หลินเสี่ยวไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด ขณะที่เธอส่งสิ่งของในมือเธอให้กับอู่เยว่หลิง เธอพูดอีกสองสามคำกับเด็กน้อย
“เออออ? เออออ?”
‘หลิง หลิง? หลิงหลิง?” เธอเรียกชื่อของเด็กน้อย
ในขณะนั้นเธอสังเกตเห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนแปลงไปของอู่เยว่หลิง เด็กหญิงตัวน้อยหยุดครู่หนึ่งจากนั้นดวงตาของเธอละออกไปจากแมลงปอหญ้าในมือของหลินเสี่ยวเพื่อมองไปทางซ้ายด้วยความสับสนแต่ไม่เห็นอะไรเลย หลังจากนั้นเธอกลับไปมองหลินเสี่ยวด้วยดวงตาสับสนคู่นั้น
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเด็กน้อยหลินเสี่ยวก็หยุดเช่นกัน เธอรู้สึกสั่นไหวในใจ ซึ่งเธอก็ตระหนักได้ว่าในใจนั้นมีความสุข
“เออออ อ๊าาาาาวส์? เธอทำเสียงแปลกๆ อีกประโยคหนึ่งเมื่อเธอพยายามพูดชื่ออู่เยว่หลิงอีกครั้ง ‘หลิงหลิงเธอได้ยินฉันไหม?’ เธอถาม
เวลานี้ปฏิกิริยาของอู่เยว่หลิงตอบกลับอย่างไม่คาดคิด
หลังจากได้ยินเสียงของหลินเสี่ยวอีกครั้ง เธอจ้องไปที่หลินเสี่ยวอย่างเดิม เธอดูเหมือนจะหยุดนิ่ง เธอยังคงจ้องมองหลินเสี่ยวโดยไม่เปล่งเสียงใดๆ หรือแม้แต่มีความคิดในใจของเธอแสดงออกมา
หลินเสี่ยวสับสน
อู่เยว่หลิงได้ยินเธอหรือไม่? ทำไมสีหน้าของเธอถึงได้นิ่งแบบนั้น? เสียงของเธอทำให้เด็กน้อยกลัวไหม?
จากความทรงจำของลวี่เถียนหยี่ หลินเสี่ยวได้เรียนรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนเก็บตัวที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยนัก ยกเว้นพ่อของเธอ เธอจะไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เธอเลย
เธอถูกลักพาตัวโดยลวี่เถียนหยี่เพราะเธอใช้อู่เฉิงเย่วเป็นข้ออ้าง ลวี่เถียนหยี่ใช้ประโยชน์จากความประมาทของอีกฝ่ายและหลอกเด็กหญิงตัวน้อยให้ออกมาข้างนอกและทำให้เธอหมดสติและพาเธอออกมา
สำหรับวิธีที่ลูกสาวของผู้นำฐานสามารถลักพาตัวได้อย่างง่ายดาย เหตุผลเพียงอย่างเดียวคือลวี่เถียนหยี่มีบุคคลทรงอำนาจสนับสนุนเธอ – ผู้นำฐานอีกคนหนึ่งให้ความช่วยเหลือเธอ
ท่าทางที่แข็งกระด้างของอู่เยว่หลิงผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว แต่ดวงตาของเธอยังคงระแวดระวัง ขณะที่จ้องมองที่หลินเสี่ยว เธอยังสามารถเห็นแมลงปอหญ้าในหลังมือของเธอ
ในขณะที่เด็กน้อยมุ่งสนใจที่แมลงปอหญ้าหลินเสี่ยวก็คว้าโอกาสมอบมันให้เด็กน้อยทันที
ในตอนนี้อู่เยว่หลิงไม่กลัวหลินเสี่ยวอีกต่อไป เธอเห็นซอมบี้จำนวนมากและพวกเขาก็น่าเกลียดและเลว อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ซอมบี้ตัวนี้ไม่พยายามกัดและกินเธอ เธอไม่สนใจ
มองแมลงปอหญ้าที่หลินเสี่ยวมอบให้เธอ ตอนนี้อู่เยว่หลิงเข้าใจว่ามันมีความหมายสำหรับเธอ เธอยังคงนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยื่นมือออกจากผ้าห่มอย่างช้าๆและหยิบมันออกมาจากมือของเธอ
หลินเสี่ยวค่อยๆวางกรวยใกล้ปากของอู่เยว่หลิงและชักชวนให้เธอดื่มน้ำทีละนิด น้ำเริ่มไหลออกมาจากก้นกรวยแล้ว
อย่างไรก็ตาม อู่เยว่หลิงมองไปที่น้ำเงียบๆ โดยไม่อ้าปากเพื่อดื่มน้ำแต่ก็ไม่ได้หลบหลีก
หลินเสี่ยวสามารถอดทนต่อการถือกรวยรอไว้เท่านั้น และไม่กล้าที่จะวางลง
หลังจากผ่านไปประมาณยี่สิบวินาทีจากการนับของหลินเสี่ยว ในที่สุดอู่เยว่หลิงก็เริ่มขยับตัว
เธอเอนตัวเล็กน้อยและเบี่ยงปากไปทางช่องกรวยในมือของหลินเสี่ยว อ้าปากออกเล็กน้อยเพื่อจิบน้ำจากรูกรวย หลังจากที่น้ำได้ไหลทิ้งไปแล้วครึ่งหนึ่ง จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าน้ำนั้นค่อนข้างหวาน ดังนั้นเธอจึงดื่มมันต่อ
เมื่อถึงเวลาที่เด็กน้อยดื่มน้ำจากกรวยจนหมด หลินเสี่ยวก็รู้สึกว่าเธอน่าจะมีเหงื่อหยดลงจากใบหน้าของเธอแม้ว่าซอมบี้จะไม่มีเหงื่อ
'วุ้ย! ในที่สุดเจ้าหญิงน้อยก็ดื่มน้ำ! หัวใจของฉันเหนื่อยมาก! 'หลินเสี่ยวบ่นเงียบ ๆ
แต่แล้วก็มีปัญหาอื่นเกิดขึ้นกับเธอ ในเวลานี้เด็กจะไม่รู้สึกหิวอีกต่อไปเพราะเธออดอาหารนานเกินไป แต่น้ำที่เธอดื่มก็มีแนวโน้มที่จะจุดประกายความรู้สึกหิวอีกครั้ง
หลังจากที่ดื่มน้ำหมดเธอก็ไปเติมน้ำในกรวยให้เต็มเพื่อให้เด็กดื่มอีกครั้ง
หลังจากดูเด็กน้อยดื่มน้ำหมดไปอีกรอบ ในที่สุดหลินเสี่ยวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอวางกรวยในมือแล้วเดินไปด้านข้างเพื่อออกจากพื้นที่
ดวงตาของอู่เยว่หลิงเบิกกว้างขณะที่เธอมองหลินเสี่ยวหายไปต่อหน้าต่อตาเธอ เธอจ้องไปที่จุดที่หลินเสี่ยวหายไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา และเริ่มมองค้นหารอบๆตัวเธอ
เธอใช้สายตาค้นหาบริเวณโดยรอบ แต่ไม่เห็นร่องรอยของซอมบี้แปลกประหลาด ไม่มีใครนอกจากตัวเองในสถานที่นั้น ที่นี่มันเงียบ ไม่มีลมกระโชกแรงที่จะรบกวนสภาพแวดล้อม
ทันใดนั้นความรู้สึกที่แข็งแกร่งและไม่สบายใจก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของอู่เยว่หลิง เธอเปิดตาของเธอให้กว้างขึ้นและพยายามอย่างหนักเพื่อค้นหาสิ่งที่น่าตกใจกลัวแต่ก็ไม่พบอะไรเลย
ไม่มีร่องรอยของซอมบี้ตัวนั้น!
ทันใดนั้นดวงตากลมโตของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง แต่เธอไม่ได้ส่งเสียงดัง เธอกัดริมฝีปากของเธอแน่นและจับแมลงปอหญ้าที่หลินเสี่ยวมอบให้เธอ และเธองอตัวก้มหน้าลงอีกครั้ง
เธอไม่ได้สังเกตว่าทั้งความหิวและความกระหายของเธอนั้นอิ่มแล้ว หลังจากที่เธอดื่มน้ำในทะเลสาบที่หลินเสี่ยวมอบให้เธอ สภาพร่างกายของเธอไม่เลวอย่างที่หลินเสี่ยวคิด ในทางตรงกันข้ามพลังงานของเธอได้รับการฟื้นฟูอย่างช้าๆ
.............
หลินเสี่ยวออกมาจากอวกาศและปรากฏตัวอีกครั้งในอาคาร เธอสูดอากาศ รู้สึกถึงกลิ่นของผลไม้จากระยะไกล หลังจากนั้นเธอก็หันหลังกลับทันทีและเดินไปที่บันได
จู่ๆ เธอก็ค้นพบว่าความรู้สึกของเธอมีกลิ่นที่คมชัดขึ้น
‘โอ้ สวรรค์! ฉันกลายเป็นสุนัขไปแล้วหรือ? ดูเหมือนว่าซอมบี้ของเราจะมีทักษะที่เป็นประโยชน์!’ เธอวิ่งลงบันใดไปด้วยความเร็วสูง ขณะที่คิดสิ่งเหล่านี้
เธอแค่อยากจะหาอาหารให้กับเด็กน้อยให้ได้โดยเร็วที่สุด หากเด็กน้อยเสียชีวิตก่อนที่เธอจะได้ส่งเธอกลับบ้านไปหาพ่อ เธอจะกลายเป็นคนบาปที่ไม่อาจยกโทษให้ได้
การคิดแบบนี้ทำให้เธอวิ่งได้เร็วขึ้นไปอีก ในตอนแรกเธอสามารถก้าวคร่อมบันไดเพียงไม่กี่ขั้นในก้าวเดียว แต่ต่อมาเธอเริ่มกระโดดลงและเกือบจะครอบคลุมทั้งบันไดด้วยเพียงไม่กี่ก้าวในขณะที่ทิ้งเสียงกึกก้องไว้ข้างหลัง
เธอยังสังเกตเห็นว่าฝีเท้าของเธอควบคุมได้เองและกลายเป็นเร็วขึ้นและเร็วขึ้น เธอพบว่าแขนขาของเธอคล่องแคล่วขึ้นและขาของเธอแข็งแรงกว่าเดิม แต่เบาขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
เธอกระโจนลงมาจากบันไดห้าขั้นหรือหก รู้สึกไม่กระทบอะไรเลยขณะที่เธอตกลงบนพื้นอย่างหนัก มาถึงตอนนี้เธอรู้สึกว่าเธอคล่องแคล่วว่องไวเหมือนแมว
มันใช้เวลานานในการเดินขึ้นบันไดเหล่านี้ แต่ด้วยการกระโดดลงอย่างรวดเร็ว เธอก็ออกจากอาคารในไม่ช้า
เธอมองไปที่ท้องฟ้าและพบว่ามันยังมืดอยู่ อย่างไรก็ตามเธอรู้ว่ารุ่งอรุณกำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้
เธอหันหลังกลับและวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทิศทางของกลิ่นผลไม้
หลินเสี่ยวเป็นคนใจร้อน เธอจะไม่เดินเมื่อเธอวิ่งได้ ในบางครั้งที่เธอไม่สามารถวิ่งได้เธอจะเดินเร็วด้วยก้าวใหญ่ๆ
เธอวิ่งผ่านความมืดมิดของค่ำคืนไปอีกครั้งขณะที่พยายามค้นหาว่าเธอสามารถวิ่งได้เร็วแค่ไหน
เธอเพ่งมองที่ขาและถนนในขณะที่ฟังเสียงหวีดหวิวเล็กน้อยที่เกิดจากลมที่พัดผ่านหูของเธอ
หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่เขาหรือเธอจะตกใจเมื่อเห็นว่าเธอเร็วแค่ไหน เธอวิ่งเหมือนสายฟ้าผ่า และความเร็วของเธอเกินกว่าที่นักกีฬาโอลิมปิกทำสถิติไว้หลายเท่า
อย่างไรก็ตามหลินเสี่ยวไม่ได้รู้เรื่องนี้ เธอรู้เพียงว่ายิ่งเธอวิ่งได้นานเท่าไหร่เธอก็ยิ่งสนุกมากเท่านั้น เธอรู้สึกว่าเธอสามารถวิ่งต่อไปได้ตราบใดที่เธอไม่ได้วางแผนที่จะหยุด
บทที่ 16 : สตรอเบอร์รี่กลายพันธุ์
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ความเร็วของหลินเสี่ยวเพิ่มขึ้นอีกระดับแม้ว่าเธอจะยังไม่รู้ตัวก็ตาม มันเป็นเพียงเมื่อเธอหยุดอยู่ในทุ่งสตรอเบอร์รี่ที่เธอรู้สึกว่าแน่นหน้าอกเล็กน้อยและถึงตอนนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอวิ่งมาไกลเกินหรือเร็วเกินไป
อย่างไรก็ตาม ความแน่นหน้าอกดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเธอมากเกินไปนัก เธอจึงเพิกเฉยต่อมัน
เธอยืนอยู่ตรงที่ข้างหน้าเป็นทุ่งสตรอเบอร์รี่ที่มีต้นสตรอเบอร์รี่หนาแน่น เขียวไปหมดใต้ฝ่าเท้าของเธอ
ทำไมยังไม่มีใครค้นพบที่นี่อีกล่ะ? อาจเป็นเพราะสตรอเบอร์รี่เหล่านี้กลายพันธุ์อย่างเห็นได้ชัด
ในโลกหลังวันสิ้นโลก หกสิบถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นของพืชทั้งหมดบนโลกได้รับเชื้อและมีทั้งตายไปและกลายพันธุ์ โดยปกติแล้วพืชกลายพันธุ์จะกลายเป็นพิษหรือกินคนได้
คล้ายกับสัตว์กลายพันธ์ พืชกลายพันธุ์มากมายเปลี่ยนมาเป็นฆาตกรที่น่ากลัว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ที่มีชีวิตรอดในโลกนี้จะไม่เข้าใกล้พื้นที่ที่มีพืชหนาแน่น เช่น สวนสาธารณะ ภูเขาและป่าไม้
ใบและรากของสตรอเบอร์รี่ที่ด้านหน้าของหลินเสี่ยวมีขนาดใหญ่กว่าปกติสามหรือสี่เท่าครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด สตรอเบอร์รี่ในแปลงปลูกนี้มีสีเขียวแปลก ๆ พร้อมกับจุดสีแดง และมีกลิ่นเหม็นเน่าแรงแทรกซึมทั่วทั้งพื้นที่
เพราะสตรอเบอร์รี่กลายพันธุ์เหล่านี้ให้มองยังไงคนที่รอดชีวิตอยู่ในโลกที่ล่มสลายทุกคนจะหลีกเลี่ยงการเข้ามาใกล้บริเวณนี้ แม้พวกเขาจะมองว่ามันอุดมสมบูรณ์เพียงใด พวกเขาจะไม่กล้าเข้าใกล้เพียงลำพัง
ที่จริงแล้ว หลินเสี่ยว ไม่สามารถมองเห็นสีของสตรอเบอร์รี่เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากรูปร่างของพวกเขา เธอรู้ว่าสตรอเบอร์รี่เหล่านี้ไม่ปกติ เธอสามารถตรวจจับกลิ่นสตรอเบอร์รี่จาง ๆ ภายใต้กลิ่นเน่าเสียและสับสนไปครู่หนึ่ง
มองไปที่สตรอเบอรี่กลายพันธุ์เหล่านี้ ในทางทฤษฎีเธอรู้ว่าพวกมันไม่น่ากิน อย่างไรก็ตามหลังจากที่เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่ซ่อนอยู่ สัญชาตญาณบางอย่างบอกเธอว่าสตรอเบอร์รี่เหล่านี้ไม่เป็นพิษ
เธองุนงง แต่ไม่ลังเลเลยที่จะลงไปที่ทุ่งสตรอเบอร์รี่ ใบสตรอเบอร์รี่สูงมาถึงต้นขาของเธอ
เธอก้มลงและหยิบสตรอเบอร์รี่สุกลูกใหญ่ จากนั้นนำมันมาใกล้จมูกของเธอเพื่อดมมัน
กลิ่นไม่ดียังมีอยู่ แต่ก็มีอีกกลิ่น มันมีส่วนผสมของกลิ่นทั้งสอง กลิ่นมันแปลก ๆ และทำให้จมูกของเธอคันเล็กน้อย
เธอดึงสตรอเบอร์รี่ออกไปแล้วลูบจมูกด้วยมืออีกข้างขณะที่สงสัยว่ามันกินได้จริงหรือเปล่า ทันใดนั้นเธอนึกถึงกระต่ายตัวน้อยและรังหนูน้อยที่เธอใส่เข้าไปในอวกาศของเธอก่อนหน้านี้
เธอจับสตรอเบอร์รี่ขนาดเท่าลูกแพร์แล้วหมุนตัวกลับ และหายไปจากจุดที่เธออยู่ ราวกับว่าไม่มีซอมบี้มาเยี่ยมชมสวนสตรอเบอร์รี่นี้
มีแสงสว่างจ้าปรากฏตรงหน้าเธอแล้วแสงสีขาวที่คุ้นเคยก็มาถึง
เธอค้นหาสิ่งมีชีวิตตัวน้อยอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเธอกลับมา อย่างที่คาดไว้เด็กคนนั้นอยู่ในจุดเดิม แต่นั่งขดตัวอยู่บนพื้น
'เธอยังคงตื่นอยู่!'
หลินเสี่ยวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยในเรื่องนี้
อู่เยว่หลิงกำลังนั่งยองไปด้านข้างโดยคลุมร่างกายของเธอไว้ในผ้าห่มและมือของเธอจับแมลงปอหญ้าที่หลินเสี่ยวมอบให้เธอ การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของหลินเสี่ยวก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเธอในทันที เธอนั่งลงที่นั่นพร้อมกับหัวของเธอลดลงเล่นกับแมลงปอหญ้าและดูเหมือนก้อนอ้วนๆ
หลินเสี่ยวไม่รบกวนเด็กน้อย แต่หันหน้ามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง สังเกตพื้นที่ของหญ้าเขียวชอุ่มและฟังสิ่งต่างๆ
อย่างที่คาดไว้เธอก็ได้ยินเสียงเบาๆ
ไม่มีลมในพื้นที่นี้ จึงไม่มีใบหญ้าพลิ้วไหวโดยลมใด ๆ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมอู่เยว่หลิงรู้สึกกลัว หลังจากที่หลินเสี่ยวหายตัวไปในทันใด สถานที่นี้เงียบเกินไปและกว้างขวางเกินไป
หลินเสี่ยวกลั้นลมหายใจของเธอและเดินไปข้างหน้าตามเสียงเบาๆนั้น
สำหรับการกลั้นหายใจนั่นเป็นจินตนาการของเธอเองล้วนๆ เมื่อการทำงานของร่างกายทั้งหมดมันหยุดไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตามอย่างที่พวกเขาพูดไว้ ‘นิสัยเก่าแก้ยาก’
เธอเดินอย่างเงียบ ๆ ไปบนหญ้าที่ขึ้นหนา รอยเท้าของเธอนั้นเบากริบและไม่กระทบกับพื้นดินเลย ดังนั้นเมื่อเธอมาถึงสถานที่ที่มีเสียงดังมาอย่างเงียบ ๆ เธอเห็นกระต่ายขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งนั่งยอง ๆ ท่ามกลางหญ้าพร้อมหันหลังไม่ได้มองเธอ ถือหญ้าในกำมือและกินด้วยความแข็งแรง
กระต่ายนั้นเน้นไปที่การกินโดยไม่รู้ตัวเลยว่าซอมบี้ยืนอยู่ข้างหลังมัน
หลินเสี่ยวขยับเข้าใกล้อย่างเงียบๆ เธอจับสตรอเบอร์รี่ด้วยมือซ้ายของเธอแล้วยื่นมือขวาออกไปก้มตัวลงช้าๆ ขณะที่ยื่นมือเธออยู่ห่างจากกระต่ายประมาณสิบเซนติเมตรและคว้าจับมันไว้
กระต่ายตัวน้อยตกใจอย่างฉบับพลันและเริ่มดิ้นรนปล่อยเสียงกรีดร้องโหยหวน
หลินเสี่ยวยกมันขึ้น ดูมันบิดดิ้นรนร่างกายอย่างหนักในมือของเธอ หญ้าที่สูงท่วมหัวเข่าดังนั้นมันจึงเห็นตั้งแต่ต้นขาเธอขึ้นมา
อู่เยว่หลิงไม่สามารถช่วยเหลือได้ แต่ยืนขึ้นเมื่อเธอเห็นหลินเสี่ยว ดวงตาของเธอส่องประกายด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เธอหันไปมอง เธอไม่กลัวหลินเสี่ยวอีกต่อไปเพราะซอมบี้ตัวนี้ไม่ต้องการที่จะกินเธอหรือฆ่าเธอ
หลินเสี่ยวจับกระต่ายแล้วเดินออกไปไม่ใช่ไปที่อู่เยว่หลิง แต่ไปที่ทะเลสาบที่สะอาด จากนั้นเธอนั่งลงบนพื้นพร้อมกับไขว่ห้าง
เธอถือกระต่ายตัวเล็กในมือปล่อยให้มันดิ้นรนอยู่อย่างนั้น หลังจากนั้นครู่หนึ่งกระต่ายตัวน้อยก็สงบลงอย่างช้า ๆ ราวกับว่ารู้ว่าการต่อสู้นั้นไร้ประโยชน์หรือเพราะอาจเหนื่อยเกินไป
หลังจากกระต่ายสงบลง หลินเสี่ยววางสตรอเบอร์รี่ใกล้ๆใบหน้าของกระต่ายเพื่อดูปฏิกิริยาของมัน เธอไม่รู้ว่ากระต่ายชอบสตรอเบอร์รี่หรือไม่และถึงแม้ว่ามันจะไม่ยอมกินก็ตาม เธอตั้งใจจะตัดสตรอเบอร์รี่สักชิ้นเข้าไปในปากเพื่อดูว่าจะเกิดปฏิกิริยาพิษไหม
อาจเป็นเพราะกลิ่นของสตรอเบอร์รี่ทำให้จมูกกระตุก ปฏิกิริยาของกระต่ายคือการดึงหน้ากลับทันที จากนั้นหันจมูกและปากให้ห่างจากสตรอเบอร์รี่มากที่สุดเท่าที่มันจะทำได้
หลินเสี่ยวรออย่างใจเย็น เธอไม่ได้ตัดแยกชิ้นส่วนเพื่อใส่เข้าไปในปากของกระต่ายในทันที แต่แค่รอดูว่ามันจะรู้สึกถึงกลิ่นหอมของมันหรือไม่
อย่างไรก็ตามกระต่ายดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงกลิ่นหอมจางๆ ของผลไม้ ผ่านไปซักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่หันกลับมา
หลินเสี่ยวไม่มีทางเลือกนอกจากวางสตรอเบอร์รี่ลงและจับกระต่ายกดไว้บนพื้นเพื่อไม่ให้มันเคลื่อนที่ได้ จากนั้นเธอแบ่งสตรอเบอร์รี่เป็นชิ้นแล้วป้อนเข้าไปในปากของกระต่าย เธอบีบปากของมันอ้าออกและยัดสตรอเบอร์รี่เป็นชิ้นๆลงไปที่คอของมัน
ผลที่ตามมา สตรอเบอร์รี่ชิ้นหนึ่งติดอยู่ที่คอของกระต่าย กระต่ายไม่สามารถไอออกมาและกลืนมันลงไปได้
หลังจากยัดสตรอเบอร์รี่ลงในคอของกระต่าย หลินเสี่ยวยกมันขึ้นและสังเกตต่อไป เมื่อเธอบังคับให้มันกิน สตรอเบอร์รี่ มันเตะขาหลังอย่างแรงสักสองสามครั้ง แต่ไม่ได้ทำปฏิกิริยาอื่นหลังจากนั้น
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที ... ผ่านไปหนึ่งนาที หลินเสี่ยวเขย่ากระต่ายและพบว่ามันยังมีชีวิตอยู่โดยไม่แสดงอาการใดๆว่าใกล้จะตาย
พิษเรื้อรังใช้เวลานานเท่าไหร่? กระต่ายยังไม่แสดงอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ แต่พิษจะโจมตีในภายหลัง หลังจากผ่านระบบย่อยอาหารของกระต่ายหรือไม่?
ในขณะที่เธอกำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ หลินเสี่ยวเหวี่ยงแขนของเธอออกทันทีและโยนกระต่ายลงบนหญ้า จากนั้นเธอหันหลังให้และเห็นอู่เยว่หลิง ผู้ยืนนิ่งเงียบอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามเมตร
2 วันอัพค่ะ