Your Wishlist

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์) (Rewrite) (11 ผู้บุกรุก (Rewrite))

Author: Sayyeon

" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "

จำนวนตอน : N/A

11 ผู้บุกรุก (Rewrite)

  • 03/08/2564

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์)
ภาค 1 ศึกปะทะอัศวินแห่งความมืด


  

 

 

 

 

              แสงสว่างจากหน้าต่างห้องสอดส่องลอดผ่านเข้ามากระทบเปลือกตาที่ยังคงหลับพริ้มไร้สติ ขนตายาวตรงสีดำเริ่มเคลื่อนไหว ก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างจะค่อยๆปรือขึ้นอย่างแผ่วเบา นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยเริ่มตวัดสายตาไปมาราวกับสำรวจ พลันรีบชันกายลุกขึ้นมาอย่างรีบร้อน มิติประหลาดที่มีดอกไม้สีแดงหายได้ไปแล้ว เหลือแค่เพียงเขาที่นอนอยู่บนเตียงภายในห้องพร้อมกับอีกสองหนุ่ม คือ เธียร์และเนออน ที่ยังคงไม่ได้สติ ที่นี่คงเป็นห้องพยาบาลในรั้วโรงเรียนเซนต์คาดิลอร์ฟ ร่างปริศนาปลดปล่อยพวกเขาออกมาจากมิตินั้นแล้ว แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีเลือดไหลออกมาจากทั้งปากและหูแล้วก็ตาม แต่ลอว์เรนซ์ก็ยังรู้สึกมึนๆอยู่เล็กน้อย หัวสมองของเขาเบลอไปหมด  มือซ้ายกุมหน้าอกที่รู้สึกปวดแปลบ มันเหมือนจะปกติแต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นเช่นนั้น เศษเสี้ยววิญญาณที่พวกเขาถูกดูดไปเพราะเจ้าร่างปริศนานั่น มันส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างมหาศาล และสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มติดใจสงสัยมากที่สุดก็คือประโยคสุดท้ายที่หมอนั่นต้องการจะสื่ออะไรบางอย่างทิ้งท้ายไว้กับเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น 

    ' จิตวิญญาณเดิมของฉันได้ตายลงไปแล้ว เพราะนายนั่นแหละ...เด็กผู้ถือครองคำสาปที่ฉันปรารถนา '

คนคนนั้นคือใครกันแน่ ? หรือเป็นผู้ที่ต้องการพลังต้องห้ามอันเป็นคำสาปน่าชิงชังนี่ในตัวเขา หรือมันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ท่านพ่อปิดบังอะไรบางอย่างไว้ในตอนที่ส่งตัวเขาไปอยู่ที่โลกมนุษย์กันแน่ ยิ่งครุ่นคิดตามก็ยิ่งสร้างความปวดประสาทให้แก่เขาเหลือเกิน แต่ที่เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัยเลยคือ ร่างปริศนานั่นรู้จักเขามาก่อน และพยายามโยนปริศนามาให้เขาเพื่อสาวถึงตัวมัน แต่ว่าทำไมกันล่ะ...

แกร๊ก!

ประตูของห้องพยาบาลถูกเปิดออก ปรากฎร่างของเด็กหนุ่มผมน้ำตาล นัยต์ตาสีส้ม ซึ่งเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี ไซม่อนนั่นเอง และที่ตามหลังมาก็คือ อิวาน พ่อหนุ่มนักมายากล ที่โบกมือทักทายเขาทันทีที่เจอหน้า ทั้งสองเดินมานั่งลงที่ข้างเตียงของลอว์เรนซ์ และพบว่าเธียร์เองยังไม่ฟื้น จึงปลีกตัวมานั่งคุยกันแค่สามคนแทน

    '' ท่าทางสบายดีแบบนี้ก็คงไม่น่าห่วงแล้วสินะ ''

    '' อะไรกันไซม่อน นี่นายเป็นห่วงฉันด้วยงั้นเหรอ? ''

คำพูดแบบกึ่งทีเล่นทีจริงทำเอาเด็กหนุ่มนักรบตะวันออกแกล้งทำเป็นปากแข็งพร้อมกับสะบัดหน้าใส่ แม้ในใจจะรู้สึกโล่งอกมากที่หมอนี่ไม่เป็นอะไรแล้ว มิหนำซ้ำลอว์เรนซ์ดูไม่ได้โกรธเคืองที่ตัวเขาผลักและทำพฤติกรรมแย่ๆต่อหน้าคนทั้งห้อง 

    '' อย่าพูดจาไร้สาระน่า ถ้าหากนายตายไปก่อนที่จะได้สู้กับฉันก็แย่น่ะสิ เจ้าบ้า ''

    '' ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอลอว์เรนซ์ ทั้งนายแล้วก็เธียร์ จู่ๆก็ล้มพับกันไปเฉยๆแบบนี้ ตอนที่พานายมาห้องพยาบาล ฉันก็เห็นไซม่อนและพวกรุ่นพี่ที่แคมป์ช่วยกันแบกเขามา นอกจากนี้เจ้าชายอีก 4 พระองค์ก็เป็นเหมือนกันด้วย มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?'

    '' ทำนองนั้นแหละ อยู่ๆพวกเราที่เป็นว่าที่รัชทายาททั้ง  6 คนก็โดนพาตัวเข้าไปในมิติ ที่มีดอกไม้ประหลาดสีแดง แถมยังใช้เวทย์มนตร์ไม่ได้ แล้วก็มีคนแปลกๆเข้ามาทำร้ายพวกเรา มันทำสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าบนโลกนี้จะมีคนทำได้ เจ้านั่นมันดูดกลืนวิญญาณของพวกเราไปส่วนนึง...''

    '' อะไรนะ!? / บ้าน่า! วิญญาณไม่ใช่ขนมนะเว้ย ที่จะแบ่งเป็นชิ้นๆแล้วแยกออกได้แบบนั้นน่ะ! ''

ทั้งสองหนุ่มร้องเสียงดังขึ้นมาพร้อมกันจนแทบฟังไม่ทัน ลอว์เรนซ์รีบทำสัญญาณมือให้ทั้งสองลดเสียงลง เพื่อไม่ให้รบกวนเจ้าชายอีกสองพระองค์ที่หลับสนิทอยู่ นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยของเขาแลดูจริงจัง เพื่อให้ทั้งสองคนนี้เข้าใจว่าที่พูดไปนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น 

    '' แล้วนี่นายยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกันนะ ถึงจะแค่ส่วนเดียว แต่วิญญาณน่ะถ้าถูกดึงออกจากร่างเนื้อ ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันก็คงต้องสลายหายไปแล้วสิ ''

อิวานเริ่มเปรยออกความเห็น ขณะที่ลอว์เรนซ์เองก็เริ่มคิดตามบ้าง

    '' บางทีอาจจะเพราะเจ้านั่นใช้มนตร์ดำก็ได้ สิ่งที่เรียกกันว่ามนตร์ดำแม้กระทั่งความเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย ก็ยังสามารถกระทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ การแยกชิ้นส่วนของวิญญาณสำหรับมันคงจะดูธรรมดาไปเลย ''

    '' นายพูดก็มีเหตุผลที่พอเชื่อถือได้อยู่ แต่ดอกไม้สีแดงนั่นที่บอกมา ฉันก็เคยเห็นอยู่เหมือนกัน สิ่งนั้นนอกจากพลังที่สามารถทำร้ายคนและการดึงดูดแล้ว ว่ากันว่าเลือดของแวมไพร์ที่ได้ทำพันธสัญญากับดอกไม้นี้จะถูกคำสาป พลังมนตร์ดำที่ถือครองก็จะยิ่งแข็งแกร่ง พ่อฉันเคยเล่าให้ฟังว่า มันคือ พันธสัญญาที่แลกมาด้วยจิตวิญญาณของผู้ใช้ เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของตนเอง...''

พอถึงตรงนี้ลอว์เรนซ์จึงพอเข้าใจได้มากขึ้นว่าทำไม ดอกไม้สีเลือดนั่นจึงทำเหมือนดึงดูดพวกเขาอยู่ตลอดเวลาและในมิติแห่งนั้นมันจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเจ้านั่นที่ถือครองมนตร์ดำเอาไว้ เขาจึงได้เริ่มเล่าเรื่องราวต่อจากนั้นว่าบุคคลปริศนานั่นได้ทิ้งท้ายเรื่องอะไรไว้อีกบ้าง แต่ไม่ได้เล่าแค่ประโยคสุดท้ายที่หมอนั่นพูดกับเขา

    '' น่าแปลกนะ ถ้าเจ้านี่มีพลังขนาดที่จะหยุดยั้ง แทรกซึมพาพวกนายไปยังมิติได้ ทำไมมันถึงต้องการพลังของศาสตราพวกนั้นด้วย มันทรงอำนาจมากขนาดนั้นเลยรึไง ''

ไซม่อนสบถอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์มากนัก แต่ดูเหมือนลอว์เรนซ์จะไม่ได้คิดแบบนั้น ในฝันของเขาเมื่อคืนก็มีภาพของอัศวินปริศนาที่โผล่มาพร้อมกับเจ้านั่น แม้จะยังไม่รู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริง แต่สิ่งที่สำคัญคือ ตอนนี้ชีวิตของพวกเขาคือสิ่งที่มันกำลังนำมาเดิมพันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง

 

ตู้มมมม!!

เสียงระเบิดโครมครามของอะไรบางอย่างดังลั่นเข้ามาจนถึงห้องพยาบาล จนพวกลอว์เรนซ์ต่างพากันตกใจ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นข้างนอก ลอว์เรนซ์พยายามชันกายลุกออกจากเตียงเพื่อที่จะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทว่าไซม่อนกับเธียร์กลับขวางทางเขาไว้ไม่ให้ไปไหน

    '' หลีกไปนะ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น อาจจะเป็นเจ้าหมอนั่นก็ได้! ''

    '' เงียบน่ะ นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น การต่อสู้ข้างนอกนั่นมีพวกสภานักเรียนคอยรับมืออยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงไปหรอก พักผ่อนนิ่งๆไปซะ ''

    '' ที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ เพราะชิเรบอกพวกเราว่าให้เฝ้านายไว้ เดี๋ยวเขาจะคอยสังเกตการณ์ทางนู้นให้เอง เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก ปล่อยทางโรงเรียนจัดการเถอะนะลอว์เรนซ์ ''

    '' ให้ตายสิ พวกนายนี่มัน...''

ลอว์เรนซ์หมดคำจะประท้วงกับเพื่อนใหม่ทั้งสองที่ดูจะพร้อมใจนัดแนะกับชิเรไว้อย่างเสร็จสรรพ พวกเขาดันร่างของลว์เรนซ์ให้กลับลงไปนอนที่เตียงตามเดิมและเฝ้าประกบราวกับองครักษ์ส่วนตัวก็ไม่ปาน พลางส่งยิ้มด้วยความดีใจปนเจ้าเล่ห์ ประมาณว่านายไม่มีทางหนีออกจากห้องนี้ไปทำตามอำเภอใจได้อย่างเด็ดขาดอะไรทำนองนั้น 

 

 

 

=======================================

 

 

 

 

    ที่นอกตัวอาคารเรียนของเซนต์คาดิลอร์ฟ ทางบริเวณป่าทึบซึ่งมีจุดเชื่อมต่อระหว่างข่ายมนต์ของทางโรงเรียนอันมีไว้สำหรับการป้องกันภัยอันตรายทั้งปวงจากภายนอก  เพื่อความปลอดภัยของพวกนักเรียน ที่บริเวณนั้นกำลังเกิดการต่อสู้ปะทะกันระหว่างเหล่าสภานักเรียน ซึ่งนำทีมโดยไบคัส แซนทาเรียส บุรุษหนุ่มชั้นปี 6 ผู้ควบตำแหน่งหัวหน้าแคมป์รอนเดลและหัวหน้าเหล่าองครักษ์แห่งเซนต์คาดิลอร์ฟ ซึ่งเป็นสมาชิกสังกัดของกลุ่มสภานักเรียนที่ทางโรงเรียนได้จัดตั้งคัดเลือกมา พวกเขากำลังจะเริ่มการต่อสู้กับกลุ่มของผู้บุกรุกที่ริอาจหาญกล้าทำลายข่ายมนต์ลงอย่างไม่มีชิ้นดี นัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มบวกกับใบหน้าอันคมคายของไบคัสทำให้เขากลายเป็นนักเรียนที่ดูหน้าดุและมีมาดขรึม จริงจังอยู่ตลอดเวลา เขามาพร้อมกับตัวแทนอีกสามคน คือ ลูปินส์ จีเนียส และเอ็ดเวิร์ด ซึ่งเจ้าชายทั้งสองพระองค์นี้ก็เป็นหนึ่งในองครักษ์แห่งเซต์คาดิลอร์ฟ แม้จะพึ่งฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน แต่พวกเขาก็ขอตามมาที่นี่ด้วยโดยไม่ต้องการพัก ในระหว่างการต่อสู้ ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มมืดครึ้มจนดูไม่น่าไว้วางใจ ดาบสั้นแบบคู่ปรากฎที่ฝ่ามือของบุรุษที่มีผ้าพันหน้าเอาไว้ ริมฝีปากของมันแสยะยิ้มพรายราวกับดูหมิ่นดูแคลน

    '' ถึงกับต้องให้เหล่านักเรียนดีเด่นออกมาสู้เป็นด่านหน้าเลยงั้นรึ...ผู้อำนวยการโรงเรียนนี่ใช้ไม่ได้เลยสินะ ''

    '' ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงให้มันมากความไปหรอก แกเป็นใครถึงกล้าเข้ามาที่นี่และบังอาจทำลายข่ายมนตร์ที่ท่านเซอร์ฮัลส์ เชนเบิร์ต แบบนี้น่ะ''

น้ำเสียงทรงอำนาจของไบคัสดังกึกก้องบอกกล่าวถึงความเป็นผู้นำ แต่คำตอบที่ได้มากลับกลายเป็นเพียงเสียงหัวเราะพร้อมการดูถูกเหยียดหยามเฉกเช่นเดิม

    '' ที่มาถึงนี่เป็นเพราะคำสั่งของท่านผู้นั้นยังไงล่ะ นับจากวันนี้ไปเรื่องของเหล่าว่าที่รัชทายาทซึ่งเป็นเงื่อนไขของเกมส์นี้จะถูกเปิดเผยออกไปสู่สาธารณะชน ตัวหมากอย่างพวกแกมันก็ทำได้แค่เดินลงไปบนกระดานของผู้ที่คุมทุกอย่างไว้เพียงเท่านั้น เอาล่ะ พร้อมจะสนุกกันรึยัง? ''

    '' หุบปากนะ! พวกแกนั่นแหละที่จะต้องตายอยู่ที่นี่! '

ลูปปินส์เริ่มโต้ตอบออกไปด้วยความที่เป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เอ็ดเวิร์ดซึ่งอยู่ข้างๆก็มาคอยปรามให้เขาใจเย็นลงเสียก่อน 
 

   '' พล่ามกันไปมามันก็น่าเบื่อนะ ฉันก็ชักอยากจะทดสอบว่าองครักษ์แห่งเซนต์คาดิลอฟที่ร่ำลือกันจะมีฝีมือสักแค่ไหน เข้ามาเลยสิ ''

    '' ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว ฉันคนนี้ขอรับคำท้าเอง ''

ดาบแหลมคมของไบคัสถูกจับชี้ตรงมาที่ใบหน้าของบุรุษปริศนาซึ่งมีผ้าพันแผลที่ยังคงยิ้มแบไม่ทุกข์ร้อนอันใด นัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มของไบคัสหันมาทางพวกเอ็ดเวิร์ด ลูปินส์ และจีเนียส ให้กลับไปทำหน้าที่เพื่อประจำตำแหน่งของตน เพราะสำหรับตรงนี้ เขาเลือกจะจัดการเองเพียงลำพังตามที่ได้ออกตัวประกาศท้าทายผู้บุกรุกไป 
    
    '' ลูปินส์ไปคุมพื้นที่ด้านนั้นที เพราะดูเหมือนจะมีผู้บุกรุกรายอื่นเล็ดรอดออกไป ส่วนนายสองคนประจำตำแหน่งอยู่ที่นี่ ซ่อมข่ายมนตร์ขึ้นใหม่ซะ อย่าให้มีใครรอดเข้ามาได้อีกแม้แต่คนเดียว ''

คำสั่งประกาศกร้าวจากไบคัสถือเป็นที่สุด แม้หนึ่งในสมาชิกอย่างจีเนียสจะไม่ค่อยชอบใจเขาคนนี้นักเพราะระดับฝีมือต่างกันเกินไป แต่เพราะมันหน้าที่ก็จำเป็นต้องกระทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลูปินส์รีบเร่งเคลื่อนไหวไปทางพื้นที่อื่นเพื่อเรียกตัวสมาชิกที่เหลือให้มาจัดการพวกผู้บุกรุกบางส่วนที่ผ่านเข้ามาได้จากทางอื่น ขณะที่เอ็ดเวิร์ดและจีเนียสก็แยกออกไปปะทะกับเหล่าลุกสมุนของชายผู้พันหน้าที่พยายามเจาะหาช่องว่างจะเข้ามาโจมตี 

    '' เข้ามาสิ มาตัวต่อตัวกับฉัน เอ...หรือแกจะไม่กล้า? ''

ถ้อยคำยียวนนั้นยั่วโมโหบุรุษพันหน้าผู้นั้นได้เป็นอย่างดี นัยต์ตาสีดำขุ่นมัวของมันจ้องเขม็งมาที่ไบคัสอย่างเอาเรื่อง พลันพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับดาบคู่ในมือหมายจะปลิดชีวิตเขา ไบคัสไม่รอช้ารีบพุ่งตัวไปด้วยความเร็วที่ไม่แพ้กันเข้าปะทะรับคมดาบคู่นั้นด้วยดาบขนาดใหญ่ของตัวเองจนเสียงเคร้งๆของเหล็กกล้านั้นดังสนั่นไปทั่วบริเวณ โดยในขณะเดียวกันนั้น ชิเร ราฟาเอลลิส เด็กหนุ่มนักปราชญ์ผู้เป็นรูมเมทของลอว์เรนซ์ก็กำลังสังเกตการณ์สถานการณ์นั้นอยู่ในระยะที่ไม่ไกลมากนัก เขาซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้อย่างเงียบเชียบ พร้อมๆกับไอริสที่ขอติดตามมาด้วยโดยไม่เกรงกลัวอันตราย แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ ทั้งสองคนกลับรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่แน่ใจนักว่ารุ่นพี่ไบคัสรู้ตัวอยู่รึไม่
    '' ฉันได้กลิ่นไอพลังมืดในรูปแบบของมนตร์ดำ จากพวกที่บุกรุก ทั้งที่เราไม่ได้อยู่ใกล้มาก แต่ยังได้กลิ่นชันเจนแบบนี้ มันต้องไม่ธรรมดาแน่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้น่ะ ''

ไอริสเปรยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงันนั่นคงเพราะสัญชาตญาณการที่ตระกูลของเธอถือครองพลังสายมืดมาช้านานจึงทำให้รู้สึกถึงพลังแบบเดียวกันได้ไม่ยาก เพียงแต่พลังมืดในตระกูลอัลบาร์ลอร์ฟนั้นไม่ใช่มนตร์ดำที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตามใจผู้ใช้มัน แต่เป็นพลังที่สืบทอดมาเพื่อให้คงชีวิตอยู่ได้และเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพียงเท่านั้น 

    '' ถึงขั้นเจาะระบบรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนได้นี่ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันนะครับ ''

    '' การต่อสู้ครั้งนี้ ชักไม่มั่นใจแล้วสิว่าทางเราจะชนะ...''

    '' แหม่ๆ อะไรกันเนี่ย มีผู้ชมที่กล้ามาใช้ที่นั่งพิเศาแบบนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอ ''

น้ำเสียงของบุคคลปริศนาที่ดังมาจากด้านหลัง เล่นเอาเด็กทั้งสองหันขวับด้วยความตกใจ ที่จู่ๆก็มีใครจับได้ว่าพวกเขาแอบอยู่บนนี้ เจ้าของเสียงยิ้มร่าทันทีที่เห็นไอริส แต่ไอริสกลับเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน เพราะหมอนี่คือคนที่เธอไม่อยากพบเจอมากที่สุด ร่างสูงของลัวด์ เอลฟิเลียส เข้ามานั่งขนาบข้างชิเร เพราะเกรงว่าไอริสจะถีบส่งเขาถ้าหากเข้าไปใกล้เธอมากกว่านี้ เพราะใบหน้าเจ้าหล่อนบ่งบอกถึงความไม่ชอบใจอย่างแรง

    ''  ขอฉันชมการแสดงด้วยคนนะ รับรองไม่เอาไปบอกใครหรอก และก็ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าหญิงคนงาม ฉันมาดีแน่นอน ''

เจ้าชายขี้หลียิ้มให้ไอริส แต่กลับโดนเจ้าหล่อนแว้ดใส่ว่าห้ามมาใกล้ ซึ่งชิเรที่เข้าใจสถานการณ์ดีก็พยายามคั่นกลางระหว่างทั้งสองเอาไว้ให้อย่างดีที่สุด พร้อมกับสังเกตการณ์ต่อไปอย่างเงียบเชียบ นัยต์ตาสีเขียวของลัวด์เริ่มละจากไอริสมาเพ่งเล็งที่การต่อสู้ระหว่างไบคัสและชายปริศนาคนนั้นแทน ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเขาเองก็พักฟื้นอยู่ห้องพยาบาลไปตามระเบียบ และแน่นอนว่าถ้าไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเพิ่มเติมก็คงจะรู้สึกคาใจเปล่าๆ เลยต้องมาดูเหตุการณ์ด้วยตัวเองถึงที่
ทางด้านของไบคัสที่ยังคงต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่นั้น ด้วยวิถีดาบที่ไม่ธรรมดาทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมเพลี่ยงพล้ำได้โดยง่าย ท้งผลัดกันรุกและรับอบ่างสมศักดิ์ศรี เสียงของเหล็กกล้ายังคงกระทบกระทั่งต่อเนื่องกันไม่หยุด ส่วนจีเนียสกับเอ็ดเวิร์ดก็ต่างเรียกศาสตราของตนเองออกมารับมือกับเหล่าศัตรูที่สวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดใบหน้าซึ่งกำลังพยายามฝ่าข่ายมนตร์ที่พังทลายเข้ามาไม่หยุดยั้ง สายลมเริ่มพัดโกรกอย่างรุนแรง จนได้กลิ่นอายประหลาดที่โชยมาแตะจมูก ร่างสูงของไบคัสกระโดดผลุงห่างออกมาจากร่างของผู้บุกรุกตรงหน้า ดาบในมือกระชับแน่น

    '' ได้เวลาแห่งความสนุกมากกว่านี้แล้วสินะ แกทำให้ฉันหุบยิ้มไม่ได้เลย ไบคัส แซนทาเรียส ''

สิ้นสุดคำพูดนั้น หมอกสีขาวขุ่นกลับพุ่งออกมาแล้วเข้าครอบคลุมร่างของบุรุษปริศนาผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ไบคัสปักหลักหยุดนิ่งอยู่ที่พื้น พยายามรอการตั้งรับและกวาดสายตามองฝ่าหมอกสีขาวนั่นเข้าไป ใบหน้าคมเข้มของเขาเริ่มฉายแววแปลกใจและสงสัยออกมา คิ้วขมวดอย่างเคร่งเครียด ราวกับรู้สึกตัวว่าเจ้านั่นกำลังจะทำอะไรต่อไป นั่นทำให้ไบคัสไม่คิดจะรีรออย่างชะล่าใจอีก ที่ฝ่ามือขวาของเขาปรากฎไอของพลังเวทย์สีม่วงอ่อนขึ้นมา พลางพึมพำร่ายเวทย์เป็นคาถาสั้นๆในชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะปลดปล่อยพลังนั้นออกมาซึ่งก็คือ สายฟ้า ให้พุ่งตรงไปที่ร่างของผู้บุกรุก ซึ่งหมอกประหลาดนั้นกำลังก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ สายฟ้าจำนวนมากถูกส่งเข้าไปเพื่อฟาดเปรี้ยงเข้าไปที่ใจกลางนั้น แต่ทว่า มันกลับถูกอะไรบางอย่างผลักออกมาจนสลายหายไปภายในชั่วพริบตา

    '' เวทย์มนตร์ไม่ได้ผลงั้นรึ...''

    ' พลังของรุ่นพี่ไบคัสถูกสะท้อนกลับมา นั่นคือผลจากเวทย์มนตร์ด้านมืด มันดูคล้ายๆกับเวทย์มนตร์กระจกทมิฬที่เราใช้เลย แต่ว่าคงจะมีพลังสูงกว่ามาก...'

ไอริสครุ่นคิดขณะที่เฝ้าดูการปะทะนั่น เธอพลันนึกการต่อสู้ที่ตัวเองใช้เวทย์มนตร์กระจกทมิฬนี้กับลอว์เรนซ์มาก่อน โดยที่ไม่รู้สึกตัวว่านัยต์ตาสีเขียวของเจ้าชายขี้หลีคนนั้นเองก็กำลังสังเกตเธออยู่เป็นระยะๆเช่นเดียวกัน และดูเหมือนไบคัสเองก็ไม่คิดจะยอมแพ้หรือละความพยายามแต่อย่างใด และเร่งพลังในการปลดปล่อยสายฟ้าให้ออกมามากกว่าเดิม แต่ทว่าทันใดนั้นสายฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาก็กลับถูกสั่งการให้ทรยศต่อตัวผู้ใช้ พลันย้อนกลับคืนเข้าหาร่างของไบคัสแทน นัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มมีแววตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงรักษาความสงบนิ่งภายนอกไม่ให้สั่นคลอน ฝ่ามือทั้งสองของเขารีบสร้างอาณาเขตบาเรียขึ้นเข้าป้องกันสายฟ้าที่พุ่งกลับมาได้อย่างเฉียดฉิว ท้องฟ้าที่เกือยจะมืดสนิทและดูอึมครึมมาได้สักพัก เริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นหยาดน้ำฝนที่ตกลงมา พร้อมสายลมที่เริ่มกรรโชกโหมกระหน่ำ ไอหมอกนั้นได้สลายตัวหายไป และกลับมีบางสิ่งมาแทนที่ ร่างของชายปริศนาผู้นั้นได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เสียงร้องคำรามดังลั่นไปทั่วบริเวณ เสียงที่ไม่ว่าใครในเผ่าพันธุ์แวมไพร์ที่ได้ยินแล้วก็ต้องรู้จักเป็นอย่างดี เหล่าคณะผู้ชมบนยอดไม้แทบจะลืมหายใจเมื่อร่างใหญ่ยักษ์ของหมาป่าสีเทา นัยต์ตาสีดำขุ่นมัว และขนที่ยาวดกตามฉบับของมัน กำลังทำท่าขู่คำรามใส่ไบคัส ราวกับยิ้มเยาะเขาอยู่

    '' เข้ามาสิไอ้หนู...มาทำให้ฉันสนุกมากกว่านี้! ''

ขาทั้งสี่ข้างเริ่มสปริงตัวขึ้นเพื่อกระโดดเข้าใส่บคัสอย่างไม่ลังเล เล่นเอาเอ็ดเวิร์ดหันกลับไปมองรุ่นพี่ที่ถูกโจมตีโดยเจ้าอสุรกายหน้าขนนั่นอย่างลืมตัว เพราะหมาป่าระดับนี้ดูยังไงก็เป็นระดับสูงที่น่าจะรับมือยาก แต่เพราะภารกิจตรงหน้าที่ต้องจัดการกับข่ายมนตร์ ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้นั้นได้ ไบคัสกระชับดาบในมือเช่นกันพร้อมกับกระโดดด้วยวิถีของแวมไพร์เข้าปะทะกับหมาป่าตรงหน้า

 

เคร้งงง! สวบบ!!

คมดาบเล่มเดิมพยายามหาจังหวะเข้าฟาดฟันเจ้าหมาป่าตัวโตที่ร่างกายของมันช่างดูเทอะทะแต่การเคลื่อนไหวนั้นกลับตรงกันข้าม เวทย์สีม่วงถูกร่ายขึ้นมาอีกครั้งด้วยการสร้างสายฟ้าประสานกับดาบของผู้เป้นนาย เทพแห่งศาสตราของไบคัสปรากฎกายขึ้นมาจากเบื้องบน เมื่อได้รับสัญญาณจากไบคัส ขุมพลังสายฟ้าขนาดใหญ่ยักษ์ราวกับอุกกาบาตก็ตรงเข้าใส่เจ้าหมาป่า แต่มันก็พยายามจับจังหวะเพื่อหลบให้พนเช่นกัน

    '' คิดว่าฉันเล่นงานได้แค่ทางตรงอย่างเดียวรึไงกัน''

คำพูดพร้อมยิ้มเลือดเย็นนั้นส่งผลให้เจ้าหมาป่าร้องคำรามออกมาด้วยความพิโรจน์เนื่องจากไม่ทันรู้ตัวเลยว่า สายฟ้าจากทุกสารทิศนั้นถูกซ่อนเอาไว้และปรากฎขึ้นเมื่อศัตรูพยายามหลบหลีกมันออกไป เพียงไม่กี่อึดใจเดียวสายฟ้าทั้งหมดก็ถาโถมเข้าใส่ผู้บุกรุกด้วยระดับความรุนแรงที่ทุกสิ่งทุกอย่างทั่วบริเวณนั้นสั่นสะเทือนไปตามๆกัน ไม่เว้นแม่แต่ผู้ชมอย่างพวกชิเรที่เกือบจะพลัดตกจากยอดไม้ไปด้วย 

ร่างของเจ้าหมาป่าผู้โชคร้ายกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด สายฟ้าของไบคัสสร้างแผลรอยไหม้อย่างแสนสาหัสให้กับมัน กลิ่นเนื้อที่เหม็นไหม้นั้นเหม็นจนแทบเข้าไปใกล้ไม่ได้ นั่นคือพลังที่รุนแรงสมกับตำแหน่งหัวหน้าขององครักษ์แห่งเซนต์คาดิลอร์ฟ ไบคัสเดินเข้าไปในระยะที่พอเหมาะ ก่อนที่จะฉีกยิ้มมุมปาก  พลันร่ายเวทย์ขึ้นที่ฝ่ามือซาkยแล้วทำการสัมผัสกับร่างของเจ้าหมาป่ายักษ์ที่ตอนนี้กำลังจะพายามถลันตัวลุกขึ้นมา เขาจัดการใช้สายฟ้าช็อตมันอย่างรุนแรงอีกครั้ง จนร่างกายนั้นชาไปถึงเส้นประสาทและอวัยวะภายใน แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้มันหมดสติไปจนพูดอะไรไม่ได้ ร่างสูงของเด็กหนุ่มก้าวขึ้นไปยืนเหยียบย่ำอยู่บนร่างของศัตรูอย่างไม่เกรงกลัว

    '' ใครส่งแกมา ไอ้ลูกหมา...''

    '' หึๆ ถ้าไม่บอกจะทำไมล่ะ แกจะฆ่าฉันงั้นรึ ''

    '' ให้ตายตอนนี้มันยังเร็วไป เก็บไว้ใช้งานสักหน่อยก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ''

เวทย์มนตร์สีม่วงเข้ามาโอบล้อมรอบตัวเจ้าหมาป่ายักษ์อีกครั้ง ไบคัสสั่งการให้มันกลายเป็นโซ่ตรวนสายฟ้าที่เข้ามารัดกายาของศัตรู พร้อมกับเปิดใช้งานพลังให้มันช็อตเจ้าหมาป่าอวดดีอีกหลายต่อหลายครั้งราวกับเป็นการทรมาน เสียงร้องโหยหวนของมันยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือได้ เพราะสมุนที่เหลือก็ถูกจัดการไปโดยเอ็ดเวิร์ด และจีเนียสเรียบร้อยเสียแล้ว พวกเขาซ่อมข่ายมนตร์จนสำเร็จ และดูเหมือนทางลูปินส์ก็ท่าจะไม่มีปัญหาใดๆ

    '' ศาสตรานั่น พวกแกระวังเอาไว้ให้ดีเถอะ ยังไงตอนนี้ แผนการขั้นที่ 1 ของพวกเราก็บรรลุเป้าหมายแล้ว พวกแกจะไม่มีวันต่อต้านท่านผู้นั้นได้....'อ้ากกกก!! ''

 

สีหน้าของไบคัสบ่งชัดถึงความเอือมระอาอยู่ไม่น้อย ขณะที่ทำการช็อตด้วยสายฟ้าแรงสูงให้เจ้าหมาป่าบ้านี้เงียบลงซะบ้าง

  

      '' น่ารำคาญ ไม่รู้ด้วยหรอกนะว่าต้องการสิ่งนั้นไปทำไม แต่ดูเหมือนจากนี้เราคงต้องคุยกันอีกยาว ''
  

     '' โทษทีว่ะ ฉันคงจะอยู่คุยนานไม่ได้ พอดีถูกเรียกตัวซะแล้ว ลาก่อนนะไอ้หนู...''

หมอกสีเข้มอันเต็มไปด้วยมนตร์ดำอันน่าพิศวงปรากฎขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ไบคัสจึงรีบกระโดดถอยออกมาจากร่างของมัน แต่เมื่อหมอกนั้นสลายหายไป เขาก็พบว่าหมาป่ายักษ์นั่นไม่อยู่แล้ว รวมถึงซากของเหล่าหมาป่าลูกสมุนที่ถูกพวกจีเนียสจัดการไว้ ก็หายไปด้วยเช่นเดียวกัน พร้อมกับประโยคทิ้งท้ายที่มีใครบางคนพูดทิ้งเอาไว้ให้แก่พวกเขา ว่า

    ' เกมส์ของฉันมันพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเองนะ เตรียมรับมือเอาไว้ให้ดีๆล่ะ '

นั่นคือการประกาศศึกที่มาจากทางฝั่งของพวกหมาป่า แต่กลับมีบางสิ่งที่ไบคัสรู้สึกคาใจถึงเรื่องของผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังพวกมัน แต่เขาก็ยังไม่สามารถคิดไปเองได้ว่ามันจะเป็นไปในทิศทางใด ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว ไบคัส และอีกสามบุรุษที่เหลือคือ ลูปินส์ เอ็ดเวิร์ดและจีเนียส ก็กลับเข้าไปที่เซนต์คาดิลอร์ฟ พร้อมกับทำการแจ้งเรื่องแก่อาจารย์ท่านอื่นๆให้ไปช่วยจัดการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ข่ายมนตร์อีกครั้ง เพราะที่สองหนุ่มนั้นซ่อมเอาไว้เป็นเพียงแค่การป้องกันชั่วคราวเท่านั้น ความสงบกลับมาเยือนภายในคืนนั้น ทางด้านอาคารและพื้นที่อื่นๆนอกเหนือจากป่าทึบและทะเลสาบไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ไบคัสและเล่าสมาชิกจากสภานักเรียนสังกัดองครักษ์แห่งเซนต์คาดิลอร์ฟได้เข้าพบผู้อำนวยการในคืนนั้น

ขณะที่ทางลอว์เรนซ์นั้นได้กลับมาที่หอพักพร้อมกับเธียร์ที่ดูอาการดีขึ้นแล้ว ทุกคนซึ่งตอนนี้ดุเหมือนจะกลายเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดียวกันไปแล้ว ก็ได้มานั่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นรวม ซึ่งในช่วงเวลานี้ปลอดผู้คน เพราะคืนนี้ พวกเขาดูมีเรื่องที่จะต้องบอกเล่ากันอีกยาวนาน


    

    

 

 

 

 

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

    

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป