ความรักหลากอารมณ์ที่ดอมดมอยู่กลางดงโรคระบาดโควิด-19 เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน แฟนที่ไม่ใช่แฟน งานนี้ไม่มี "กามเทพ" มีแต่ "กามรมณ์" ในกมลสันดาน
ความรักหลากอารมณ์ที่ดอมดมอยู่กลางดงโรคระบาดโควิด-19 เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน แฟนที่ไม่ใช่แฟน งานนี้ไม่มี "กามเทพ" มีแต่ "กามรมณ์" ในกมลสันดาน
บรรยากาศมาคุขยายตัวห่อหุ้มไปทั้งห้อง ต่างคนต่างนั่งเว้นระยะห่างออกจากกัน แต่ครานั้นด้วยความตีบตันของสมอง พวกเขากลับเหมือนถูกบีบคั้นให้ร้อนรนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมิวท์ผู้เป็นคนรับผิดชอบทุกสิ่ง ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกไป ฟากฝั่งของคุณหมอได้พยายามซักถามแล้ว ถึงประเด็นเกี่ยวกับหยูกยาและเสบียงของบริษัท AP ที่สำนักงานใหญ่น่าจะยังมีอยู่ถมเถ
.
แต่มิวท์ก็ตอบกลับไปได้ทันควันถึงสถานการณ์อัปเดทล่าสุด พี่เปรมกลายเป็นสัตว์ประหลาด! พนักงานแพรแตกหนีเอาชีวิตรอด! ไม่มีใครอยู่ที่สำนักงานใหญ่แล้ว! และจนป่านนี้เหล่าเสบียงและหยูกยาทั้งหลายก็คงจะถูกแคลนผู้รอดชีวิตปล้นสดมป์เอาไปหมด
.
“เราเหลือกันอยู่แค่นี้ล่ะค่ะ…ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ แต่พวกเราเหลือกันอยู่เท่านี้จริงๆ ค่ะคุณหมอ”
สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก ใบหน้าอ่อนเยาว์ลุคคุณหนูยับยู่จนเหมือนคุณยายที่ผ่านการนั่งไทม์แมชชีนมาทัศนศึกษา มิวท์เครียดมากๆ กระทั่งพลั้งปากเผลอพูดในสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา..
.
“โถ่เอ๊ย…ถ้าตอนนี้มีแพรวอยู่ด้วยล่ะก็ , ถ้าได้มืออาชีพอย่างเธอการเอาตัวรอดคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร , ประสบการณ์การหนีคงช่วยเราได้ไม่มากก็น้อย”
“เธออยู่ไหนกันนะแพรว…? ”
.
เป็นซุ่มเสียงรำพึงรำพันที่งึมงำอยู่ในคอ ดวงตาก็ก้มลงมองแผนที่ไปด้วย ก่อนที่จะตัดสินใจสะบัดหน้าขึ้นและโพล่งข้อเสนอออกมา!
.
“หรือว่าเราจะหนีดีคะ!!?? หนีออกจากเมืองหลวงดีไหม? ทุกคนคิดว่าไง?”
“ในเมื่อเสบียงเราไม่พอ ที่นี่เลี้ยงเด็ก 40 คนได้ไม่เกิน 3 เดือนหรอก สู้เราหนีออกจากเมืองหลวงแล้วแสวงหาทางรอดใหม่ อาจจะเป็นที่ต่างประเทศหรือที่ใดสักแห่ง ฉันว่าก็ไม่เลวนะคะ”
มิวท์ผายมือออกสุดไหล่ ไล่สบตาเหล่าคุณหมอและพี่ๆ ทหารหน่วยอารักขาแทบจะเรียงคน
.
ผลออกมาว่ามีทั้งฝั่งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝั่งคุณหมอบอกว่าเป็นแนวคิดที่ดีเพราะมีรายงานการวิจัยออกมาอยู่เหมือนกัน ว่าบางพื้นที่ยังมีการระบาดที่เบาบางอยู่ ประกอบกับบริษัท AP เองก็มีการดิวซื้อขายก๊าซต้านเชื้อกับกลุ่มประเทศต่างๆ เอาไว้ หากเอาข้อมูลมาบูรณาการกัน แคลนที่มีแต่เด็กๆ นี้ก็น่าจะขับเคลื่อนต่อไปได้ เป็นไอเดียที่ฟังดูมีความหวัง แต่ก็ต้องใช้เส้นสายและการประสานงานที่เยอะอยู่
.
ซึ่งสวนทางกับความคิดของพี่ๆ หน่วยอารักขา ด้วยความที่พวกเขาเป็นด่านหน้า! พวกเขาต้องยิงต้องบู้และเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ด้วยกำลังพลที่น้อยเท่าหยิบมือ การจะเคลื่อนที่เด็กมากมายขนาดนั้นเพื่อหลบหนีย่อมเต็มไปด้วยตัวเลขความเสี่ยงที่สูงเกินไป
.
“แล้วก็โปรดอย่าลืมนะครับคุณมิวท์! ว่าผู้คนข้างนอกเค้าเกลียดพวก AP อย่างเรามากแค่ไหน! จริงอยู่ว่าปัจจุบันอาจจะไม่มีหน่วยสืบสวนโรคเชิงรุกของคุณเปรมออกไปไล่จับคนมาทำก๊าซแล้ว แต่อดีตมันก็ยังฝังใจ! แค่เราโผล่หัวออกไปผมว่าเผินๆ แคลนอื่นๆ เค้าจะรุมสกรัมเราเพื่อช่วยผู้ติดเชื้อเอาน่ะสิครับ…!”
.
“เอิ่ม…ม…”
มิวท์ถึงกับอึ้ง พี่ทหารรับจ้างรายนี้พูดเหมือนเพิ่งผ่านเหตุการณ์โดนรุมยำที่ท้ายรถขยะกับเธอมา ทั้งที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก มิวท์เชื่อเขาหมดใจเพราะเห็นกับตาตัวเองแล้วว่า AP นั้นช่างน่ารังเกียจ เธอก็เลยเงียบและนั่งฟังพี่ทหารพูดต่อ
.
“ผมว่าแทนที่เราจะหนี… เราควรใช้การเจรจามากกว่า เอาน้ำเย็นเข้าลูบแล้วเฟ้นหาแคลนเก่งๆ สักแคลนที่พอมีศักยภาพในการป้องกันตัวเอง เราควรจะไปเข้าร่วมกับเขาและให้เขาช่วย เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาอวดเก่งครับคุณมิวท์ พวกผมไม่เก่งพอจะไปสู้กับพวกสัตว์ประหลาดข้างนอกหรอก”
.
พวกคุณหมอพยักหน้า มิวท์เองก็เช่นกัน บอกตามตรงว่าเป็นอีกครั้งที่พี่ทหารชุดดำพูดถูกใจ เพราะเมื่อครู่มิวท์เองก็เพิ่งคิดถึงแพรวอยู่หยกๆ แต่เธอแค่ไม่รู้จะไปหาเพื่อนคนนี้ได้จากไหน
.
ก้มหน้าลงกวาดสายตาใส่แผนที่อีกที และคราวนี้มิวท์ก็ได้บันดาลใจถึงข้อสงสัยอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับสัญลักษณ์ในแผนที่ที่เขียนไว้ด้วยปากกาเมจิก
.
“ไอ้ที่กากบาทไว้นี่คืออะไรเหรอคะพี่ทหาร?”
เธอถาม
.
“เพราะเท่าที่ดูมันไม่ได้มีแค่อันเดียว แต่ถูกกากระจายไปทั่วเป็นจุดต่างๆ เต็มmapเลย แล้วก็มีเพียง 2 - 3 แห่งเท่านั้นที่ถูกกาด้วยปากกาสีแดง!?”
.
“ก็นี่แหละครับที่ผมกำลังจะบอก สัญลักษณ์นั่นคือจุดทีี่กองกำลังของเราปะทะกับแคลนผู้รอดชีวิตครับ”
“ต้องเรียนอย่างนี้ครับคุณมิวท์ คือพอหน่วยตรวจเชื้อเชิงรุกของคุณเปรมถูกชาวเมืองต่อต้านหนักเข้า พวกหมอๆ ก็ตกอยู่ในอันตรายไปด้วย พวกเราก็เลยถูกว่าจ้างให้มาทำงานให้แก่ AP ตั้งแต่ตอนนั้น เราถูกซุ่มโจมตีจากกลุ่มผู้รอดชีวิตบ่อยมาก จนต้องทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับพวกเขา”
“แต่ก็ไม่แคล้วเจอกลุ่มทีเด็ดที่รับมือได้ยาก จนเราต้องทำเครื่องหมายเป็นกากบาทสีแดงเอาไว้ตัวโตๆ!”
.
“เอ๋…แต่เท่าที่เห็นมีอยู่แค่ 2 จุดเองนะคะสำหรับกากบาทสีแดง มีใต้ทางด่วนหนึ่งจุด แล้วก็ตรงสถานีรถไฟฟ้าเก่าอีกหนึ่งจุด”
มิวท์แทรกขึ้น
.
“ใช่ครับคุณมิวท์ มันเป็นแคลนๆ เดียวกัน แล้วผู้นำของพวกเขาก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ขวบวัยน่าจะเท่าๆ กับคุณมิวท์นี่แหละ ผมยังจำเส้นผมสีส้มอมแดงของหล่อนได้ ในแคลนของเธอมีแต่ผู้หญิงกับเด็กแล้วก็เกย์ แต่ก็เล่นเอาเราเหนื่อยตลอด จึงไม่ใช่งานง่ายเลยหากคิดจะล่าคนจากแคลนของหล่อนไปรีดเลือดทำก๊าซ”
.
“หรือว่า…?”
คราวนี้มิวท์ถึงกับตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
.
“พี่รู้ไหมว่าเธอชื่ออะไร?! , ชื่อแพรวรึเปล่า?! , พี่มีข้อมูลไหม? พวกรูปถ่ายหรืออะไรก็ได้!?”
.
“เราไม่รู้ขนาดนั้นหรอกครับ แต่ในความเห็นของผมถ้าหากเราได้พวกเธอมาเป็นพวกแล้วร่วมมือกัน เราน่าจะบรรลุภารกิจร่วมกันได้”
ทหารอารักขาจ้องหน้ากลับแบบไม่วางตา ลักษณะเหมือนเป็นการข่มขู่อยู่กลายๆ ก่อนที่ต่อมาประกายแสงเล็กๆ แห่งความหวังจะอุบัติขึ้น ผ่านการเดินเข้ามาตบไหล่ของทหารรับจ้างอีกนายหนึ่ง
.
เขาแจ้งกับที่ประชุมว่าในการปะทะกันครั้งล่าสุดที่สถานีรถไฟฟ้าร้าง แคลนๆ นี้ได้โชว์กลยุทธ์สุดเก๋าด้วยการใช้กระเทยชายสองรายเป็นเหยื่อล่อ และเปิดทางให้สมาชิกคนอื่นๆ หลบหนี
.
“เราไม่มีรูปภาพของเธอ แต่เรามีเศษผ้าผืนนี้ครับคุณมิวท์ ผมเก็บได้จากศพมีทั้งลายเซ็นต์และรายมือของสมาชิกทุกคนในแคลน และที่สำคัญคือพวกเขาเขียนว่าจะไปพบกันอีกครั้งที่จังหวัด “สุพรรณบุรี” ”
“เชิญคุณมิวท์ตรวจสอบดูก่อนได้ครับ!”
.
หลักฐานพยานถูกวางลงตรงกลางโต๊ะ มิวท์จับเศษผ้าสีดำขนาดเท่ากับปลอกแขนกัปตันทีมฟุตบอลขึ้นมาดูใกล้ๆ พลางทอดสายตาอ่านบรรดาข้อความอวยพรทั้งหลาย จนกระทั่งไปสะดุดตาเข้ากับลายมือๆ หนึ่งที่คุ้นตาเธอเป็นอย่างมาก!!!
.
“ใช่แล้ว! ไม่ผิดแน่! นี่มันลายมือของแพรวฉันจำได้!”
.
“คุณมิวท์รู้จักด้วยเหรอครับ?”
.
“อือ…เพื่อนสนิทฉันเอง แพรวกับพี่เปรมแล้วก็ฉันเราสนิทกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็มีพีอีกคนหนึ่ง…”
.
“งั้นก็ดีเลยสิครับ… บังเอิญมากแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีสุดๆ ไปเลย! ผมการันตีเลยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน เธอจะช่วยเราได้มาก ยิ่งเป็นเพื่อนกับคุณมิวท์ด้วยแล้ว เด็กๆ ทั้ง 40 คนต้องรอดแน่ครับ!”
.
“หึๆ …ดูพี่จะมั่นใจกว่าฉันซะอีก! พอดีว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราค่อนข้างซับซ้อนน่ะค่ะ ถ้าเจอหน้ากันตอนนี้ บางทีแพรวอาจจะไม่มองหน้าฉันเลยก็ได้… ไม่รู้สิ…ไม่รู้เหมือนกัน…”
.
“ไม่เป็นไรครับอย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่าเธออยู่ไหน..?”
ทหารหนุ่มคว้าเศษชายผ้าออกจากมือมิวท์ พลันชูมันขึ้นอังกับแสงไฟนีออนบนฝ้าเพดาน
.
“ใช่ค่ะพี่ “สุพรรณบุรี” ไม่รู้ว่ามีอะไรดีแต่เราจะเริ่มต้นจากตรงนั้น”
“การประชุมได้ข้อสรุปแล้วนะคะ เชิญทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ พร้อมเมื่อไหร่เราจะแพ็คกระเป๋าและตามรอยแพรวไปให้ทัน”
.
“ครับ , ค่ะ”
ทั้งทหารทั้งหมอตอบรับเสียงแข็ง นับวันดูทรงมิวท์จะยิ่งเหมือนแพรวเข้าไปทุกที