Your Wishlist

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์) (Rewrite) (16 บทสรุปของการต่อสู้ ไซม่อน VS จีเนียส (Rewrite))

Author: Sayyeon

" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "

จำนวนตอน : N/A

16 บทสรุปของการต่อสู้ ไซม่อน VS จีเนียส (Rewrite)

  • 24/08/2564

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์)
ภาค 1 ศึกปะทะอัศวินแห่งความมืด


  

 

 

 

 

 

 

 นัยต์ตาสีน้ำเงินคู่สวยและแสนเย็นชาของเจ้าชายแห่งมอลเดเวียร์ยังคงดูนิ่งสงบและอ่านยากอย่างเคยนิสัย แต่ด้วยความเจิดจรัสบวกกับท่วงท่าที่ก้าวตรงเข้ามายังเหยื่อนั้นแสดงถึงการเป็นผู้กุมชัยที่ดูเหนือกว่าหลายขุม ริมฝีปากเผยอรอยยิ้มเล็กๆเจ้าเล่ห์ซึ่งหาดูได้ยากยิ่งออกมา บุรุษหนุ่มทอดมองภาพเบื้องหน้าซึ่งปรากฎสิ่งที่สะท้อนถึงพลังเวทย์อันแข็งแกร่งของตัวเอง ภูเขาน้ำแข็งราวกับป้อมปราการที่สูงชันนั้นแช่แข็งร่างของเจ้าเด็กเหลือขอที่ริอาจกล้ามาลองดีอย่างไร้ยางอายและความหวาดกลัว มิหนำซ้ำยังมีพรรคพวกผู้โง่เขลาของเด็กนี่ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามีอีกกี่คนที่หลบซ่อนอยู่และเจ้าพวกนี้มันคิดจะทำอะไรกันแน่ 
    
                '' ขอดูหน้าอวดดีของแกหน่อยก็แล้วกัน ''

เมื่อพูดจบประโยคนั้น ร่างของเทพแห่งศาสตราอีเดนที่ดูเหมือนจะล่วงรู้ใจของผู้เป็นนายเป็นอย่างดี ก็เข้าไปใกล้ภูเขาน้ำแข็งนั่น พลางทลายน้ำแข็งบางส่วนที่ปกคลุมช่วงใบหน้าออกไป หน้ากากอำพรางของมันดูเหนียวแน่นกว่าที่คาด โดยนายท่านของเขากระทำเสียขนาดนี้ก็ยังไม่มีหลุดหรือขาดกระเด็นเลยแม้แต่น้อย ฝ่ามือของเทพอีเดนกำลังจะกระชากสิ่งที่ปกปิดใบหน้าออกไปเสีย แต่ทว่าจู่ๆ นัยต์ตาของผู้ที่คิดว่าคงสลบเหมือดไปแล้วนั้น กลับเบิกโพลงขึ้นมาในฉับพลัน
  

                   '' อย่ามาแตะตัวฉัน ไอ่พวกเวร...''

 

สิ้นสุดคำสบถนั้น ร่างกายและจิตใจที่ร้อนรุ่มด้วยความโกรธนั้นเริ่มอัดแน่นลงไป แม้ใบหน้าที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นจะไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเป็นเช่นไร แต่อีเดนกลับรับรู้ได้ถึงความโกรธและจิตสังหารที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นมา ภูเขาน้ำแข็งของจีเนียสที่ถูกสร้างโดยพลังเวทย์เริ่มถูกหลอมละลาย พร้อมกับการปรากฎของเวทย์สีส้มแดงแห่งเปลวเพลิง ที่กำลังรุนแรงด้วยความพิโรจน์ ซัดอีเดนให้กระเด็นออกมาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว 

 

                   '' ไม่เลวเลยนี่ คิดว่าจะจบง่ายๆแล้วซะอีก สงสัยฉันจะคิดผิดไปหน่อยนะ ''

       

                   '' ฉันก็ยังสนุกไม่พอเหมือนกันว่ะ มาเริ่มเอาจริงกันเลยดีไหม? ''

 

เวทย์แห่งธาตุอัคคีของไซม่อนสามารถทลายสิ่งที่เป็นกรงขังออกจากร่างของเขาไปได้ พร้อมกับการมายืนประจัญหน้าที่มีคู่ต่อสู้ตัวฉกาจเป็นถึงหนึ่งในว่าที่รัชทายาทคนสำคัญแห่งไครซิสต์ ที่ดูยังไงในตอนนี้เขาก็มีพลังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะหมอนี่ได้เลยสักนิด เพราะรัศมีความน่ากลัวและอำมหิตอันยากจะคาดเดาได้นั้นกำลังพุ่งทะยานมาหาตัวเขาจนส่งความรู้สึกร้อนๆหนาวๆ แต่ก็ยินยอมที่จะปักหลักสู้ตายเสียดีกว่าหนี

    

               '' อวดดีซะจริงนะ อย่ามาอ้อนวอนให้ฉันปรานีเชียวล่ะ เพราะแกคงไม่อยากเห็นวันที่ฉันคนนี้เอาจริงขึ้นมาหรอก ''

 

นัยย์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นยิ่งดูเย็นยะเยือกจนแทบจะสะกดผู้ที่เผลอสบมองให้ถลำลึกลงสู่ความหวาดกลัวและสิ้นหวังจนพร้อมที่จะก้มหัวให้ ไซม่อนพยายามควบคุมอารมณ์และตั้งสติให้มั่น เขารู้ดีว่ายังไงเรื่องของลอว์เรนซ์ก็สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดแล้วในตอนนี้ ถ้าเขาทำพลาดจนเสียแผน มันจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย แถมยังไร้ประโยชน์เสียอีก ร่างสูงของจีเนียสอยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก ต่างคนต่างมีระยะห่างและพื้นที่เพียงพอสำหรับการร่ายเวทย์และเข้าต่อสู้ด้วยการปะทะ จีเนียสกระชับดาบในมือไว้แน่นพร้อมกับเริ่มเปล่งวาจา ใช้สมาธิพึมพำในการร่ายเวทย์มนตร์ ไซม่อนยังคงกระชับศาสตราหรือดาบสั้นคู่ในมือทั้งสองข้างไว้ให้มั่นเช่นกัน เขาไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายโจมตีก่อนโดยที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจีเนียสกำลังคิดจะทำอะไร 

 

                     '' จงร่ายรำสิ Blade Of Diamond Dust ''

 

วู้มมม!

เสียงลมพัดอันพุ่งทะยานและดังอื้ออึงอย่างประหลาดเริ่มถาโถมเข้ามา เมื่ออาณาเขตของพลังเวทย์แห่งผู้ใช้ธาตุน้ำแข็งได้เริ่มเปิดศึก คมดาบอันสวยงามและเต็มไปด้วยความแหลมคมอันเย็นยะเยือกกำลังถูกตวัดร่ายรำไปมาพร้อมด้วยท่วงท่าที่ดูรวดเร็วแต่ยังคงความสง่างาม ลมแรกเริ่มที่พัดมาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นพายุที่กรรโชกรุนแรงราวกับหน้าหนาวบนหุบเขาที่ไม่มีวันจบสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้ไซม่อนแปลกใจยิ่งคือ ความงดงามซึ่งดูน่าเกรงขามและอันตรายมันกำลังร่วงหล่นลงมาจากวงเวทย์สีฟ้าใสที่ปรากฎเหนือศีรษะของผ้ใช้ สิ่งที่เรียกกันว่า ไดม่อนดัส และเหมือนลางสังหรณ์ตามสัญชาตญาณของเขาจะไม่ได้ผิดแต่อย่างใด ท่าร่ายรำดาบที่จีเนียสบรรจงสร้างขึ้นมันกำลังพุ่งทะลวงมาที่ร่างของเขาโดยการประสานกายหยาบกับไดม่อนดัสแห่งฟากฟ้านั่น คมดาบที่สามารถเยือกแข็งและรวดเร็วพอที่จะสังหารศัตรู มันทั้งงดงามและอันตรายเกินไป

 

เคร้งงง!

คมดาบของทั้งสองหนุ่มทั้งเจ้าชายและนักรบเข้าปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่น แม้ว่าไซม่อนจะใช้ดาบคู่ของเขารับมือและป้องกันเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว แต่แรงดาบเพียงเล่มเดียวของจีเนียสกลับดูมหาศาลมากกว่าหลายเท่าตัว จนดาบสั้นทั้งสองแทบจะต้านไว้ไม่อยู่ ดาบเล่มหนึ่งเริ่มมีรอยปริขึ้นมาจนเด็กหนุ่มรู้สึกได้ในทันที

 

                    ' บ้าน่า! ไอ้หมอนี่มัน ทำไมพลังมันถึงได้มากมายขนาดนี้! '

  

                     '' ต่อไปจะไม่ใช่แค่ที่ดาบหรอกนะที่เป็นรอย ''

 

ไดม่อนดัสเริ่มเปลี่ยนทิศทางและกระแสในการผสานเข้ากับท่าร่ายรำของจีเนียสอีกครั้ง ที่มุมปากของเขาปรากฎรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ลอยตัวสูงขึ้น ไซม่อนพยายามจะกระโดดด้วยวิถีของแวมไพร์เพื่อพุ่งดาบออกไปยังร่างสูงนั่น แต่กลับถูกไดม่อนดัสอันเป็นเสมือนเพชรน้ำแข็งที่มาจากฟากฟ้าหยุดเอาไว้ พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ไม่สามารถมองตามการเคลื่อนไหวของจีเนียสได้ทัน มิหนำซ้ำร่างที่ถูกตรึงไว้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีกลางอากาศ กลับกำลังร่วงหล่นลงสู่ผืนแผ่นดิน 

    

                   '' อะ...อะไรกัน นี่มัน หรือว่าแก...! ''

 

ร่างสูงของจีเนียสยังคงลอยตัวอยู่เหนือกว่าในมือที่ถือดาบนั่น ปลายดาบของเขาเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงคล้ำที่เปรอะติดมานิดหน่อย และนั่นทำให้ไซม่อนเข้าใจได้ในทันที บุรุษผู้นั้นใช้คมดาบที่แฝงไปด้วยไดม่อนดัส พลังเวทย์อันแกร่งกล้าฟาดฟันเขานับครั้งไม่ถ้วนภายในไม่กี่วินาที เลือดสดๆเริ่มทะลักออกมาตามร่างกายที่มีบาดแผลของหนุ่มนักรบตะวันออก เขาร่วงลงสู่พื้นดินโครมใหญ่จนเกิดหลุมลึก เพราะร่างกายที่หนักอึ้งและกระแสพลังเวทย์ในอาณาเขตศัตรู  และแน่นอนว่านี่ยังไม่หมดแค่นั้น นัยต์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นยังดูไม่พึงพอใจนัก จึงได้เริ่มตวัดดาบไปอีกครั้งพร้อมด้วยพลังเวทย์น้ำแข็งที่รุนแรงกว่าเดิม

 

แม้ว่าร่างกายจะเจ็บหนักเอาการ แต่ไซม่อนก็จำต้องฝืนสังขารชันกายให้ลุกขึ้น เพราะสัมผัสได้ถึงไอเวทย์ที่พุ่งตรงมาอีกระลอก นัยต์ตาสีส้มฉายแววแห่งความร้อนรนและเจ็บใจ แต่เจ้าตัวก็พยายามควบคุมสติและประเมินสถานการณ์ให้รวดเร็วที่สุด แหวนเวทย์พิธีกรรมสีเงินของไซม่อนเริ่มเปล่งแสงขึ้นมา เมื่อเจ้าของเริ่มหลับตาร่ายเวทย์และทำการอัญเชิญเทพแห่งศาสตราของเขาที่มีชื่อว่า 
รูดอร์ฟ ออกมา ร่างกายสูงใหญ่กำยำของเทพแห่งศาสตราของนักรบหนุ่มนั้นคลับคล้ายคลับคลากับผู้เป็นนายยิ่งนัก เทพแห่งศาสตราผู้นี่เป็นบุรุษมาดขรึม ที่ดูจะจริงจังไปเสียทุกเรื่อง เขาสบมองกับไซม่นที่ชันกายลุกขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก พร้อมกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยและคับข้องใจ

 

                   ' สภาพท่านในตอนนี้ดูไม่ได้เอาเสียเลยเจ้านาย '

 

                  '' เออ รู้แล้ว แต่มันใช่เวลาไหมเนี่ย ไม่เห็นรึไงว่าหมอนั่นมันกำลังทำอะไร! ''

 

ไซม่อนเริ่มหัวเสียเมื่อเจ้าเทพศาสตราทักทายเกริ่นนำการพบกันอย่างไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก แม้จะรู้ตัวว่ายามนี้สภาพตนเองก็ดูไม่จืดจริงๆอย่างที่ว่ามานั่นแหละ แต่ทั้งคู่ไม่มีเวลามาพร่ำพรรณนามากมายนัก กระแสพลังเวทย์รุนแรงพุ่งใกล้เข้ามาอย่างเต็มที่ ร่างของรูดอร์ฟเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับศึกในครั้งนี้ 

 

                    ' ข้ารู้ว่าต่อให้มีสภาพเช่นไร ท่านก็ไม่เคยคิดยอมแพ้ '

 

                    '' รู้อย่างนั้นก็ดี งั้นมาเริ่มการโต้กลับของพวกเรากันเถอะ รูดอร์ฟ ''

 

นัยต์ตาสีส้มกลับมาฉายแววของความเข้มแข็งและมุ่งมั่น ปากเริ่มพึมพำร่ายเวทย์เพื่อหลอมรวมความเป็นธาตุอัคคีให้ก่อกำเนิดขึ้นมา ขณะที่กระแสของพลังเวทย์นั้นเริ่มขยายกลายเป็นวงเวทย์ขนาดใหญ่ขึ้นมา ร่างสูงและกำยำของรูดอร์ฟราวกับถูกดูดกลืนเข้าไปกับวงเวทย์นั้นเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน พลังของเปลวไฟขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากวงเวทย์นั้นภายในชั่วพริบตาและด้วยความรวดเร็วนั้น มันก็พุ่งตรงเข้าปะทะกับเวทย์น้ำแข็งจากเจ้าชายแห่งมอลเดเวียร์ในทันที
เวทย์สีส้มและสีฟ้าใสปะทะกันเสียงดังสนั่น แรงสั่นสะเทือนจากพลังเวทย์แพร่กระจายออกมาเป็นวงกว้างพอสมควร ทั้งสะเก็ดไฟและน้ำแข็งกระเด็นกระดอนออกมาพร้อมกับประกายแสงของไอมนตร์ ไซม่อนพุ่งทะยานด้วยร่างกายที่ยังพอมีพละกำลังและความมุ่งมั่นอันแรงกล้า กระชับดาบคู่ไว้ในมือทั้งสองข้าง และทะยานขึ้นไปในอากาศให้สูงกว่าตำแหน่งที่จีเนียสอยู่ แต่มีหรือที่เจ้าชายเย็นชาผู้นั้นจะไม่ล่วงรู้ตำแหน่งของเขา นั่นทำให้ไซม่อนไม่มีเวลามากพอที่จะตั้งหลัก เขารีบทำการร่ายเวทย์แทบจะในทันที 

 

                    '' แสดงอิทธิฤทธิ์แห่งผู้กล้าให้ประจักษ์ ข้าขออัญเชิญเทพแห่งสุริยันมาจุติ รูดอร์ฟ สำแดงอิทธิฤทธิ์! Midnight Flame On ''

 

วงเวทย์สีส้มแดงขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นเหนือร่างของไซม่อนและจีเนียส ที่ดูยังคงสงบและไม่แสดงปฏิกิริยาของความหวั่นวิตกแต่อย่างใด ร่างสูงยังคงพร้อมที่จะพุ่งคมดาบเข้ามายังเป้าหมายโดยไม่สนใจพลังเวทย์ที่แสดงออกมา ไซม่อนตั้งสมาธิและหลับตาลง พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างทำการไขว้ดาบเป็นสัญลักษณ์กากบาทหรือตัว X แล้วลดดาบด้วยการเปลี่ยนท่าทางเป็นการควงดาบคู่นั้นเสมือนวงกลม แผ่ออกช้าๆ วงเวทย์สีส้มแดงเริ่มหมุนวนลงมาล้อมรอบกายาของเด็กหนุ่มและเทพแห่งศาสตราที่ประทับอยู่ เปลวเพลิงแห่งธาตุอัคคีผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และวงเวทย์ที่มีรูปร่างคล้ายกับวงแหวนนั้นก็ได้แปรเปลี่ยนให้ท้องฟ้าที่มืดมิดสมกับเป็นยามราตรีอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งดับสนิทจนมองไม่เห็นและไร้วี่แววของพระจันทร์

    

                   '' ฟ้ามืดสนิทแบบนี้ หรือว่าท่านั้นมัน...''

 

จีเนียสที่เริ่มรับรู้และจับสัญญาณได้ถึงห้วงของความผิดปกติ ราวกับว่า ตอนนี้พลังเวทย์ของไอ่เด็กนั่นมันดูจะทำงานได้ดีเกินคาด เพราะสภาวะแวดล้อมรอบกายตกอยู่ในความมืดมิดที่ดับสนิทเกินไป ใช่แล้ว เห็นชัดเลยว่าวงเวทย์และเทพศาสตรานั่นแปรเปลี่ยนมิติเดิมลงไปชั่วคราวเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ท่าไม้ตายที่ผู้เป็นนายของมันกำลังคิดจะใช้ 

และแล้วการโจมตีของไซม่อนก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อวงเวทย์แห่งเปลวเพลิงนั้นได้ทำการอัญเชิญ สิ่งที่สามารถคืบคลานมากับความมืดที่เขาได้สร้างขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน นั่นก็คือ สุริยคราส ในยามค่ำคืนที่แสงจันทร์อันงดงามกำลังถูกบดบังชั่วขณะ สิ่งที่เป็นเสมือนพระอาทิตย์ทรงกลมขนาดใหญ่สีดำสนิทได้ถูกประทับด้วยวงเวทย์แห่งไฟ กลายเป็นลักษณะของสุริยคราสวงแหวน เปลวเพลิงพิโรจน์ที่พร้อมแผดเผาและทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้เริ่มต้นขึ้น ความร้อนระอุที่แผ่ซ่านออกมา นัยต์ตาสีส้มของเด็กหนุ่มยิ่งฉายแววของความโกรธและอยากเอาชนะ เขาปลดปล่อยพลังเวทย์ด้วยเปลวเพลิงและพลังแห่งสุริยคราสวงแหวนออกไปในทันที ความรุนแรงนั้นพุ่งเข้ามายังจีเนียสและโหมกระหน่ำยิ่งกว่าพายุร้ายเพราะพลังความร้อนจากสุริยันนั้นคงพอสร้างความเสียหายให้แก่เจ้าชายน้ำแข็งผู้หยิ่งผยองนั่นได้บ้าง และสิ่งที่ไซม่อนได้พูดไว้กับรูดอร์ฟต่อจากนั้นก็คือ 

  

                     '' รูดอร์ฟ เจ้าหมอนั่นมีสิ่งที่ฉันต้องการอยู่ นายแค่รอจังหวะเท่านั้น ''


 

 

 

  ---------------------------------------------------------------

  

 

 

 นัยต์ตาสีเขียวของเจ้าหญิงแห่งไอริณกำลังเต็มไปด้วยความทุกข์ หวาดกลัวและเป็นกังวลใจ ขณะที่ร่างบางระหงส์พยายามพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองพอจะทำได้ เพื่อไปสมทบกับคนที่กำลังตามมาทีหลังอย่างชิเร ทั้งสองยังคงติดต่อกันผ่านต่างหูสนทนาที่ได้รับมา และในที่สุด ก็ได้มาพบกันที่ต้นเมอร์ล็อกซ์ต้นใหญ่ซึ่งเป็นจุดนัดพบที่ชิเรผู้มาถึงก่อนพบว่ามันดูสะดุดตามากกว่าบริเวณอื่น เขาพาเด็กสาวขึ้นมาหลบซ่อนตัวให้มิดชิดภายในโพรงของมัน ซึ่งด้านในเป็นเสมือนรังของแมลงแปลกๆที่เรืองแสงได้คลับคล้ายกับหิ่งห้อยในโลกของมนุษย์ ที่ทำให้ด้านในพอมีแสงสว่างและดูปลอดภัยขึ้นมานิดหน่อย เพราะแมลงชนิดนี้ไม่มีพิษภัยอะไรให้ต้องกลัว

  

                     '' ชิเร ตอนนี้ไซม่อนกำลังแย่ คนคนนั้นน่ากลัวมาก จิตสังหารที่ไม่ธรรมดาของเขาน่ะ ฉันิดว่าไม่มีโอกาสเลยที่เราจะผ่านเขาไปได้ ''

 

บรินส์พยายามอดกลั้นน้ำตาที่เกือบจะไหลรินออกมาจนแทบทนไม่ไหว เธอนึกเจ็บใจที่ตนเองไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และดูเหมือนกำลังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายพวกนี้ แต่ชิเรดูจะนิ่งสงบกว่าที่คิด เขาอยู่ในภาวะผู้นำที่ไม่อาจแสดงตัวตนด้านที่อ่อนแอในเวลานี้ออกมาได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าตัวเป็นห่วงเพื่อนๆมิตรสหายที่ต่างก็กระจายกำลังกันออกไปตามหน้าที่ เขาแทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตนเองทำอะไรได้ดีพอหรือไม่ หรือถ้าหากนี่เป็นสงครามที่ใหญ่หลวงกว่านี้นักแล้วเกิดเขาเป็นกษัตริย์หรือที่ปรึกษา บ้านเมืองคงมีผู้คนล้มตายมากมายไปแล้ว ทุกอย่างที่เขาพยายามวางแผนมันดูจบลงไปอย่างง่ายเหลือเกินจนชักจะไม่มั่นใจกับตัวเอง นัยต์ตาสีม่วงดูว้าวุ่นขึ้นมาแต่ก็ต้องหลับตาพริ้มลง เพราะสิ่งที่อยู่เหนืออารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลก็คือ สติ

    

                    '' เรามาวางแผนกันอีกรอบเถอะครับคุณบรินส์ ผมจะไม่ยอมทิ้งใครไว้ข้างหลังอีกเด็ดขาด ''

 

                    '' นายคิดอะไรดีๆออกแล้วเหรอ? ''
 

                    '' มันอาจไม่ใช่วิธีที่ดีนักแต่คุ้มค่าที่จะยอมเสี่ยงครับ ''

 

นัยต์ตาสีม่วงของเด็กหนุ่มมหาปราชญ์เริ่มแสดงถึงความเป็นผู้รอบรู้และจอมวางแผนขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ควักเอาหนังสือเวทย์เล่มเล็กๆออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งของเสื้อคลุมที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ เพราะเด็กหนุ่มไม่ใช่ผู้ที่จะเผลอไผลลืมพกไอเท็มประจำตัวแบบนี้ไปไหนมาไหนอยู่แล้ว

 

 

-------------------------------------------------------------------------

 

 

 

                     '' แม่งเอ๊ย...นี่มันบ้าชัดๆ ไอ้หมอนี่มันเป็นปิศาจหรือไงกัน! ''

 

แววตาตื่นตระหนกของไซม่อนที่เผลอแสดงออกมาและน้ำเสียงที่สบถอุบอย่างลืมตัว ส่งผลให้ใบหน้าประดุจรปสลักนั้นนึกเหยียดหยามเขาเสียเต็มประดา เพราะท่าไม้ตายของเด็กนั่นแม้มันจะรุนแรงจริงดั่งว่าและส่งผลให้บาเรียที่เขาใช้ป้องกันแตกสลายได้ในชั่วพริบตาและส่งผลให้เสื้อผ้าราคาแพงของเขามอดไหม้ในบางส่วน ไปจนถึงบาดแผลเล็กน้อยที่เกิดจากความร้อนของเปลวสุริยัน  ซึ่งก็ขอยอมรับตรงนี้แค่ว่าพอใช้ได้เท่านั้น เพราะเจ้าตัวดูไม่ได้ยี่หระและมันไม่เกินคาดเท่าไหร่ จนเริ่มสร้างความรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาให้เขาเข้าเสียแล้ว บุรุษหน้าหล่อปัดเศษของเปลวสุริยะที่ดูจะยังพร้อมลุกลามให้ออกจากเสื้อผ้าของเขา พร้อมกับการตวัดดาบอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว เพลิงที่มอดไหม้อยู่บนผืนแผ่นดินเบื้องล่างซึ่งได้รับผลกระทบก็กลับถูกเวทย์น้ำแข็งทับถมลงไปแทนที่ 

 

                     '' สุริยคราสวงแหวนงั้นเหรอ? แกคงไม่รู้สินะ ว่าการใช้มันในรูปแบบเต็มดวงได้จะให้พลังที่มหาศาลกว่าสะเก็ดเพลิงโง่ๆนี่อีก คิดว่ากระจอกขนาดนี้จะเอาชนะองครักษ์แห่งเซนต์คาดิลอร์ฟได้เหรอ โอหังสิ้นดี ''

 

                     '' แค่ทำให้เสื้อผ้าแกไหม้ได้บ้าง ก็พอสนุกได้อยู่เหมือนกันว่ะ ''

  

                     '' ฉันจะให้แกได้ชดใช้อย่างสาสมเลย จะได้รู้ว่าเสื้อผ้าของราชนิกูลมันชั้นสูงแค่ไหน ''

 

                     '' เป็นไงเป็นกัน เข้ามา! ''

 

ไม่ต้องให้คำท้านั้นได้รอเก้อแต่อย่างใด เพียงไม่กี่วินาทีการโจมตีผ่านศาสตราอันหนักหน่วงและรวดเร็วยิ่งกว่าที่ผ่านๆมาก็ได้เริ่มขึ้นจากจีเนียส การต่อสู้ในระยะประชิดนั้นไซม่อนทำได้แค่กวัดแกว่งดาบเพื่อเบี่ยงหลบและตั้งรับมากกว่า เพราะอีกฝ่ายแทบไม่เปิดช่องให้เขาได้ตวัดดาบสวนคืนเลยแม้สักนิด เป็นดาบเดี่ยวที่รับมือดาบคู่ของเขาได้อย่างไร้ข้อกังขาใดๆ และเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เผลอหันเหความสนใจออกไปได้ ดาบจากมือซ้ายของไซม่อนก็กลับกระเด็นหลุดออกจากมือ เพราะการกระแทกด้วยดาบของจีเนียส ก่อนที่เขาจะตวัดดาบตรงมาใกล้ใบหน้าของเด็กหนุ่ม เจ้าตัวเบี่ยงหลบไปได้อย่างหวุดหวิดแต่ทว่า ปลายดาบนั่นทิ่มแทงเฉี่ยวไหล่ซ้ายของเขาจนเป็นแผลเหวอะ ขาขวาอันแข็งแรงพุ่งเข้าเตะหน้าท้องของเด็กหนุ่มเข้าให้เต็มรักเป็นการซ้ำเติม จนร่างของไซม่อนต้องร่วงลงไปวัดกับพื้นดินเข้าให้อีกรอบอย่างอนาถ 

 

ตู้มมม!!
    
  

                      '' อ้ากก!! ''

 

เสียงร่ำร้องโหยหวนที่ดังระงมไปทั่วนั้นมันช่างอดทนอดกลั้นได้ยากยิ่ง เพราะการกระแทกครั้งนี้และจากการฝืนร่างกายที่ผ่านมา ไซม่อนรู้ตัวเองดีว่าตอนนี้ ซี่โครงของเขาหักเข้าให้แล้ว ไม่อาจจะขยับร่างเพื่อลุกหนีให้พ้นหลุมนรกนี่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาได้แต่สบถอุบอยู่ในใจด้วยความโมโหและร้อนรน แสงของจันทราบนฟากฟ้าได้ส่องประกายอีกครั้งเพราะนี่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อมองเห็นมัน บางสิ่งที่ไม่เคยคิดอยากจะยอมรับมันเลยในชีวิตนี้ กลับพุ่งเข้ามาในความคิดของไซม่อน และดูเหมือนเขาจำเป็นต้องทำ ขณะที่จีเนียสก็มิได้คิดจะปรานีใดๆตามที่เคยบอก เขาอยากจะสั่งสอนเด็กอวดดีนั่นให้สำนึก เทพศาสตราของเขาปรากฎขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับการร่ายเวทย์บทใหม่ของจีเนียส ร่างสูงสง่าปักหลักลงบนพื้น ขณะที่วงเวทย์สีฟ้าใสเริ่มขยายออกกลายเป็นอาณาเขตอีกครั้ง กลิ่นไอพลังเวทย์ที่แรงกล้าพวยพุ่ง พร้อมกับคมดาบที่ถูกปักลงที่ใจกล้างของวงเวทย์นั้น เสียงร่ำร้องของสัตว์ในตำนานผู้เป็นจิตวิญญาณที่ถูกเชื้อเชิญมาโดยผู้ใช้เวทย์ที่ถูกเลือก ได้ปรากฎกายขึ้น ร่างของสัตว์มหัศจรรย์แห่งไครซิสต์ ที่เรียกกันว่า 'ฟินิกซ์น้ำแข็ง' ได้ออกมาพร้อมกับการเข้าประสานพลังด้วยการมอบปีกปักษาแห่งฟินิกซ์แก่เจ้าชายแห่งมอลเดเวียร์ 

 

                     '' จงสยายปีกแห่งความงดงามและเย็นเยือกของเจ้าเถิด The Maya Ice Phoenix....''

 

ปีกแห่งฟินิกซ์น้ำแข็งแผ่สยายอยู่บนหลังของเจ้าชายแห่งมอลเดเวียร์ ที่บัดนี้ดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสีขาวโพลนราวกับกำลังผสานพลังภายในชั่วอึดใจ คมดาบที่ใจกลางวงเวทย์นั้นไร้ซึ่งผู้ถือครอง เพราะในยามนี้มันสามารถถูกบังคับให้ขยับได้ตามใจผู้ใช้ด้วยเวทย์มนตร์ ปีกของฟินิกซ์เริ่มขยับเขยื้อนและพาจีเนียสโผนทะยายขึ้นไปในอากาศตามมาด้วยวงเวทย์สีน้ำเงินและสีฟ้าที่หมุนวนเป็นเกลียวตามร่างของผู้เป็นนายขึ้นไปด้วย การโจมตีของจีเนียสกำลังจะถูกปลดปล่อยออกไปอีกครั้ง และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายเพราะเขาไม่ได้หวังให้เด็กนั่นต้องตาย แค่จะให้หลาบจำก็เท่านั้น ขนนกแห่งปักษาฟินิกซ์กระจายออกมาบางส่วนหมุนวนรอบกาย จีเนียสได้ทำการควบคุมและปล่อยพลังออกไป และราวกับขนนกนั้นเป็นดาบน้ำแข็งนับร้อยนับพันเล่มที่ถูกส่งไป กระแสเวทย์สีน้ำเงินพวยพุ่งเป็นทางยาวตามใจกลางของขุมพลังมหาศาลนั่น ขณะที่ร่างของบุรุษซึ่งเคยนอนแน่นิ่งอยู่ภายในหลุม บัดนี้กลับโอนอ่อนไปตามสภาวะที่ตนสมควรจะต้องใช้ เมื่อร่างกายของแวมไพร์ผู้เป็นลูกครึ่งทั้งแวมไพร์และหมาป่าต้องกายากับแสงจันทร์ ถ้าแค่พวกเขาอนุญาต ร่างกายนั้นก็จะแปรเปลี่ยนไปได้

 

ใช่แล้ว...ตอนนี้ไซม่อนอยู่ในร่างของสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์ ที่มีใบหน้าเป็นครึ่งระหว่างแวมไพร์และหมาป่า ใบหน้ายังคงมีความเป็นเจ้าตัวแค่มีขนที่ดกหนาเพิ่มขึ้น เขี้ยวที่แหลมคมเกินกว่าปกติและดวงตาสีแดงโลหิตอันน่าเกรงขาม พร้อมกรงเล็บหมาป่าที่พร้อมพิฆาตศัตรู เขาคือ ไลเคน

  

                      '' ที่แท้ก็แค่พวกปลายแถว ชั้นต่ำและโสมม ไอ้ไลเคนโสโครก ''

 

ไซม่อนที่กลายเป็นร่างของไลเคนโดยสมบูรณ์แล้วนั้นมีการฟื้นสภาพร่างกายได้รวดเร็วกว่าแวมไพร์ธรรมดาทั่วไปหลายเท่า และเขาสามารถชันกายขึ้นมาพร้อมกับการรับแรงปะทะของเวทย์มนตร์นั้น ถึงหมาป่าโดยแท้จะไม่อาจใช้เวทย์มนตร์ได้ แต่ลูกครึ่งอย่างไซม่อนยังพอใช้ได้อยู่ และพลังกายที่เพิ่มขึ้นก็มาจากแสงจันทร์นั่นที่คอยเป็นพลังงานให้แก่เขาในค่ำคืนนี้ ไลเคนจะมีสัญชาตญาณดิบที่ต่อให้ร่างกายแทบจะสลายไปพวกเขาก็จะถูกระงับอารมณ์ความรู้สึกส่วนนั้นไปทันทีและจะสู้จนกว่าจะชนะโดยหลงลืมการมีชีวิต อารมณ์ ความรู้สึกที่เจ็บปวด ไปจนหมด

  

                        '' ฉันจะต้องเอาเลือดของแกออกมาให้ได้! ''

 

เทพแห่งศาสตราของไซม่อนเมื่อเห็นเจ้านายเข้าโหมดการเป็นไลเคน เขาก็พอที่จะเข้าใจสถานการณ์ได้ ร่างกำยำนั่นเข้าปกป้องผู้เป็นนายด้วยการกางอาณาเขตของเทพปกป้องเขาจากปีกปักษาน้ำแข็งของฟินิกซ์ที่พุ่งกรูเข้ามาแทบไม่หวาดไม่ไหว ทั้งสองเข้าใจกันเป็นอ่างดีว่าต้องทำอะไรต่อไป เมื่อการปะทะของปีกฟินิกซ์ลดลง ร่างของเด็กหนุ่มไลเคนก็อาศัยแสงจันทร์เป็นพลังงานประสานความเร็วที่ตนมีเพื่อเข้าไปปะทะกับจีเนียสในระยะประชิดให้ได้อีกครั้ง และคราวนี้ได้ผล เขารวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม แววตาสีโลหิตนั่นคอยจับจ้องหาช่องโหว่อยู่ตลอด มือทั้งสองข้างกางกรงเล็บแหลมคมเข้าปะทะกับดาบของจีเนียส และปีกปักษากำลังจะเล่นงานเข้าอีกแล้ว

  

                  '' คิดจะทำอะไรของแก ''

 

และนั่นเป็นสิ่งที่จีเนียสไม่ได้คาดคิด รูดอร์ฟที่ผละจากไม่อนมาและหาจังหวะที่เหมาะเจาะ เขาได้โอกาสในการใช้พลังของวงเวทย์แห่งนักรบเข้าปะทะกับปีกปักษาจากทางด้านหลังของจีเนียส เรียกความสนใจ แต่มีหรือที่บุรุษผู้เก่งกล้าจะยอม ปีกปักษาปรากฎวงเวทย์หมุนวนรองรับการป้องกันและปะทะ พร้อมกับที่เจ้าตัวก็ได้เรียกศาสตรามาไว้ในมือ ใช้มือซ้ายจัดการพุ่งดาบไปที่ร่างของเจ้าไลเคนนั่น และมือขวาที่ว่างอยู่ก็ร่ายเวทย์น้ำแข็งเข้าสะกัดเจ้าเทพศาสตราที่เข้ามาจุ้นจ้าน

 

                    '' จับปลาสองมือนี่มันไม่ดีเลยนะ...''

 

รอยยิ้มพรายปรากฎบนใบหน้าของไลเคนอย่างไซม่อนที่ดูจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว ไซม่อนไม่ได้เบี่ยงตัวหลบแต่ประการใด เขาอาศัยร่างกายที่เต็มไปด้วยขนดกหนาของหมาป่าตามร่างนั้นเข้ารับคมดาบอย่างจัง เลือดสีแดงคล้ำไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่ฉกรรจ์และน่ากลัวนั้น ก่อนที่ฝ่ามือข้างนึงจะจับคมดาบของจีเนียสที่ยังไม่ทันดึงออกเอาไว้และมือที่ว่างอยู่ก็ได้กระทำตามใจอยาก ฝ่ามือขวาซึ่งเต็มไปด้วยกรงเล็บขนาดใหญ่พุ่งเข้าที่ไหล่ข้างนึงในจุดที่จีเนียสไม่สามารถเอี้ยวหลบได้อย่างทันท่วงที พร้อมปาดมันด้วยคมเล็บแข็งแรงจน จีเนียสผู้ทระนงตนนั้นได้รับบาดแผลเข้าอย่างจัง หยาดโลหิตแห่งชนชั้นสูงไหลทะลักออกมาไม่แพ้ผู้ที่เขาได้ดูถูกว่าชั้นต่ำ ขณะที่รูดอร์ฟได้พุ่งเข้าใกล้และประสานพลังกับไซม่อนอีกครั้ง เปลวเพลิงจากวงเวทย์ล้อมรอบกายของไซม่อนและถูกบังคับให้เข้าโจมตีจีเนียส และคราวนี้ดูเหมือนนัยต์ตาสีน้ำเงินคู่สวยนั้นจะยิ่งดูอำมหิตอย่างเย็นเยือกจนจับความรู้สึกอื่นนอกเหนือจากนี้อีกไม่ได้เสียแล้ว เมื่อปีกปักษาของฟินิกซ์กลับมาแผ่สยายอีกครั้ง เวทย์แห่งธาตุน้ำแข็งเปิดสวิตซ์ทำงานด้วยกลิ่นไอพลังเวทย์ที่รุนแรงเกาะกุมร่างของไซม่อนและด้วยความโกรธที่ไม่คิดว่าตนจะถูกโจมตีได้ เวทย์น้ำแข็งก็สะท้อนร่างของไซม่อนให้กระเด็นออกไปอีกระลอก

 

แต่ทว่าคราวนี้ ร่างของเด็กหนุ่มมิได้ตกลงสู่พื้น แต่หากถูกรับตัวไว้โดยสัมผัสที่อ่อนนุ่มและแผ่วเบา ก่อนที่ร่างของใครอีกคนที่ปักหลักรอที่พื้นก่อนแล้ว จะเริ่มทำการร่ายเวทย์มนตร์ขึ้นเพื่อสกัดการตอบสู้ในครั้งนี้ให้หยุดลงเสียที่นี่ นัยต์ตาสีม่วงของหนุ่มน้อยนักปราญชน์แห่งมอริส มีประกายแห่งความมุ่งมั่นและไม่หวั่นเกรงที่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเพื่อนของเขา

  

                      '' อาณาเขตของนักปราญช์จงเปล่งประกายแก่ผู้มีปัญญาชนเช่นข้า The Armor Sage ''

 

ในชั่วพริบตา อาณาเขตป้องกันของผู้ใช้เวทย์อย่างชิเรก็ปรากฎขึ้นมา กลายเป็นเกราะป้องกัน อาณาเขตบาเรียที่แข็งแกร่งและเปล่งแสงประหลาดที่จ้าจนแสบตา แม้การโจมตีจะส่งไปถึง แต่เมื่อจีเนียสกลับลงมาก็พบว่าไม่มีวี่แววของไอ่ไลเคนอวดดีและเหล่าพรรคพวกที่มาช่วยเมื่อสักครู่นี้เสียแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนั่นจะมีพรรคพวกที่ใช้การได้ดีทีเดียว จีเนียสครุ่นคิด ขณะที่เริ่มสำรวจไปในบริเวณใกล้เคียง ก็พบว่าพวกนั้นได้ทำการเจาะข่ายมนตร์ในจุดที่อ่อนที่สุดไปเสียแล้ว และแน่นอนว่ามิใช่จุดเดิมที่พวกนั้นถูกเขาเจอตัว แต่เป็นจุดที่ไกลกว่านั้นไปอีกด้านและที่สำคัญคือ พวกนั้นขุดรูลึกลงไปทำลายรากของข่ายมนตร์ที่ใต้ดิน...

  

                    '' หึ ดันมีพวกเอสระดับวางแผนได้อยู่ด้วยงั้นรึ เอาเถอะ ถึงรอดจากฉันไปได้ พวกแกก็คงไม่ดีใจที่จะได้เจอกับสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้นักหรอก ''

 

 

 

 

-------------------------------------------------------------

  

         

 

 

                     '' นายนี่มันบ้าดีเดือดขนานแท้เลยนะไซม่อน ''

 

นัยต์ตาสีเขียวของเจ้าหญิงแห่งไอริณเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและโล่งอกที่ทั้งเธอและชิเรสามารถเข้าไปหยุดการต่อสู้ได้แม้เพียชั่วครู่ รวมถึงลากตัวไซม่อนที่เกือบจะถูกจีเนียสซึ่งเสียศูนย์เพราะรอยแผลที่เขาฝากไว้ออกมาได้อย่างทันท่วงที ไม่มีใครอยากจะคาดคิดเลยว่า ถ้าคนอย่างเจ้าชายจีเนียสโกรธ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ชิเรแบกร่างของไซม่อนที่คืนกลับมาเป็นแวมไพร์อีกครั้งด้วยความอ่อนแรงและเหนื่อยล้า หลังจากที่หนีกันลงมาทางใต้ดินซึ่งถูกเจาะข่ายมนตร์ไว้เรียบร้อยก็ดูเหมือนพวกเขาทั้งสามคนจะสามารถกลับเข้าเส้นทางหลักตามเป้าหมายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และของที่พวกเขาต้องการเป็นส่วนประกอบอย่างเลือดของผู้ใช้เวทย์น้ำแข็ง ด้วยความพยายามอย่างยากลำบากของไซม่อนก็ได้ทำให้รูดอร์ฟสามารถกอบโกยเก็บหยดเลือดของจีเนียสเอาไว้ได้ด้วยเช่นกัน

  

                    '' พักตรงนี้กันก่อนเถอะครับ เราต้องปฐมพยาบาลให้เขาก่อน ''

 

ชิเรวางร่างของไซม่อนลงอย่างระมัดระวัง เพราะอีกฝ่ายมีอาการบาดเจ็บหลายแห่ง ซี่โครงก็หักไปเยอะพอสมควร ในยามที่กลายร่างเป็นไลเคนเขาไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดพวกนี้เกิดขึ้นเลยแม้สักนิด เพราะร่างกายที่เปลี่ยนไปและได้รับพลังงานจากแสงจันทร์นั่น แต่เมื่อกลับคืนสู่ร่างนี้ดูเหมือนผลข้างเคียงกลับมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ถึงขั้นคิดว่า ถ้าไม่ได้สองคนนี้ช่วย เขาอาจจะตายไปจริงๆก็ได้ เพราะดันไปยั่วโทสะเจ้าชายคนนั้นเข้าให้อย่างจัง 

    

                 '' เสื้อผ้านายขาดหมดแล้ว ชิเรรีบเปลี่ยนให้หมอนี่เร็วเข้าสิ! ''

 

                 '' ครับๆ เดี๋ยวผมให้ลูอิซจัดการให้ ยังดีที่หน้ากากนี่คงทนถาวรนะครับเนี่ย ''

 

ชิเรพูดแอบติดตลกเล็กน้อยขณะที่ทำการเรียกลูอิซออกมา ส่วนคนทักเรื่องเสื้อผ้าอย่างสาวน้อยน่ารักนั้นรีบเบือนหน้าหนี เพราะมีชั่วแว่บนึงที่ตาของเธอดันไปเห็นสัดส่วนร่างกายของไซม่อนใต้ร่มผ้าที่ขาดวิ่น มันเป็นรอยซิกแพ็คส์สวยงามที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวดูแลรักษาร่างกายและฝึกฝนเป็นอย่างหนัก และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกไม่คุ้นชินและเกิดเสียอาการเมื่อเห็นมันอย่างนั้นเหรอ...จะว่าไปขององครักษ์ที่เคยดูแล เธอก็เคยเห็นผ่านตา เพราะเขาชอบถอดเสื้อเวลาที่อากาศร้อนเสมอ หรือต้องทำงานหนัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนี้ ใบหน้าของบรินส์เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ มันกลายเป็นภาพติดตาที่เธอคงลบไม่ออกไปซะแล้ว

  

                  ' มันใช่เวลาไหมเนี่ย ตั้งสติหน่อยสิบรินส์! '

 

 

 

 

 

 

 

 

-โปรดติดตามต่อไป-

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า