผู้ใด?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าววาจาเพียงเท่านี้ มิได้เล่ารายละเอียดเพิ่มเติมอีก เมื่อเป็นเช่นนั้น คนทั้งสองไม่อยากซักถาม เพราะเห็นสีหน้าของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน เริ่มแสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมา คนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนเรื่องสนทนา เพื่อมิให้นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียนโกรธแค้นมากมายไปกว่านี้ ปล่อยให้นางใจเย็นลงแล้วค่อยสอบถามรายละเอียดดูอีกทีในภายหลัง
เมื่อนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน สงบจิตใจเป็นปกติแล้ว นางกล่าวกับเหยาเยี่ยนผิงว่า
“นับไปจากวันนี้ เหลือเวลาอีกเพียงหกเดือนเท่านั้น การชุมนุมชาวยุทธ์จะจัดขึ้นที่เส้าหลิน ครั้งนี้มารดาคิดว่า จะต้องมีบรรดาชาวยุทธ์มากมายทั่วสารทิศ ต่างเดินทางมาร่วมงานอย่างคับคั่ง เยี่ยนผิงเจ้าเองเพิ่งออกท่องเที่ยวยุทธภพได้ไม่นานนัก ทางด้านสติปัญญากับวรยุทธ์ มารดาไม่ค่อยห่วงเจ้าเท่าใดนัก”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ทอดสายตามองเยี่ยนผิงเที่ยวหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“เกรงแต่เจ้าจะหลงกลฝ่ายธัมมะ ซึ่งพวกมันร่วมมือกัน ถึงเวลานั้นเจ้าอาจเพลี่ยงพล้ำเสียทีพวกมันได้ ในยุทธภพไม่มีผู้ใดรู้จักเจ้ามาก่อน อีกทั้งยังมิทราบว่าที่แท้เจ้าเป็นทายาทของสำนักมารสวรรค์ มารดาจึงต้องการให้เจ้าออกเดินทางไปก่อนล่วงหน้า แล้วค่อยพบกันในวันชุมนุม เจ้าจะได้หาประสบการณ์ยุทธจักรในเวลาที่เหลือนี้ พร้อมกับสืบข่าวไปด้วยว่า แต่ละสำนักมีการเคลื่อนไหวไปมากน้อยเพียงใด?”
เหยาเยี่ยนผิง นางเองชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวโดยลำพังอยู่แล้ว เมื่อได้ยินมารดาบอกให้ตนเดินทางล่วงหน้าไปก่อนย่อมประเสริฐ นางจะได้ท่องเที่ยวให้สนุกสนานสร้างเรื่องราวตามที่นางต้องการ เพราะตั้งแต่เด็กกระทั่งบัดนี้ นางถูกมารดากักตัวอยู่กับสำนักเสียส่วนใหญ่
มารดานางเองเก็บตัวไม่ออกไปสู่ยุทธจักรเช่นกัน จวบจนกระทั่งเหยาเยี่ยนผิง มีอายุย่างเข้าสิบห้าปี นางจึงอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยว บัดนี้เหยาเยี่ยนผิง อายุย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่นางออกไป จะต้องทำงานด้วยทุกครั้งให้สำเร็จ
เหยาเยี่ยนผิง เป็นคนเฉลียวฉลาดเจ้าเล่ห์ มักทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จด้วยระยะเวลาอันสั้น จึงมีเวลาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ถึงแม้นางจะมีนิสัยดุร้ายคล้ายบุรุษ แต่แท้จริงแล้วนางยังมิเคยลงมือฆ่าคนจริง ๆ แม้แต่คนเดียว ครั้งก่อนนั้น นางเพียงแค่ข่มขู่จ่านจือไปว่า ผู้ใดก็ตามที่รู้จักชื่อนางล้วนต้องตาย ความจริงยังมิมีผู้ใดตายภายใต้น้ำมือนางมาก่อน
เหยาเยี่ยนผิง จึงรับปากกับนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กับอั้งเซี๊ยะเปา ส่งเสียงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าเยี่ยนผิง รับปากท่านแม่กับท่านน้า ไว้ข้าพเจ้าจะคอยต้อนรับท่านแม่กับท่านน้า ในวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอล่วงหน้าไปก่อน เพียงแต่ว่าครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีเรื่องหนึ่ง ที่มีความจำเป็นที่จะขอต่อมารดา ไม่ทราบว่าท่านจะยินยอมรับปากหรือไม่?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน รีบส่งเสียงกล่าวถามว่า
“เจ้าจะร้องขอสิ่งใดต่อมารดา ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยร้องขอสิ่งใด? จากมารดามาก่อน หากเจ้าต้องการสิ่งใดจริง ๆ มีหรือที่มารดาจะกล้าปฏิเสธเจ้า”
เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าจริงจังหนักแน่น ส่งเสียงกล่าวว่า
“ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขอคนจากท่านแม่ เพียงแค่สามคนเท่านั้นจะได้หรือไม่?
นางมารเยือกเย็นเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ขอคนเพียงแค่สามคน ทุกครั้งเจ้ามักเดินทางลำพัง ไฉนครั้งนี้จึงอยากได้คนร่วมเดินทางขึ้นมา หรือว่าเจ้ามีแผนการใดอยู่ในใจ เอาเถิดมารดาจะไม่ถามรายละเอียด ว่าเจ้าจะนำคนไปเพื่อการใด คนในสำนักมารสวรรค์มีอยู่มากมายล้วนเป็นมือดี เยี่ยนผิงเจ้าต้องการผู้ใด ร่วมทางไปกับเจ้า?”
เหยาเยี่ยนผิง คล้ายกับมีรายชื่ออยู่ในใจแล้ว ไม่ต้องขบคิดรีบกล่าวตอบมารดาไปว่า
“ผู้ที่ข้าพเจ้าต้องการสามคนนั้น เป็นมารนภาต้าเอ่อคา กับมารธุลีหม่าจิ้งเถา หรือที่พวกท่านเรียกพวกมันทั้งสองว่า สองมารฟ้าดิน อีกผู้หนึ่งเป็นเฉาลู่ฟาง มารดาจะอนุญาตมอบพวกมันทั้งสาม ให้กับข้าพเจ้าได้หรือไม่?”
“สามคนที่เจ้ากล่าวมาล้วนเป็นมือดี แต่เอาเถิด สามคนที่เจ้ากล่าวมาเมื่อครู่ ล้วนเป็นคนที่มารดาไว้วางใจ อีกทั้งเป็นคนที่เจ้าให้ความสนิทสนม มากกว่าทุกคนในสำนัก ในเมื่อเจ้าต้องการสามคนนี้ มารดาจะอนุญาตให้เจ้า แล้วมิทราบว่าเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน กล่าวว่าสามคนที่เยี่ยนผิงต้องการ พวกมันล้วนเป็นมือดีและนางไว้วางใจ ดังนั้นนางจึงอนุญาต พร้อมกับกล่าวถามเยี่ยนผิงว่า นางจะออกเดินทางเมื่อใด
เยี่ยนผิงแสดงสีหน้ายินดี รีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ในวันพรุ่งนี้เช้าตรู่ ข้าพเจ้าจะออกเดินทางเลย ส่วนพวกมันสามคนนั้น ข้าพเจ้าจะเป็นคนไปบอกกล่าวกับพวกมันเอง เช่นนั้นข้าพเจ้าขอตัวไปตระเตรียมข้าวของ พร้อมกับสัมภาระก่อน มารดากับท่านน้าอยู่ทางนี้โปรดถนอมตัวด้วย แล้วค่อยพบกันในงานวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน”
กล่าวจบเดินออกจากห้องโถงไป พอกลับเข้าห้องพัก รีบตระเตรียมข้าวของสัมภาระที่จำเป็น รู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก งานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน หากสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมาร่วมงาน บางทีอาจได้ข่าวคราวของคนที่นางต้องการเสาะหา แต่ทว่าความคิดหนึ่งนั้น นางกลับคิดว่าจะเสาะหาเขาไปเพื่ออะไร เขาจะเป็นตายร้ายดี ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับนางสักหน่อย
บุรุษชาวบ้านทึ่ม ๆ เซ่อ ๆ แถมวิทยายุทธ์ยังไม่มีติดตัวอีกด้วย แม้นได้เจอกับเขาจริง ๆ นางอาจจะช่วยสอนยุทธ์ให้ท่าสองท่าก็เป็นได้ เอาไว้หลอกตบตาผู้คน ยามคับขันอันตรายจะได้เอาตัวรอด คิดไปคิดมา เหยาเยี่ยนผิง นางรู้สึกสับสนจนบอกไม่ถูก นางเป็นอะไรไปแล้ว เหยาเยี่ยนผิงผู้แข็งแกร่งห้าวหาญเยี่ยงบุรุษ ไฉนเมื่อนึกถึงใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ซึ่งมีสภาพดั่งยาจกขอทานผู้หนึ่งมิปาน ไฉนจึงทำให้นางสับสนวุ่นวายใจถึงเพียงนี้
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564