Your Wishlist

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์) (Rewrite) (14 เดอร์สริซายด์ (Rewrite))

Author: Sayyeon

" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "

จำนวนตอน : N/A

14 เดอร์สริซายด์ (Rewrite)

  • 15/08/2564

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์)

ภาค 1 ศึกปะทะอัศวินแห่งความมืด

 

 

 

 

 

 

 

             นัยต์ตาสีน้ำตาลคมเข้มของไอริสจ้องมองร่างของบุรุษผู้หลับใหลทั้งสองด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง คนแรกหนุ่มน้อยหน้าหล่อเจ้าชายคนสำคัญแห่งราลเดรูลน์ที่บัดนี้ยังคงนอนแน่นิ่งด้วยอากาศไข้ขึ้นสูง ตัวร้อนจี๋ราวกับไฟมาร่วมหลายชั่วโมงโดยที่ไม่มีใครรู้สาเหตุ ส่วนอีกหนึ่งบุรุษที่นอนเตียงข้างๆนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นและยังคงดูไม่น่าไว้วางใจเสียเท่าไหร่ อันที่จริงการเปลี่ยนร่างกายจากหญิงกลายเป็นชายนี่มันก็แปลกพอแล้ว จนพวกเขาทุกคนไม่สามารถยืนยันตัวตนของคนคนนี้ได้ ดังนั้นมติเอกฉันท์ก็คือ แอบเอาตัวมาพักฟื้นรอให้ตื่นแล้วค่อยทำการล้วงความลับน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

                 " นี่ไอริส พวกเราไม่พาลอว์เรนซ์ไปห้องพยาบาลทำการรักษาจะดีเหรอ..?"

 

อลิสเอ่ยถามขึ้นขัดความเงียบ ตอนนี้พวกเขามานั่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องพักของลอว์เรนซ์กับชิเร พ่อหนุ่มนักปราชญ์ที่กำลังกุลีกุจอค้นหาข้อมูลจากหนังสือเล่มหนาปึ้กเพื่อหวังว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ ทั้งเรื่องอาการป่วยกระทันหันของเพื่อนและรวมไปถึงตัวตนที่แท้จริงของบุรุษปริศนาหรือจะเป็นสตรีก็ยังไม่แน่ นัยต์ตาสีม่วงคู่นั้นแสดงความวิตกเห็นชัด เพราะลอว์เรนซ์เป็นทั้งรูมเมทและคู่หูที่เขานับได้ว่าสนิทกันพอสมควรแล้ว

 

                  "ฉันก็อยากทำอย่างนั้นอยู่หรอก แต่อาการของลอว์เรนซ์มันแปลกเกินไปคงจะไม่มีใครช่วยได้ เพราะฉันได้กลิ่น..กลิ่นอายแห่งความมืดจากตัวของเขา นี่แหละคือสาเหตุที่พาไปที่ห้องพยาบาลไม่ได้ "

 

                  '' พลังมืดไม่ใช่สิ่งที่ทางโรงเรียนตรวจเจอแล้วจะเป็นเรื่องดี นอกจากลอว์เรนซ์แล้วมีหวังพวกเราได้ซวยกันยกทีมแน่ ''

 

น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเครียดจัดจากตัวคนพูด ซึ่งคนอื่นๆเองก็ดูจะมีความรู้สึกไม่ต่างกัน ร่างสูงของนักรบตะวันออก ไซม่อน บัสเดวิล ก้าวเข้ามานั่งตรงขอบเตียงคนป่วยก่อนจะถือวิสาสะจับมือของลอว์เรนซ์ขึ้นมาตรวจดู กลับพบสิ่งที่น่าตกใจหนักขึ้นกว่าเดิม เมื่อบริเวณฝ่ามือมันได้แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่คล้ายๆเลือดคล้ำๆเคลื่อนตัวครอบคลุมจนน่าใจหาย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ...มันกำลังเคลื่อนไหวพร้อมที่จะลุกลามไปสู่ส่วนอื่นๆของร่างกายด้วยเสียแล้ว

 

                 " เวรเอ้ยย! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!?"

 

ไซม่อนปั้นหน้าเครียดจนแทบบ้า คนอื่นๆที่เข้ามาดูต่างก็ยิ่งพากันเครียดตาม อาการนี่มันไม่ใช่แค่พิษไข้ธรรมดา แต่มันเลวร้ายกว่าที่พวกเขาคิดไว้อีกหลายเท่าตัว ร่างกายของลอว์เรนซ์เริ่มสั่นเทาแม้นัยต์ตาทั้งสองจะยังคงปิดสนิท ใบหน้าและสีผิวพลันขาวซีดราวกับแวมไพร์ที่ไร้ชีวิต ทั่วทั้งร่างยังคงร้อนเป็นไฟ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ เล่นเอาหัวใจของผู้เป็นเพื่อนหล่นวูบแทบจะหมดหวัง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป สิ่งที่พอทำได้ในตอนนี้คือการลดไข้ด้วยการที่อลิสน้ำผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆมาเช็ดตามร่างกายและของลอว์เรนซ์เพื่อบรรเทาความร้อนจากร่างกายเพียงเท่านั้น

 

                " ...พวกคุณช่วยถอยออกไปหน่อยครับ"

 

น้ำเสียงสงบบอกถึงความเยือกเย็นและสุภาพดังมาจากชิเร ราฟาเอลลิส นัยต์ตาสีม่วงฉายแววกังวลแต่ก็ยังมีสติ เจ้าตัวหยุดนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรกับคนอื่นๆที่พากันถามคำถาม เด็กหนุ่มพลันหลับตาลง ปากเริ่มพึมพำบริกรรมคาถาแปลกๆออกมา ไม่คิดสนใจเสียงอื่นๆที่พร้อมจะขัดจังหวะ หนังสือเวทย์คู่ใจนาม 'ลอสคาดิเอลลิส' ปรากฎขึ้นบนมือฉับพลัน มือข้างขวาเปิดกางหนังสือออกมาพร้อมกับปากกาขนนกที่มีสีขาว ปากเริ่มร่ายคาถาขึ้นอีกครั้ง...

 

               "...ข้าแต่พลังแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่และมีพลังอำนาจอันเหนือความเป็นความตาย โปรดประทานพลังและมอบชีวิตให้แก่ผู้ที่กำลังจะถึงจุดจบ...ให้ความมืดจงกลืนกินแสงสว่าง ยามวิกาลจงหวนกลับและสดับฟังเสียงแห่งข้า...โปรดจงช่วยรักษาเยียวยาต่อผู้ที่มีพลังเฉกเช่นเดียวกับตัวท่าน..."

 

ทุกถ้อยคำยืนหยัดชัดเจน ปากกาขนนกสีขาวตวัดเขียนจารึกตัวอักขระแวมไพร์ลงหน้ากระดาษก่อนจะหายวับไปราวกับถูกดูดกลืน แสงสีดำวาบขึ้นมาจากหน้าหนังสือที่ถูกเขียน ควันสีดำฟุ้งกระจายตัวไปรอบห้อง...ไอมนต์จากฝีมือของเด็กหนุ่มนักปราชญ์เจ้าของคาถา ที่ได้สร้างวงเวทย์สีดำขึ้นมาท่ามกลางควันสีดำพวยพุ่ง มันปรากฎขึ้นอยู่เหนือร่างของเจ้าชายผู้ไร้สติ

 

                   "เฮ้ยย! อะไรเนี่ย! ชิเร..นายกำลังจะทำอะไรกันแน่!?"

 

เธียร์กับไซม่อนร้องถามออกไปพร้อมกันอย่างสุดจะทน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย นัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มของไอริสเริ่มวาวโรจน์รีบพุ่งตัวเข้าไปหมายจะจับเอาตัวเจ้าคนที่เอาแต่เงียบออกมาถามให้มันรู้เรื่องเสียเดี๋ยวนั้น แต่ทว่าชิเรกลับไวกว่ารีบเบี่ยงตัวหลบเจ้าหญิงคนงาม และในชั่วพริบตาที่ไม่ใครคาดคิด มีดสั้นวาววับถูกชักออกมา ชิเรจับมันกรีดแขนตัวเองเรียกเลือดสดๆจนกระทั่งมันหยดลงไปในเวทย์สีดำเจ้าปัญหานั่นท่ามกลางความตกอกตกใจของทุกคน ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสนิทลงอีกครั้งราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ควันสีดำเมื่อครู่หายไปแล้ว ร่างของลอว์เรนซ์เริ่มมีสีหน้าดูดีขึ้นมาผิดถนัด สิ่งที่เป็นเหมือนเลือดคล้ำๆซึ่งกระจายตัวไปจนเกือบจะถึงบริเวณต้นแขนหยุดลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ชีพจรกลับมาเต้นเป็นปกติเมื่อลองสัมผัส

 

                " นายรักษาลอว์เรนซ์ได้เหรอชิเร? แล้วทำไมไม่.."

 

อลิสยังถามไม่ทันจบประโยคดีก็ต้องหยุดกึก เมื่อคนถูกถามกำลังจะล้มตึงลงไปวัดพื้น ใบหน้าขาวจัดซีดเผือดลงและมีท่าทีอ่อนแรง ดีที่อิวานเข้าไปรับตัวไว้ทันพลางพยุงเขาให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรงกลางห้อง

 

                " ชิเร..นายทำไมต้องฝืนตัวเองขนาดนี้!?"

 

เสียงต่อว่าเปิดประเด็นมาจากเจ้าหญิงคนสวยที่ทำเอาผู้ถูกกล่าวหาว่าฝืนได้แต่ยิ้มรับเฝื่อนๆเพราะความเหนื่อยอ่อน ต่างจากอีก 4 ชีวิตที่เหลือซึ่งได้แต่ยืนงุนงงสับสนในหัวมีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด เพราะพวกเขากำลังไม่เข้าใจว่าทำไมบัดนี้ใบหน้าของไอริสมีแต่ความโกรธขึงขึ้นมาผิดถนัด ดวงตาทั้งสองมีแววแห่งความคุกรุ่นโมโหที่พร้อมจะเผาผลาญคนตรงหน้าได้อย่างไม่ใยดี เล่นเอาชิเรที่ถูกต่อว่าถึงกับก้มหน้าลงด้วยความหม่นหมอง ไม่ใช่เพราะเขาหวาดกลัวที่ถูกเจ้าหญิงแห่งซานเดรียผู้นี้ต่อว่าเอา แต่เป็นเพราะที่เธอพูดออกมามันคือความจริงที่ต้องยอมรับ

 

               " เอาเป็นว่าเธอรีบทำแผลให้ชิเรดีกว่านะอลิส "

 

เจ้าหญิงคนงามพูดไพล่ไปอีกเรื่องโยนหน้าที่รักษาบาดแผลซึ่งเป็นงานถนัดให้กับอลิสไป เพราะว่าที่แขนของเขาตอนนี้เลือดยังไม่หยุดไหล นึกอยากจะโมโหใส่ลงไป แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะกระทำในยามนี้ เด็กสาวจึงพยายามตั้งสติและควบคุมอารมณ์ให้ดีขึ้นก่อน

 

               " ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้น? นายเล่ามาสิชิเร"

 

อลิสพูดเอ่ยถามพลางจัดการเรียกเทพแห่งศาสตราของเธอนามว่า 'คลอเดียร์' ออกมาทำการรักษาด้วยพลังเวทย์ ดวงหน้าของผู้ถูกซักความยังคงสงบก่อนจะตัดสินใจพูดคลายข้อสงสัยให้กระจ่าง เพราะตอนนี้ทุกคนในกลุ่มต่างพร้อมใจกันมายืนล้อมเป็นวงเพื่อกดดันเขา

 

                 " ลอว์เรนซ์ถูกเวทย์มนต์ด้านมืดเล่นงานเอาครับ ซึ่งผมเองก็ไม่มั่นใจนักว่าเป็นเวทย์มนต์ดำชนิดไหน การที่เราจะสามารถรักษาได้นั้นจำเป็นอย่างมากที่จะต้องรู้ชนิดเพื่อจะได้รู้วิธีการรักษาที่ถูกต้อง...แต่บางทีถ้ายังทำการรักษาเดี๋ยวนั้นไม่ได้ก็ต้องใช้พลังสกัดการแพร่กระจายของมัน เช่นกรณีนี้ที่ผมทำครับ.."

 

                 " ชิเร นายใช้เวทย์ซึ่งเป็นเวทย์ต้องห้ามในการรักษาลอว์เรนซ์มันจะต้องส่งผลกระทบถึงตัวนาย ขนาดฉันซึ่งมาจากตระกูลอัลบาลอร์ฟยังไม่กล้าเสี่ยงยิ่งถ้ามันผิดพลาดขึ้นมาทั้งนายและลอว์เรนซ์จะเป็นยังไง? อย่าได้ทำแบบนี้อีก นายก็รู้ใช่ไหมว่ามนตร์ดำมันอันตรายต่อผู้ที่ไม่เคยใช้หรือเป็นร่างสถิตย์มาแต่กำเนิด "

 

ชิเรพยักหน้ารับคำพูดที่กึ่งต่อว่าและกึ่งหวังดีจากเจ้าหญิงแห่งซานเดรีย แต่ในเมื่อเขาไม่มีทางเลือกและเวลามากพอให้คิด นี่อาจจะเป็นหนทางเดียวในตอนนี้ที่อาจจะพอช่วยยืดชีวิตเพื่อนเขาคนนี้ได้ สาเหตุที่เธอโกรธเขาจนถึงกับจะไปลากตัวออกมาตอนนั้นก็คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะในเรื่องของพลังมืดแล้ว เธอคนนี้อาจจะรู้จักมันดีมากกว่าทุกคนที่นี่ก็เป็นได้

 

                   " ผมแค่อยากช่วยลอว์เรนซ์เท่านั้นครับ เพราะเวทย์มนต์จากพลังมืดก็ต้องถูกระงับด้วยพลังแบบเดียวกัน ขอโทษจริงๆครับ ถ้าหากบอกออกไปแต่แรกผมคิดว่าทุกคนก็คงไม่ยอมให้ทำแน่ "

 

                    " ต่อให้ใช้เวทย์รักษาแบบปกติก็คงจะไร้ผลงั้นสินะ "

 

ไซม่อนช่วยต่อความให้ แอบนึกชื่นชมที่เจ้าหมอนี่มันยอมลงทุนเสี่ยงถึงขั้นใช้คาถาจากเวทย์ต้องห้าม แถมยังสามารถทำได้สำเร็จไม่ขาดตกบกพร่องแต่ประการใดทั้งที่พึ่งพาข้อมูลอย่างปัจจุบันทันด่วนและเคยลองทำเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นว่าคลอเดียร์ช่วยทำการปฐมพยาบาลให้เรียบร้อยแล้ว ชิเรก็เอ่ยขอบคุณทั้งคลอเดียร์และอลิสผู้เป็นเจ้าของอย่างสุภาพตามนิสัย พลางเรียก 'ลูอิซ' ออกมาชงชาสูตรเดิมให้ทุกคนได้ดื่มดับเครียด

 

                "แล้วแบบนี้พวกเราจะทำยังไงดีล่ะ? หากยังไม่มีการรักษาที่ถูกวิธี ลอว์เรนซ์ต้องแย่เเน่ "

 

อิวานยกถ้วยชาหอมกรุ่นร้อนๆขึ้นจิบ เขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า 'ตาย' หรือคำอะไรก็ตามแต่ที่มันบั่นทอนกำลังใจ ถึงแม้ในส่วนลึกจะรับรู้อยู่แล้วก็ตามว่าเรื่องนี้มันไปไกลได้มากกว่านั้นแล้ว

 

               " นั่นสิ..แล้วก็นะที่สำคัญไม่มีวิธีทำให้เจ้าคนประหลาดนั่นมันฟื้นขึ้นมาเร็วๆบ้างรึไง ไม่รู้ว่านอนหรือตาย บางทีการมาของเจ้านี่อาจจะเกี่ยวอะไรกับอาการที่ลอว์เรนซ์เป็นอยู่ก็ได้แท้ๆ "

 

ไซม่อนสบถออกมาด้วยความอารมณ์เสีย พลางปราดมองไปยังร่างปริศนาบนเตียงที่แม้ตอนนี้จะเป็นเด็กหนุ่ม แต่ครั้งแรกพวกเขาทุกคนเห็นชัดกันเต็มสองตาว่ามันเคยเป็นผู้หญิง เหอะ...ดูยังไงก็ประหลาด

 

                " ต้องรอให้เจ้าชายมาจุมพิตเรอะไงถึงจะตื่นจากนิทรา ?"

 

คำพูดประชดประชันที่ไม่ได้คิดอะไรดังจากอิวาน เอลเบิร์ต คำว่า 'จุมพิต' กลับกระแทกใจเจ้าหญิงไอริสให้เริ่มหน้าร้อนผ่าวเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ความบ้าของตัวเองในวันนั้น มันช่างสิ้นคิดสิ้นดี...แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามามัวคิดถึงเรื่องนั้น แค่ในตอนนี้มันก็ร้อนรนจนน่าหงุดหงิดเต็มประดาแล้ว

 

              " มันอะไรเหรอ...เจ้าหญิงนิทราที่ว่านั่นน่ะ?"

 

คำถามซื่อๆดังขึ้นมาจากปากของใครสักคน เป็นน้ำเสียงที่ไม่รู้สึกคุ้นหูเลยแม้แต่น้อยชวนให้พวกเขาพากันตกใจแกมสงสัย นัยต์ตาสีน้ำตาลสองคู่ของสองสาวภายในห้องเบือนมาสบกันอัตโนมัติ ก็ถ้าไม่ใช่ทั้งคู่แล้วเสียงผู้หญิงเมื่อกี๊มันคือ

 

                 " ธะ..เธอ!?"

 

                " นี่เธอเป็นใครอีกล่ะเนี่ย!"

 

ทุกคำถามถูกยิงกระหน่ำไปยังเป้าหมาย ร่างบางของเด็กสาวผมบรอนด์สั้นแต่ก็ดูน่ารัก นัยต์ตากลมโตสีเขียวอ่อนฉายแววฉงนงุนงง ริมฝีปากชมพูอวบอิ่ม เธอคนนี้คือเด็กสาวคนเดียวกับตอนที่พวกเขาพบเจอที่ป่านั่น และก็เป็นคนเดียวกับร่างผู้ชายที่นอนหลัลไม่ได้สติไปพร้อมๆกับลอว์เรนซ์ด้วย...นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ? เมื่อสัมผัสได้ถึงนัยต์ตาที่แฝงเร้นความสงสัยถูกส่งมาไม่หยุด นัยต์ตาสีเขียวอ่อนของเด็กสาวปริศนากลับเริ่มวิบวับราวกับว่าพอจะเข้าใจสถานการณ์ ปัญหาที่เหลือก็คือ คนพวกนี้เป็นมิตรหรือศัตรู นั่นคือสิ่งที่เธอพยายามครุ่นคิดอยู่ในหัว

 

                    " พวกเธอเป็นใคร? แล้วที่นี่คือที่ไหน?"

 

                    " พวกเราต่างหากที่ต้องถามเธอน่ะยัยประหลาด เธอเป็นใคร และมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่กันแน่ ตื่นขึ้นมาสักทีก็ดีเหมือนกัน เพราะมีเรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาวเลยล่ะ "

 

ร่างของทายาทตระกูลนักรบเดินตรงมาหยุดยืนใกล้ๆกับเด็กสาว นัยต์ตาคู่นั้นไม่มีแววของความเกรงกลัวแต่อย่างใดนัยต์ตาสีส้มของไซม่อนแทบจะมองจนทะลุทะลวงตัวเธอได้อยู่แล้ว

 

                  " ผู้ดูแลของฉันเขาบอกให้มาที่นี่ เพื่อตามหาหนึ่งในว่าที่รัชทายาทแห่งไครซิสต์ เจ้าชายลอว์เรนซ์ เซอแลนเซียร์ เวสเบิร์ก "

 

                   "อะไรนะ แล้วทำไมเธอถึงต้องการตัวเขาด้วยล่ะ?"

 

ไอริสเป็นฝ่ายเข้าซักถามตรงๆ แต่คนถูกถามกลับทำเป็นตีหน้าซื่อแล้วทำตัวไหวไหล่ราวกับว่าไม่สนโลก นัยต์ตาสีเขียวคู่นั้นเบือนไปทางอื่นในทันที

 

                   " ไม่เกี่ยวกับเธอ "

 

คำตอบสั้นง่ายแต่ได้ใจความที่เรียกเอาสติของเจ้าหญิงคนงามหลุดการควบคุม มีดสั้นซึ่งถูกซ่อนเอาไว้ถูกดึงออกมาจ่อเข้ากับคอหอยของเด็กสาวปริศนาในชั่วอึดใจ นัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มเริ่มวาวโรจน์เมื่อปะทะเข้ากับนัยต์ตาสีเขียวคู่นั้นเข้า ก่อนที่ไอริสจะเป็นฝ่ายแสยะยิ้มท้าทายออกมาเพราะกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ

 

                    " เธอไม่มีสิทธิ์เลือก..และจะไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น "

 

                    " สารภาพออกมาดีกว่า ถ้าพวกฉันจะจับเธอส่งทางการก็คงทำไปแล้ว แต่นี่อุตส่าห์ช่วยไว้ หวังว่าเธอคงฉลาดพอนะว่าจะเลือกทางไหน "

 

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่หาได้ยากปรากฎบนดวงหน้าหล่อเหลาของเธียร์ เจ้าชายแห่งแซคคาริเบียนที่เงียบมาได้พักใหญ่แล้ว เขาเดินเข้ามากดดันเธอคงบคู่กับไอริส แววตาคู่นั้นบ่งบอกว่าเขาเอาจริง...จนเด็กสาวไม่กล้าที่จะสวน ปากที่ไม่ระวังมันจะเอาภัยกลับมาทำร้ายตัว.. นัยต์ตาสีเขียวเริ่มหรี่ลงอย่างใช้ความคิด น้ำลายเฝื่อนคอไปหมด และสุดท้ายก็ต้องทอดถอนหายใจยกมือยอมแพ้อย่างว่าง่าย

 

                   " ...เฮ้อ! ฉันยอมแล้วก็ได้...เพราะงั้นช่วยเอามีดลงก่อนได้ไหมล่ะ "

 

                   " งั้นก็ได้...แต่ถ้าเธอคิดตุกติกล่ะก็ ฉันจะเปลี่ยนเอาดาบมาพาดคอเธอแทน..."

 

มีดสั้นถูกเก็บกลับเข้าที่แต่ก็ยังมิวายเรียกดาบยาวคู่ใจมาไว้ข้างกาย เล่นเอาคนจะถูกหาว่าตุกติกถึงกลับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นอีกครั้ง เพราะอีกฝ่ายนั้นแสดงความมาดนางพญาที่ดูน่ากลัวออกมาด้วยความระแวดระวังและไม่ไว้ใจเธอ ผู้หญิงอะไรโหดร้ายชะมัด...ทั้งที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันแต่ดูยัยนี่จะไม่น่ารักอย่างที่คิด นัยต์ตาสีเขียวเบือนไปมองหน้าอลิสแล้วก็เกิดความคิดเปรียบเทียบขึ้นมาในใจ ที่ถึงแม้จะพบเจอกันเป็นครั้งแรกว่า คนนี้ยังดูสุภาพน่ารักกว่าอีก...

 

                     " ร่วมทางกันแล้ว ก็มาจับเข่านั่งคุยกันดีกว่านะครับ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ขอแค่คุณตอบคำถามเราตามความเป็นจริงก็พอครับ "

 

ถ้วยชาถ้วยใหม่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นถูกส่งมาให้เด็กสาวปริศนาคนนั้นด้วยความเต็มใจและเป็นมิตร ทำให้เธอพอจะคลายกังวลไปได้หน่อยนึง แต่ก็ยังพะวงไอ้ดาบข้างกายเเม่เสือโหดที่นั่งติดกันอยู่ดี เธอจึงพยายามประคับประคองร่างกายให้นั่งได้อย่างสบายอีกสักนิดแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ ซึ่งมันให้เกิดความรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง

 

                    " เธอเป็นใครกันแน่ แล้วมาจากที่ไหน ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนั้น?"

 

ไซม่อนเริ่มถามออกมาเป็นคนเเรก เด็กสาวจิบชาร้อนไปนิดนึงก่อนจะอธิบายขยายความ แม้แววตาคู่นั้นจะยังมีความลังเลว่าเธอควรจะบอกความจริงแก่พวกเขาไปดีหรือไม่ แต่ทว่าหัวใจเด็กสาวกลับรู้สึกสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มสาวกลุ่มนี้ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเธอจริงๆ มิหนำซ้ำหากโกหกออกไป พวกเขาก็คงจะเซ้นต์ดีพอที่จะจับสังเกตได้ เนื่องจากเธอเล็งเห็นว่าทุกคนในที่นี้นั้นไม่ธรรมดา จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบิดเบือนความจริงให้เสียเวลาเปล่า

 

                 " พูดไปก็คงไม่เชื่อแต่ขอบอกว่าสิ่งที่ฉันคนนี้พูดคือความจริง ชื่อของฉันคือ 'บรินส์ แบล็กเกอร์ บุตรสาวของกษัตริย์แห่งไอริณ..."

 

คำตอบได้รับเสียงตอบรับเป็นอาการตกใจขั้นหนักมากชนิดที่ร้องหาออกมาพร้อมกันก็ยังไม่เท่า...แต่ก็กลับไม่มีใครคิดว่ามันคือเรื่องโกหก เพราะอะไรน่ะหรือ แววตาคู่นั้นไม่ส่อถึงความล้อเล่นหรือน่าสงสัยแต่อย่างใด และสิ่งที่เธอพูดออกมา กลับยิ่งทำให้ทุกคนเริ่มเป็นกังวลมากกว่าเดิม เพราะนี่มันคือเรื่องที่ใหญ่กว่าที่คาดการณ์ไว้เสียแล้ว แต่มีเพียงชิเรเท่านั้นที่ดูจะสงบเสงี่ยมกว่าใครเพื่อน นัยต์ตาสีม่วงของเขาฉายชัดถึงความฉลาดและเป็นผู้รู้สไตล์นักปราญช์ ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่อะไร เพราะเขาได้ครุ่นคิดไว้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแค่ไม่มั่นใจว่าข้อสันนิษฐานนั้นจะถูกต้องหรือไม่มากกว่า เขาจึงไม่อยากด่วนสรุปให้เพื่อนๆฟังกัน

 

                    " งั้นแปลว่าเธอคือ..เจ้าหญิงแห่งไอริณ ประเทศที่สาบสูญงั้นรึ!?"

 

มือเล็กเรียวงามถูกยื่นมาตะครุบปากเจ้านักรบตะวันออกซึ่งเป็นคนปากพล่อยที่บัดนี้ยอมเงียบเสียงลดโวลลุ่มลงแต่โดยดี เล่นเอาเจ้าหญิงผู้ถูกพาดพิงถึงกับต้องถอนหายใจอีกหลายเฮือก...

 

                    " แต่ประเทศไอริณนั่นได้กลายเป็นประเทศที่สาบสูญไปแล้วเพราะกษัตริย์และผู้คนต่างก็ไม่มีใครรอดชีวิตนี่ครับ? "

 

ชิเรเกริ่นถามด้วยความพินิจเพื่อลองใจในคำตอบของเธอ แต่บรินส์ก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ นัยต์ตาเริ่มมีแววความเศร้าลึกๆปรากฎออกมาให้เห็น มือทั้งสองข้างวางถ้วยชาลงแล้วประสานกันไว้แน่น

 

                    " มันก็ใช่...เพราะมีแค่ฉันคนเดียวที่รอดชีวิต "

 

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ เพราะต่างพากันตั้งใจฟังเธอคนนี้เป็นอย่างมาก ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างทั้งสับสน งุนงง ครุ่นคิด แต่เด็กสาวก็ยังคงเปิดปากเล่าถึงอดีตี่ไม่มีใครเคยรับรู้ของเธอต่อไป นัยต์ตาสีเขียวคู่นั้นราวกับกำลังจะมีน้ำตาไหลนองออกมาเพื่อตอบสนองต่อความรู้สึกในใจ

 

                    " เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่อัศวินทั้ง 6 ได้ทรยศ พวกเขาได้ใช้ศาสตราทั้ง 6 ของตนเองที่มีพลังอำนาจเหลือคณานั่นฆ่ากษัตริย์...พ่อของฉันในคืนวันครบรอบอายุ 10 ขวบ แต่องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ได้พาฉันหนีตายรอดชีวิตมาได้...พร้อมกับชิงศาตราอีก 1 จากหมาป่าติดตัวกลับมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เราทั้งสองหลบซ่อนตัวและหนีการตามล่ามาตลอดหลายปี ทั้งเมืองและประเทศของฉันก็กลับล่มสลาย และผลสุดท้ายองครักษ์ของฉันก็ต้องจบชีวิตลงไป ดังนั้นก่อนตายเขาจึงได้ผนึกศาสตราชิ้นนั้นเข้ากับร่างกายของฉัน..."

 

                    "รึว่าที่เธอเดี๋ยวเป็นผู้หญิงเดี๋ยวก็เป็นชาย? นั่นก็คือ..."

 

                   ''มันเป็นผลพวงจากศาตราชิ้นนั้นสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้ปั่นป่วนต่อตัวบุคคลผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงอย่างฉัน ทำให้ฉันกลายเป็นคนที่มี 7 คนอยู่ในร่างเดียว บางวันก็กลายเป็นชาย บางวันก็เป็นผู้หญิง แต่นี่คือร่างจริงๆของฉันเอง"

 

ทฤษฎีประหลาดของร่างคนพูดถูกไขกระจ่างในที่สุด ทำเอาทุกคนถึงบางอ้อด้วยความโล่งใจ เพราะอย่างน้อยๆก็คงไม่มีอะไรประหลาดไปมากกว่านี้อีกแล้ว

 

           " แล้วศาสตราชิ้นนั้นมันคืออะไรงั้นเหรอ?"

 

อลิสเอ่ยถามสุภาพ นัยต์ตาสีเขียวอ่อนมองมายังใบหน้าน่ารักของเด็กสาวที่เธอนึกชื่นชม ก่อนตอบ

 

                "มันก็คือหน้ากาก เป็นหน้ากากที่สามารถเปลี่ยนร่างของผู้ใช้ได้ตามใจปรารถนา โฉมหน้าที่จะบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ และการปลอมแปลงเพื่อหยิบยกพลังของร่างที่มีมาใช้ได้...ถือว่าทรงอานุภาพมากทีเดียว "

 

                " เพราะงี้สินะถึงมีคนตามล่าตัวเธอ พวกหมาป่าต้องอยากได้มัน ไม่สิผู้บงการที่แท้ของพวกมันต่างหาก "

 

                " ถ้าได้ศาสตราทั้ง 6 ไปล่ะก็มันจะสามารถสร้างเวทย์พิธีกรรมปลุกชีพเจ้าของเดิมของมันให้หวนคืนกลับมาได้ เหล่าวิญญาณของผู้ทรยศทั้ง 6 จะคืนกลับมา องครักษ์ของฉันได้บอกเอาไว้ก่อนตายน่ะ "

 

                 " แบบนี้ต้องแย่แน่ มิน่าล่ะพวกหมาป่ามันถึงได้บุกเข้ามาถึงที่นี่ บางทีสิ่งที่พวกนั้นต้องการก็คงจะเป็นตามที่บรินส์ว่า...นั่นแปลว่านอกจากศาสตราในร่างของเธอ ที่โรงเรียนนี้ต้องซ่อนความลับเรื่องศาสตราชิ้นอื่นเอาไว้แน่ๆ "

 

เธียร์เอ่ยเสริมขึ้นมา พลันนึกไปถึงเหตุการณ์ในมิติของดอกไม้สีแดง วิญญาณส่วนนึงของพวกเขาถูกช่วงชิงไป มิหนำซ้ำตอนนี้เป้าหมายที่บุคคลปริศนานั่นต้องการตามที่ได้ประกาศท้าชนเอาไว้ นอกจากศาสตรานั่นแล้ว เธอคนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในเงื่อนไขที่มันบอกเอาไว้ด้วย นั่นยิ่งส่งผลให้เธียร์รู้สึกหนักใจมากขึ้นไปอีก

 

                   " แล้วทำไมเธอถึงยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อมาหาลอว์เรนซ์ขนาดนี้ล่ะ กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะ แถมที่สำคัญยังกล้าฝ่าข่ายมนตร์ของเซนต์คาดิลอร์ฟเข้ามาอีก เธอจะกลายเป็นนักโทษสำหรับที่นี่แน่ๆถ้าหากถูกคนอื่นจับได้ "

 

นัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มของไอริสเริ่มกลับมาเค้นถามประเด็นร้อนใหม่ที่ทุกคนเกือบจะลืมไปซะสนิท นัยต์ตาสีเขียวสบมองกลับก่อนจะเอ่ยคำตอบที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้ยิน

 

                 " เพราะเขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉัน ก่อนที่ไอริณจะล่มสลายเมื่อไม่กี่ปีก่อน ลอว์เรนซ์ก็เคยถูกพามาที่ประเทศฉันหลายต่อหลายครั้งด้วย พวกเราเคยทำพิธีกรรมในสมัยเด็กร่วมกัน เด็กที่ผ่านพิธีกรรมชนิดนี้จะมีจิตใจที่สื่อสารกันได้ผ่านโทรจิตหรือห้วงนิมิตรในความฝัน ฉันจึงคิดว่าบางที เขาอาจจะช่วยฉันได้ "

 

                 " แปลว่าทั้งพ่อของเธอและพ่อของลอว์เรนซ์ก็คงสนิทกันน่าดูเลยสิ "

 

                 '' ทำนองนั้นแหละ จริงๆก็อยากจะไปขอความช่วยเหลือที่ราลเดรูลน์เหมือนกัน แต่ว่า ก่อนหน้านั้นเหมือนจะมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นที่นั่นซึ่งฉันก็ไม่รู้เลยว่าคืออะไร ฉันจึงอาศัยอยู่ในแถบชนบทตามเมืองต่างๆและพักอาศัยอยู่นานที่สุดคือ เบนดิเฮมล์ ที่นั่นมีแวมเพียร์ซึ่งเป็นนักทำนายเลี่ยงชื่ออยู่ด้วย เขาได้ทำนายบางอย่างที่แปลกๆออกมา ''

 

                 '' ทำนายอะไรล่ะ บอกเราได้ไหม''

 

                 '' ได้สิ เขาทำนายว่า ชะตาของฉันกำลังจะเปลี่ยนแปลงถ้าได้พบกับเพื่อนสมัยเด็กอีกครั้ง พลังบางอย่างในร่างของฉันคือจุดเชื่อมต่อ ผู้ที่หวังให้อำนาจเป็นตัวนำทางคือเบื้องหลังของความพิโรจน์ ตัวฉันมีในสิ่งที่เขาคนนั้นปรารถนามากที่สุด จงหยุดยั้งและอย่าไว้ใจใคร...''

 

                  '' พวกนักทำนายนี่เหมือนกันหมดเลยสินะให้ตาย พูดกันตรงๆไม่ได้ ไปรับฟังคำทำนายเพื่อชี้แนะแนวทางหรือชวนมาทายปริศนาคำใบ้กันแน่เนี่ย ''

 

ไซม่อนบ่นอุบอิบขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ซึ่งบรินส์เองก็คงจะคิดเหมือนๆกัน สีหน้าของเด็กสาวดูสบายใจขึ้นราวกับว่า ได้ปลดเปลื้องทุกอย่างออกมาจากอก หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ไม่ได้พบเจอใครที่พอจะพูดคุยด้วยได้อยู่หลายปี เหตุผลที่เธอต้องมาที่นี่พวกเขาก็ได้รับรู้กันถ้วนหน้าแล้ว เด็กสาวยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่านอกจากลอว์เรนซ์เธอเองไม่มีเพื่อนสมัยเด็กที่ไหนเลย

 

                     '' แล้วนี่เขาอยู่ไหนเหรอ ฉันไม่ได้เจอตั้งนาน ป่านนี้โตเป็นหนุ่มหล่อไปถึงไหนแล้วนะ ฉันพยายามส่งโทรจิตหาเขาอยู่ตั้งนาน ก็ไม่เคยมีการตอบรับกลับมาเลย ''

 

ดูเหมือนเจ้าหญิงจากไอริณจะไม่ได้สังเกตและสะกิดใจสักนิดว่า คนที่เธอกำลังถามหานอนหลับสนิทอยู่ไม่ไกลกัน

 

                   "ฉันบอกให้ก็ได้ ลอว์เรนซ์อยู่ตรงนั้น..."

 

ไซม่อนชี้นิ้วไปทางเตียงที่ซึ่งลอว์เรนซ์ยังคงนอนหลับอยู่อย่างสงบ นัยต์ตาสีเขียวฉายประกายแห่งความหวังรีบปราดเข้าไปหาผู้เป็นเพื่อนสมัยเด็กอย่างรวดเร็ว ใบหน้าชวนมองของเด็กหนุ่มนั้นทรงสเน่ห์สมกับตำแหน่งเจ้าชายแม้ในยามหลับใหล พินิจมองดูดีๆก็พบว่าหน้าตาของเด็กหนุ่มยังคงดูดีเป็นเอกลักษณ์ไม่แตกต่างจากวัยเยาว์เท่าไหร่นัก แต่เมื่อได้กลิ่นไอแห่งพลังมืด คิ้วของเธอก็แทบจะขมวดเป็นปมเงื่อนพิรอด ตวัดสายตาฉับมาทางพวกไซม่อนที่ยืนดูอยู่เงียบๆ

 

                " นี่เขาเป็นอะไร ทำไมถึงมีกลิ่นไอของพลังมืด"

 

                " ลอว์เรนซ์ป่วยน่ะครับ เป็นอาการที่พวกผมไม่ทราบแน่ชัด และดูเหมือนพลังมืดจะลุกลามตามร่างกายด้วย ทำให้ผมต้องใช้พลังเดียวกันสกัดอาการไว้ชั่วคราว..."

 

ชิเรเป็นฝ่ายออกปากเล่าเอง บรินส์นิ่งเงียบไปนิด ก่อนจะหลับตาลง เพื่อใช้วิธีในแบบของเธอตรวจดูอาการของคนตรงหน้า และเมื่อลืมตาโพลงขึ้นมาก็ต้องพยายามควบคุมสติ...เพราะเธอรับรู้ถึงอาการของลอว์เรนซ์แล้ว

 

              " เกิดอะไรขึ้นน่ะบรินส์ สีหน้าเธอดูไม่ดีเลย"

 

อลิสถามด้วยความห่วงใยปนหวังดีแต่บรินส์ไม่มีเวลาจะมารับน้ำใจอันดีงามของเธอได้ในตอนนี้ นัยต์ตาสีเขียวยังคงกวาดมองทุกคนอย่างจงใจ สีหน้าเริ่มเครียดขึ้นมาผิดถนัด

 

               " ลอว์เรนซ์...เป็นโรคเดอร์สริซายด์ "

 

               " เดี๋ยวนะ นี่มันโรคอะไร ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย "

 

               " มันคือโรคชนิดร้ายแรงที่เกิดจากการตอบสนองต่อพลังมืด... สาเหตุคงจะเป็นเพราะฉัน ไม่สิเพราะเจ้าศาสตราในร่างฉันที่ดูเหมือนจะส่งพลังผ่านเข้าไปถึงจิตใจของลอว์เรนซ์ เพราะเขาถือครองพลังต้องห้ามอยู่เนื่องจากผลพวงของคำสาปนั่น ทำให้มันตอบสนองแต่เพราะร่างกายของเขารับไม่ไหว โรคนี้เป็นพลังงานความมืดที่ประสานผ่านเข้ามาทางความฝันได้อย่างแนบเนียน แปลว่าที่ผ่านมามันคงตอบสนองหลายครั้จนสะสม เขาฝันร้ายบ่อยๆหรือเปล่า? "

 

                  "ใช่ครับคุณบรินส์ ผมยืนยันเรื่องนี้ได้ ลอว์เรนซ์มักจะฝันประหลาดอยู่บ่อยๆ และเหมือนจะมีอาการอ่อนเพลียทุกครั้งที่ฝันร้ายด้วย "

 

ชิเรผู้เป็นรูมเมทตอบกลับเธอด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก แม้ว่าเขาจะสังเกตมาตลอด แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะมาลงเอยแบบนี้ได้

 

                   " บรินส์...เธอต้องมีทางช่วยลอว์เรนซ์ได้สิ ถ้ารู้ถึงขนาดนั้นแล้ว"

 

                    " ...ฉันมีวิธีช่วย แต่ว่าพวกนายจะต้องไปหาส่วนผสมสำคัญที่ใช้ประกอบเพื่อปรุงยารักษาโรคนี้ก่อนน่ะสิ นั่นแหละที่มันยาก "

 

                    " เออเอาเถอะน่า! จะส่วนผสมอะไรฉันก็จะเอามาให้ได้ขอแค่เพื่อนฉันหาย!"

 

ความมุ่งมั่นถูกเกริ่นนำโดยอิวาน เธียร์และไซม่อนที่เริ่มจะทนอยู่เฉยต่อไปไม่ไหว แต่บรินส์กลับส่ายหน้าท่าทีที่หมดหวังชวนให้หดหู่ใจ

 

                     ''ส่วนผสมก็คือ 1.ใบเคลมจากต้นไม้วิเศษ 2.เลือดแห่งผู้ใช้เวทย์น้ำแข็งและอัคคี 3.เศษเสี้ยวหัวใจราชาแห่งพงไพร 4.สายธารแห่งไอริณ..."

 

แม้จะบอกได้ว่ามีเพียงแค่ 4 อย่างที่ต้องนำมาก็ตาม แต่แค่ลองฟงดูรายการเบื้องต้นก็พบว่าส่วนผสมแต่ละชิ้นก็ช่างหาได้ยากเย็นจนแทบจะหมดปัญญา สร้างความท้อแท้เป็นที่สุดให้แก่พวกไซม่อนที่เริ่มคอตก หัวสมองตันจนคิดวิธีไม่ออก ปลอมส่วนผสมเรอะ ยิ่งไม่ต้องเก็บมาคิด

 

                    " อีกสามอย่างอาจจะพอได้...แต่อย่างที่ 4 นี่มันหาไม่ได้แล้ว"

 

...ความเงียบเริ่มโรยตัวเข้ามาอีกครั้งเมื่อทุกคนพร้อมจะดำดิ่งลงไปสู่ความท้อแท้ผิดหวัง จมอยู่ในความคิดกับปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะหาทางออกได้อย่างไร ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าหวานระหว่างความเป็นกับความตายถ้ามีอะไรพอจะแทนที่ได้บ้างล่ะก็ ถ้าหากสิ่งที่ค้นหามันไม่มีล่ะก็ ลองค้นดูจากสิ่งที่มีล่ะจะพอไหวไหม

 

                  "คุณบรินส์ครับ"

 

เสียงเรียกชื่อเด็กสาวดังจากบุรุษหนุ่มผู้สุภาพคนเเดิมเรียกสติของเหล่าผู้ที่จมอยู่ในห้วงความคิดกลับมาฟัง นัยต์ตาสีม่วงของนักปราชญ์แห่งมอริสเริ่มมีแววแห่งความหวังที่พอจะสัมผัสได้ เพราะตอนนี้เขาดูจะเป็นมันส์สมองและความใจเย็นระดับพระกาฬของกลุ่ม

 

                 " ถ้าหากว่าส่วนผสมจริงๆไม่มีล่ะก็ แค่เปลี่ยนพลิกแพลงให้ใกล้เคียงก็พอจะได้อยู่ใช่ไหมครับ?"

 

                " อะ..อืม มันก็ได้อยู่นะ แต่นายจะทำยังไง"

 

                "...ผมจะใช้สายธารจากธารน้ำเปลี่ยนโชคชตาแห่งกอนดอร์แทน..."

 

                "นี่ชิเร..หรือว่า!?"

 

                 " ถูกต้องแล้วครับไอริส ถ้าเราได้น้ำนั่นมาล่ะก็เราจะสามารถอธิษฐานเปลี่ยนในสิ่งที่อยากจะเปลี่ยนได้เพียงแค่ 1 ครั้งแต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า ผู้รักษาธารแห่งนั้นจะยอมรับเงื่อนไขของเรารึไม่"

 

                 " ...มันก็เสี่ยง แต่ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว เอาล่ะฉันขอถามตรงๆและพวกนายก็ตอบกันตรงๆด้วยนะ"

 

ไซม่อนกวาดตามองเพื่อนร่วมกลุ่มที่ถึงแม้เขาจะไม่คิดไว้ใจใครก็ตามเพราะอดีตอันทำให้เขาผูกใจเจ็บ...แต่ในวันนี้เขากลับได้รับรู้ถึงข้อดีที่ทุกคนมีต่อกันได้อย่างชัดเจน นัยต์ตาสีส้มมองนิ่งสงบแต่มุ่งมั่น

 

                  " ฉันจะไปเอาส่วนผสมทั้งหมดมาช่วยลอว์เรนซ์ พวกนายมีใครจะไปกับฉันก็ก้าวออกมา แต่หากกลัวก็ไม่ต้องเพราะของที่เราจะต้องไปหามันอยู่ที่ป่านอกเขตข่ายมนต์ที่รักษาความปลอดภัยในเซนต์คาดิลอร์แถมที่สำคัญจากเหตุการณ์ที่หมาป่ามันบุกกันเข้ามา พวกรุ่นพี่ฝีมือเก่งๆจึงถูกส่งตัวให้ไปเฝ้ารักษาคุ้มกันข่ายมนต์ แน่นอนว่าเราต้องผ่านพวกเขาไปให้ได้..."

 

เมื่อพูดจบประโยค นัยต์ตาสีส้มของเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อความใจถึงนั้นกลับกลายเป็นของทุกคนที่พร้อมใจกันก้าวออกมาแสดงตัว นัยต์ตาแต่ละคนมีประกายแห่งความกลัวแต่ก็ไม่คิดจะทอดทิ้งเพื่อนให้ตายไปทั้งๆแบบนี้ นัยต์ตาสีเขียวของเจ้าหญิงแห่งไอริณร่นขึ้นมาด้วยน้ำใสๆในความมีน้ำใจหรือบ้าบิ่นก็สุดจะคาดเดา

 

                    " พวกนายแน่ใจแล้วรึไง ปะทะครั้งนี้อาจไม่รอดกลับมาก็ได้...ดีไม่ดีจะถูกจับตัวเอาไปทำโทษ โทษฐานแหกกฎโรงเรียนอีกนะ "

 

                   " กลัวทำไมล่ะครับ ยังไงถ้าตายก็คงไม่ตายไปคนเดียว ตายด้วยกันยกหมู่ก็ไม่เหงาเท่าไหร่หรอก "

 

คำพูดติดตลกที่มันไม่ตลกแต่กลับสร้างรอยยิ้มให้ปรากฎบนริมฝีปากของทายาทตระกูลนักรบผู้นำทัพ นักปราชญ์หนุ่มน้อยผู้มองการณ์และเฉลียวฉลาดนั้น ถูกมือใหญ่ของไซม่อนเข้ามาตบไหล่ราวกับว่าฝากฝังความหวังไว้ที่เขาด้วยอีกคน

 

                  "ถ้าอย่างนั้นตายก็จงร่วมกันตาย แต่ถ้ารอดมาได้ห้ามปล่อยให้ใครตายแม้แต่คนเดียวล่ะ ชิเร ราฟาเอลลิส เพราะนายคือเอสด้านมันส์สมองของทีมเรา "

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป