หลังจากเช็ดตัวลั่วลั่วให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวแล้ว เฉียวโม่หยูก็เข้าไปอาบน้ำต่อ เมื่อเธออาบน้ำเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอได้ยินเสียงออกมากจากห้องของลูกชาย
พี่เลี้ยงเดินไปยัังห้องเด็กชายเปิดประตูถามว่า
"ลั่วลั่ว ทำไมยังไม่นอน? เด็กดีต้องรีบนอนแต่หัวค่ำนะ จะได้ตัวสูงๆ!"
เด็กชายกลิ้งไปมาบนเตียง นอนไม่หลับ พี่เลี้ยงหยูหันมามองเฉียวโม่หยูแล้วอธิบายว่า
"ลั่วลั่วขอให้ฉันเล่านิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดงที่คุณเคยเล่าให้แกฟังค่ะ แต่ฉันไม่รู้จักเรื่องนี้เลยค่ะ"
ในโลกนี้มีเรื่องหนูน้อยหมวกแดงด้วยเหรอ เธอไม่เห็นเคยได้ยินเลย! พี่เลี้ยงหยูคิดในใจ
เมื่อได้ยินพี่เลี้ยงพูดดังนั้น เฉียวโม่หยูจึงเดินเข้าไปและพูดขึ้นว่า
"เดี๋ยวฉันจัดการเองค่ะ"
เธอนั่งลงข้างลั่วลั่วที่ยังนอนกระสับกระส่ายและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
"เป่าเป้ย คืนนี้ลองฟังเรื่องใหม่กันดีไหมจ้ะ เรื่องหมวกสีดำใบใหญ่"
ลั่วลั่วเบิกตากว้างด้วยความสนใจไปที่แม่ของเขา
เฉียวโม่หยูจึงเริ่มเล่าว่า "ในคืนที่มืดมิดและมีลมแรงคืนหนึ่ง มีหมีตัวหนึ่งสวมหมวกสีดำไว้บนศีรษะ มันมีร่างกายกำยำ เขี้ยวแหลมคมที่สามารถโจมตีม้าลายให้ตายได้ด้วยการปะทะเพียงครั้งเดียว"
ลั่วลั่วน้อยตัวสั่นอยู่บนเตียง นิ้วกลมป้อมเอื้อมออกไปจับนิ้วมือแม่ของเขาไว้
เฉียวโม่หยูมองลงมาเห็นนิ้วมืออ้วนกลมซึ่งดูเหมือนกับรากบัว หัวใจเธอพลันรู้สึกตื้นตันขึ้นมา
"มันรู้สึกหิวดังนั้นมันจึงเริ่มออกล่าตัวละมั่ง"
"แม่ ลั่วลั่วง่วงนอนแล้ว ลั่วลั่วไม่อยากฟังนิทานแล้ว" เด็กชายตัวน้อยโยกศีรษะเบาๆแล้วหาวออกมา
เฉียวโม่หยูรู้สึกพอใจ เธอเคยชอบนิทานเรื่องนี้มากเมื่อครั้งเธอยังเด็ก และดูเหมือนว่าตอนนี้มันใช้ได้ผล
เธอก้มลงไปจูบที่หน้าเด็กน้อยและพูดว่า
"ถ้าอย่างนั้นก็หลับตาและนอนหลับฝันดีนะจ้ะ
"ได้ฮะ" ลั่วลั่วพูดพลางพยักหน้า ขนตาของเขาสั่นไหวเล็กๆขณะกำลังปิดเปลือกตาลง จนกระทั่งหยุดนิ่ง
นิ้วมือของเด็กชายยังจับที่นิ้วมือของเธอ ดังนั้นเธอจึงยังนั่งต่อไป
เฉียวโม่หยูมองไปที่เด็กชายที่กำลังหลับ ตั้งแต่ที่เธอมายังโลกนี้ เธอจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด ไม่ให้เขาต้องพบกับจุดจบตามเนื้อเรื่องในนิยายที่เขาต้องพลัดพรากจากแม่และหายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย!
สำหรับพ่อของเด็ก เธอต้องหาโอกาสเอาเส้นผมของชิงอี้เฉินมาพิสูจน์ให้ได้!
วันถัดมา โม่หยูมาถึงกองละครแต่เช้าตรู่ วันนี้เธอมีฉากต้องถ่ายร่วมกับเย่เป่ยเฉิง
เนื้อเรื่องของวันนี้คือ พ่อของเฉียวโม่หยูเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งส่งผลให้ลูกสาวของเขาเสียใจและคับแค้นใจเป็นอย่างมากเมื่อเธอพบว่าบาดแผลของพ่อเธอถูกวางยาพิษ เฉียวโม่หยูจึงวางแผนแก้แค้น แต่เย่เป่ยเฉิงกลับห้ามเธอเอาไว้ และบอกเธอว่ามันอันตรายเกินไปที่จะไปคนเดียว เธอต้องมองให้กว้างขึ้นและคิดให้มากกว่านี้
นอกจากเฉียวโม่หยูจะไม่รับฟังยังรู้สึกว่าเย่เป่ยเฉิงนั้นขี้ขลาดตาขาว เธอสูญสิ้นศรัทธาต่อเขา แต่เมื่อเธอนึกได้ว่าเย่เป่ยเฉิงนั้นต้องการเพียงโน้มน้าวตัวเธอเพราะเขากลัวว่าเธอจะตกอยู่ในอันตรายและเขาวางแผนจะไปคนเดียวในนามของเธอ แต่เธอดันเข้าใจเขาผิด
เธอรีบรุดไปหาเขาทันที เธอพบว่าชายหนุ่มเปียกโชกไปด้วยเลือด เย่เป่ยเฉิงกอดเธอแน่นและบอกเธอว่า เขาได้ล้างแค้นให้ท่านอาจารย์แล้ว
ในขณะนั้นเอง ความรู้สึกของพวกเขาทั้งคู่ก็ได้เชื่อมเข้าหากัน พวกเขาจูบกันเป็นครั้งแรกซึ่งฉากเหล่านี้ต้องอาศัยอารมณ์ร่วมเป็นอย่างมาก และต้องอาศัยทักษะการแสดงสูงจากนักแสดง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเฉียวโม่หยูถึงมากองละครแต่เช้า เธอพยายามคิดหาเทคนิคในการแสดง เธอหมกมุ่นกับการศึกษาบทละครจนกระทั่งผู้กำกับเรียกชื่อเธอ