ความรักหลากอารมณ์ที่ดอมดมอยู่กลางดงโรคระบาดโควิด-19 เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน แฟนที่ไม่ใช่แฟน งานนี้ไม่มี "กามเทพ" มีแต่ "กามรมณ์" ในกมลสันดาน
ความรักหลากอารมณ์ที่ดอมดมอยู่กลางดงโรคระบาดโควิด-19 เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน แฟนที่ไม่ใช่แฟน งานนี้ไม่มี "กามเทพ" มีแต่ "กามรมณ์" ในกมลสันดาน
"ซึบ!!!!!"
.
เสียบๆๆๆ! กระซวกๆๆ! ย้ำแผลเดิมอีกราวสิบกว่าครั้ง ทำให้ร่างเปลือยของชายที่แน่นิ่งอยู่แล้วกลายเป็นเหมือนหมูที่อยู่บนเขียง กงเล็บของมิวท์ถูกดึงขึ้นมา ความแหลวเฟี้ยวดังกล่าวถูกฉาบเคลือบไว้ด้วยลิ่มเลือดที่หยดติ๋งๆ ไหลซึมลงมาถึงข้อศอก!
.
แววตาแดงก่ำไม่เห็นแม้แต่ลูกตาดำ ขนาดฟันเขี้ยวด้านหน้ายังยื่นแหลมงุ้มออกมาพ้นมุมปาก ไม่มีทางเลยที่มิวท์ตัวจริงจะต่อต้านตัวตนใหม่เฉกเช่นปีศาจนี้ได้! มันบังคับร่างกายเธอให้เคลื่อนไหวไปไหนต่อไหนตามอำเภอใจ และครั้งนี้มันก็คงจะหิวถึงได้เริ่มคอนโทรลมืออีกข้างของมิวท์ให้ควักลงไปในปากแผล พลันดึงเอาเครื่องในอวัยวะสดๆ ออกมาจากลำตัว!
.
"ควัก!!!"
"หมึบบบ! , หมับบบ!!!"
.
ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ไม่ถามดินถามฟ้า พอได้ออกมาก็จับยัดเข้าปากแล้วก็เคี้ยวตุ้ยๆๆๆ! แทบจะทันที!!! ซึ่งนั่นก็คือภาพสุดท้ายที่มิวท์หวนคิดถึง..
.
.
ตัดภาพกลับมา ณ เหตุการณ์ปัจจุบันในเฮลิคอปเตอร์
.
หญิงสาวลุคคุณหนูกลับมาสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว เธออยู่ในอาภรณ์มิดชิด ปากยังคงเคี้ยวเอื้องเอาเศษอวัยวะของพี่พลขับลงคอไปเป็นอาหาร..อึก..อึก..
.
ตอกย้ำว่ามิวท์รู้ทุกอย่างว่าที่ผ่านมานั้นคืออะไร!? เธอถูกเชื้อโควิดกลืนกิน! ณ ปัจจุบันมันสามารถยึดครองร่างของเธอไว้ได้ในกรณีที่มันหิว! และมิวท์เองก็ต่อต้านได้บ้างในบางครั้ง แถมระยะเวลาในการฝืนแต่ละครั้งก็มีแต่จะห้วนลงเรื่อยๆ จากครั้งแรกที่ทำได้ร่วม 2 ชั่วโมงกว่าๆ ถึงตอนนี้กลับเหลือแค่เที่ยวล่ะ 30 นาทีกับอีกนิดๆ เท่านั้น
.
“เฮ้อ..เราคงหมดสิ้นหนทางแล้วล่ะ หมดเนื้อจากศพพี่คนขับนี่ เราเองก็คงต้องตายอยู่ในนี้เหมือนกัน”
"ขอโทษจริงๆนะพี่...มันเป็นความผิดของหนูเอง.."
"ไม่น่าเลย..ย..ย"
“เฮ้อ....ก็ได้แต่หวังว่าคงไม่มีผู้ติดเชื้อหน้าไหนโผล่เข้ามา แล้วกินศพหนูคืนหรอกนะ..”
.
มิวท์พูดกับตัวเองแบบติดตลก ยิ่งอยู่คนเดียวจิตใจก็มีแต่จะฟุ้งซ่าน เพราะเหตุผลมันก็ทนโท่อยู่แล้วว่าการใช้เซ็กส์ต้านเชื้อนั้นไม่ใช่คิดจะทำก็ทำได้! มันต้องเป็นคนที่มียีนและฮิโมโกลบินในเลือดแบบเดียวกัน มิหนำซ้ำปัจจัยต่างๆก็ต้องเป๊ะแบบพอดิบพอดีอีก!
.
หลายวันผ่านไปห้องโดยสารในฮ. ลำนี้ก็เลยกลายสภาพเป็นห้องปิดตายตามที่วางแผนไว้! ประตูหน้าต่างทุกบานถูกล็อคลงกลอนหมด มิวท์ใจเด็ดมากที่ตัดสินใจทำมันลงไปจริงๆ จะไม่มีใครรู้เรื่องราวในนี้ และต่อให้เชื้อโควิดจะยึดครองร่างเธอไปจนหมดสิ้น จนฝืนเอาตัวเองกลับคืนมาไม่ได้ มันก็จะถูกขังอยู่ในนี้ไปตลอดกาลจวบจนกาลปาวสาน!
.
.
ตัดภาพไปที่อีกฟากของภูเขา.. ณ วันและเวลาเดียวกัน
.
“เจนิส! ระวังหน่อยสิ! ใจลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้วนั่น!?”
.
เสียงพี่พลลาดตระเวนจากวิลเลจตะโกนด่าเสียงดังลั่น เขาซึ่งเป็นผู้นำกำลังก้มหน้าลงเก็บของป่าใส่ลงในตะกร้า โดยมีทีมงานคนอื่นๆ คอยระวังหลังให้ จะมีก็แต่เด็กสาวผู้เป็นตัวแทนของหัวหน้าแคลนเพียงคนเดียวที่เหม่อไม่เข้าพวก เจนิสจึงรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
.
“ขอโทษค่ะ.. มาค่ะเดี๋ยวหนูช่วยเอง!”
.
สืบเท้ากระหยิ่มย่องเข้ามาหา พลางปลดตะกร้าที่สะพายอยู่ลงจากหลัง ในนั้นมีปลอกกระสุนปืนที่เก็บมาตลอดเส้นทางเพื่อเตรียมจะเอาไปรีไซเคิล แล้วก็มีผักใบเขียวเล็กๆ น้อยๆ กองอยู่ตรงก้นตะกร้า ระหว่างที่กำลังช่วยเจนิสก็ได้แทรกขึ้น..
.
"เอิ่ม..ม..ม"
“ว่าแต่พี่คะ..? ช่วงหลังมานี้ตอนลาดตระเวนพี่เจอคนบ้างไหมอ่ะ?”
“เดินมาค่อนวัน ..หนูยังไม่เห็นใครหลงมาเลยสักคน???”
.
ชะงักงันนิดนึง แต่พี่เขาก็ยังอุตส่าห์ตอบ
.
"จะว่ามีมันก็มีแหละ...เพราะสัญญาณวิทยุที่แพรวกระจายข่าวออกไปมันแผ่ไปไกลมาก เรามักจะพบผู้คนที่หนีตายมาอยู่เสมอ เพียงแต่ยังไม่ใช่พื้นที่ตรงนี้.."
"โซนตรงนี้ดินมันดี เธอจะเห็นเลยว่ามีหญ้าสีเขียวขึ้นปกคลุมหน้าดินเต็มไปหมด แล้วก็มักจะมีของป่าจำพวกเห็ดภูเขาหรือหน่อไม้ขึ้นกันเยอะ เราก็เลยต้องแวะเก็บเสบียงเข้าสต็อกให้ทางวิลเลจด้วย.."
"นี่ละน้าาา...ทำแต่งานธุรการบนโต๊ะ ห่างเหินงานลาดตระเวนไปนาน คอยดูเหอะถ้าแพรวกลับมาฉันจะฟ้องเรื่องนี้ให้เธอรู้!!
.
หัวหน้าหน่วยกระเซ้าเล่น บางทีเขาอาจจะทนเห็นภาพความเก้ๆกังๆของเจนิสไม่ไหว สุดท้ายก็เลยไล่เธอไปพ้นๆ พลางบอกให้สลับเอาคนอื่นมาเก็บเห็ดใส่ตะกร้าแทน
.
"เช๊อะ! , เข้าใจแล้วค่ะ.. หนูวางตะกร้าไว้ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวจะไปตามพี่คนอื่นมาแทนให้"
"ไว้ถึงโซนที่พบคนเมื่อไหร่บอกหนูด้วยล่ะกัน..น..น..!"
"เช๊อะ!!!"
.
สะบัดหน้างอนพอน่ารัก สาวใสวัยมัธยมเดินดุ่มๆแหวกแมกไม้กอหญ้าไปสลับหน้าที่กับพี่หน่วยลาดตระเวนอีกคน เธอได้เฝ้าระวังผืนป่าฝั่งเหนือโดยมีเพียงหน้าไม้อาบยาสลบถือไว้ในมือ คิดว่าน่าจะใช้เวลาราว 10 - 15 นาทีเห็นจะได้ กว่าจะเก็บของป่าในละแวกนี้เสร็จ และกว่าขบวนลาดตระเวนจะเคลื่อนที่ได้อีกครั้ง ก็น่าจะใช้เวลาอีกกว่า 5 - 10 นาที
.
ซึ่งระหว่างรอและกำลังใช้สายตาสอดส่ายไปมานั้นเอง เจนิสก็หาได้พบกับสิ่งปกติใดๆไม่! ไม่มีฝูงผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาโจมตี ไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดแปลกไปของต้นไม้ใบหญ้า แต่กลับเห็นสัญลักษณ์และรอยขีดข่วนเป็นรูปหัวลูกศรและข้อความต่างๆ ปรากฏอยู่ตามต้นไม้เป็นจำนวนมากแทน ต้นไหนเล็กหน่อยก็จะมีการหักกิ่งไม้และดึงใบไม้ให้เป็นรอยขาดเอาไว้!
.
“โห...นานแล้วเหมือนกันนะเนี่ยะที่ไม่ได้เจอเครื่องหมายพวกนี้เลย.. พวกพี่ๆ หน่วยลาดตระเวนเป๊ะกับหน้าที่ตัวเองมาก!”
.
ใช่! , เจนิสรู้ได้โดยพลันว่ามันคืออะไร!? มันก็คือสัญลักษณ์บอกทางกันหลง ที่จะใช้บอกทางกลับไปยังวิลเลจในกรณีฉุกเฉิน หน่วยลาดตระเวนทุกคนรู้ถึงสิ่งนี้ การออกทำงานแต่ละครั้งก็จะมีการเพิ่มเติมเครื่องหมายใหม่เข้าไป เพื่อบอกเส้นทางใหม่ๆที่เพิ่งสำรวจเจอด้วย
.
แพรวเป็นผู้ออกแบบมัน! เธอเคยใช้กลวิธีนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นแคลนผู้รอดชีวิตในเมืองหลวง ศาสตร์ความรู้ดังกล่าวจึงถูกนำมาถ่ายทอดให้แก่ชาววิลเลจ และหน่วยลาดตระเวนก็ใช้มันได้คล่องจนบางคนแทบไม่ต้องใช้แผนที่เลย! ทั่วทั้งผืนป่าจึงมีของแบบนี้เต็มไปหมด! ข้อดีคือไม่มีใครอ่านมันออกนอกจากหน่วยลาดตระเวนด้วยกันเอง!
.
"มีสิ!"
“ก็ฉันนี่ไงที่อ่านไม่ออก…เหอะๆ”
เจนิสพร่ำบ่นใส่ตัวเอง
.
แล้วก็เห็นจะจริงอย่างที่พี่หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนบอก ว่าเธอนั้นล้างสนามมานาน เจนิสแทบจำไม่ได้แล้วว่าสัญลักษณ์แต่ละอย่างหมายถึงอะไร และถ้าพลัดหลงจากกลุ่มไปก็คงจะดูไม่จืดเลยทีเดียว
.
“ก็ช่างสิ! ใครสนล่ะ! ฉันก็แค่จะมาตามหาพี่มิวท์ของฉัน! แค่หาเธอให้เจอแล้วบอกความลับเกี่ยวกับการต้านเชื้อให้ฟัง แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว"
"พวกพี่ๆต่างหากล่ะ! ที่ใช้เวลาเก็บเสบียงนานเกินไป ขืนช้ากว่านี้ก็พลบค่ำก่อนพอดีน่ะสิ!”
.
เต็มที่ก็ได้แค่ด่าทอในใจ เพราะกว่าคาราวานจะเคลื่อนตัวได้ก็ปาเข้าไปกว่าค่อนชั่วโมง เสบียงเต็มเข่งตะกร้าโยกโยนแบกน้ำหนัก เจนิสที่ตัวเล็กกว่าใครก็ไม่ได้รับการยกเว้น! กระเป๋าเป้ของเธอถูกยัดแน่นไปด้วยแท่งหน่อไม้กับเปลือกไม้แห้งที่ใช้ทำฟืนได้ดี แม้แต่กระเป๋ากางเกงก็ยังเต็มไปด้วยปลอกกระสุนเก่าที่พวกพี่ๆ เขาเก็บกันมาได้
.
ลำตัวหนักอึ้งเดินติดสอยห้อยตามมาด้วยความยากลำบาก จนในทีสุดทั้งกลุ่มก็ได้เดินมาถึงโซนป่าที่มักจะเจอผู้พลัดหลงหนีตายกันออกมา ป่าบริเวณนี้มีลักษณะแห้งและเปิดโล่ง ต้นไม้ใบหญ้าแห้งตายขาดความเขียวขจี มันดูน่าขนลุกขนพองอยู่ทีเดียว กลิ่นของความตายสาบโชยโบยจมูก อากาศก็แห้งและเหนียวเหนอะหนะ
.
ถัดจากตรงนี้ลึกเข้าไปราว 2 กิโลเมตรจะเป็นเขตของอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ดังนั้นป่าแถบนี้จึงเปรียบได้กับแนวตะเข็บชายแดน ที่มักจะมีทั้งผู้อพยพที่หนีรอดออกมา แล้วก็ผู้ติดเชื้อที่ปะปนเข้ามาด้วย!
.
“ไหวไหมเจนิส?”
พี่หัวหน้าหน่วยผินหน้ากลับมาถาม
.
“จากตรงนี้ไปอาจมีการปะทะนะ!..เตรียมตัวให้พร้อมด้วย! เราไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องเธอ กรุณาดูแลตัวเองด้วย!”
.
จากปลายแถวเจนิสชูมือเป็นสัญลักษณ์ว่าโอเค เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
.
“อึก!!!”
.
“ไหวอยู่ค่ะ...ไม่ต้องเป็นห่วง!”
.
ปากพูดไปงั้นๆ ทั้งที่แผ่นหลังแม่งหนักอึ้ง ปลอกกระสุนเก่าเต็มกระเป๋าแต่ในมือดันมีแต่ปืนหน้าไม้ สถาพเธอไม่พร้อมเหี้ยๆ นี่ถ้าตายไปจริงๆไม่รู้จะคุ้มค่าไหม กับอีแค่การจะออกมตามหาพี่สาวในฝัน นอกจากความบ้าแล้วก็คงจะมีแต่ความปัญญาอ่อนเท่านั้นแหละ ที่ผลักดันเจนิสให้มาไกลขนาดนี้
.
“ปัง! , ปัง! , ปัง! , ปัง!”
กระสุนตับแรกเปิดฉากยิงในเสี้ยวอึดใจ!
.
มันดังอยู่ใกล้หูเจนิสมากๆ จนเธอต้องยกมือปิดป้อง ก่อนที่เสี้ยววาบต่อมาร่างของผู้ติดเชื้อรายหนึ่งที่วิ่งกรูออกมาจากหลังต้นไม้จะล้มคะมำลงแน่นิ่ง
.
"ฟุบ..บ..บ..บ!"
.
“กรี๊ดดดดดด!!!”
หญิงสาวร้องเสียงหลง
.
และแน่นอนว่าพี่คนที่ยิงก็รีบปรี่เข้ามาทันทีในจังหวะต่อเนื่อง! เขาจ้วงขาด้วยความรวดเร็วพลางกระโดดสุดเหยียดชนิดที่ลอยสูงข้ามหัวเจนิสไปเลย!!
.
“ก้มลงเจนิส!!!!”
.
“อ่ะ..ค่ะ”
“ฮึบ”
.
เส้นยาแดงผ่าแปด! แม่งเอ๊ย! เลือดแดงสดๆนี่สาดรดลงมาเต็มตัวเจนิสเลย ร่างของผู้ติดเชื้ออีกหนึ่งรายขาดครึ่งเป็นสองซีก! ศพหล่นลงที่ข้างๆเธอ คราวนี้กรี๊ดไปออกแต่อ้วกออกมาแทน ตะกร้ากับเป้หนักๆที่แบกอยู่บนหลังดึงรั้งร่างบางให้นั่งลงก้นจ่ำเบ้า! เจนิสหอบหายใจรัว แฮ่กๆ..แฮ่กๆ..
.
“อย่าเหม่อเจนิส! มีไหวพริบหน่อย!”
“มองหาผู้มีชีวิตรอดแล้วช่วยเขา!”
“ถ้าทำไม่ได้! ก็ไปหลบหลังแนวนู่นไป๊! , มันเกะกะ!!!”
.
พี่คนเดิมสำทับ ดูแกไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่มากโข เพราะคมดาบที่ถืออยู่ในมือนี่ถึงกับสั่นพับๆๆ! เลย!