Your Wishlist

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์) (Rewrite) (10 การนำทางของดอกไม้สีเลือด (Rewrite))

Author: Sayyeon

" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "

จำนวนตอน : N/A

10 การนำทางของดอกไม้สีเลือด (Rewrite)

  • 03/08/2564

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์)
ภาค 1 ศึกปะทะอัศวินแห่งความมืด


    

 

 

 

 

 

                เธียร์และไซม่อนกลับมาที่หอพักได้อย่างปลอดภัย ทั้งสองหนุ่มมาปักหลักนั่งลงบนโต๊ะไม้เล็กๆทรงกลมที่คั่นกลางอยู่ระหว่างเตียงนอน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ซึมชื้น หายใจถี่หอบด้วยความรู้สึกเหนื่อย เพราะความรีบร้อนและสัมผัสแปลกประหลาดที่ชวนให้รู้สึกขนหัวลุก ราวกับว่ามีใครจ้องมองพวกเขาอยู่จากในป่ารกทึบนั่น กลิ่นไอนั่นดูไม่เหมือนกับเหล่านักเรียนในเซนต์คาดิลอร์ฟเลย เพราะมันแผ่รัสมีของความเกลียดชังและเข่นฆ่ารวมอยู่ด้วย เธียร์พยายามครุ่นคิดว่า เขาควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี แม้จะไม่อยากถูกจับได้ว่าโดดเรียนไปที่นั่นมา แต่ถ้าหากสิ่งนั้นมันย่ำกรายเข้ามาในรั้วโรงเรียนได้แล้วล่ะก็ ต้องอันตรายแน่ๆ

 

               '' ฉันควรจะไปบอกเรื่องนี้กับอาจารย์มิแรนด้า เพื่อให้เธอช่วยประสานงานผ่านไปที่พวกสภานักเรียน''

 

               '' เห้ย นี่นายจะบ้าเหรอ ขืนถูกจับได้ว่าโดดร่มตั้งแต่วันแรกก็ได้ซวยยิ่งกว่าเดิมแน่ ''

 

              '' ปล่อยไปแบบนี้ก็ไม่สบายใจอยู่ดี มาเถอะน่า นายต้องเป็นพยานช่วยฉันยืนยันอีกเสียงนึงนะ ''

    

              '' อ้าวเห้ย! เดี๋ยวก่อนสิ เธียร์ รอด้วย! ''

 

เธียร์ไม่ได้สนใจเสียงร้องห้ามของไซม่อน ที่ถึงแม้ปากพล่ามให้เขาหยุดความคิด แต่เจ้าตัวก็รีบเดินตามหลังมาติดๆ นัยต์ตาสีแดงอ่อนของเขาเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างไม่สนโลก ขณะที่สาวเท้าสวบๆก้าวเดินมาตามทางจนถึงขั้นบันได ห้องพักอาจารย์ดูเหมือนจะอยู่ที่ตึกของผู้อำนวยการที่อยู่ตรงข้ามกับตึกเรียนของพวกลอว์เรนซ์ในตอนนี้ แต่ทว่าในทันใดนั้น ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะเร่งฝีเท้าเพื่อวิ่งลงบันไดไปนั้น หัวสมองของเขาก็เกิดความรู้สึกมึนและชาขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล นัยต์ตาสีแดงเริ่มเหม่อลอยและปรือลง ร่างสูงของเธียร์เอนตัวไปด้านหน้าเพราะเสียสมดุล หัวสมองของเขามึนงงและสับสน จมูกของเด็กหนุ่มได้กลิ่นหอมหวานอย่างประหลาด มันไม่เหมือนกับกลิ่นของขนมหวาน แต่มีกลิ่นราวกับดอกไม้ป่าที่กำลังยั่วยวนหลอกล่อเหยื่อตัวน้อยให้เข้าไปติดกับดักของมันที่เฝ้ารออยู่อย่างเงียบเชียบ ภาพสุดท้ายอันเลือนร่างก่อนที่เขาจะหมดสติไปก็คือ ร่างของไซม่อนที่พุ่งเข้ามาดึงตัวเขาเอาไว้ไม่ให้วูบตกบันได พร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังกึกก้องด้วยความตกใจของเด็กหนุ่มนัยต์ตาสีส้ม ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เลยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น

  

               '' เธียร์! เห้ย ฟื้นสิ! นายเป็นอะไรไป เฮ้! ''

 

              '' เอ่าเห้ย! นั่นเด็กปี 1 นี่ เกิดอะไรขึ้น !? ''
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

    กลิ่นหอมของดอกไม้ประหลาดนั้นยังคงอบอวลไปทั่วบริเวณ และราวกับเปลือกตาและใบหน้ากำลังถูกน้ำหยดลงมาใส่ นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยของเจ้าชายแห่งราลเดรูลน์ค่อยๆลืมขึ้นมาช้าๆ ก็พบว่ามีน้ำค้างหลายหยดที่ลงมาอยู่บนใบหน้าของเขาจริงๆ จากดอกไม้สีแดงสดที่ดูน่ากลัวราวกับสีเลือด ร่างสูงชันกายลุกขึ้นมา  ทั้งมือ เท้าและด้านหลังของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยทราย จนเมื่อมองไปรอบๆตัวก็พบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสถานที่แปลกๆที่ไม่รู้จัก ซึ่งมีแต่ทรายและดอกไม้สีแดงเลือดนั้นขึ้นอยู่เต็มไปหมด ลอว์เรนซ์พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ดูอีกครั้งเผื่อจะทำให้เข้าใจว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่ที่พอจำได้รางๆก็คือ ระหว่างที่กำลังจะไปเรียนคาบต่อไป จู่ๆเขาก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้นี่ขึ้นมา จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย...เหมือนว่าสติหลุดหายไปเสียดื้อๆ 

เมื่อพบว่าแค่นั่งคิดเฉยๆก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ลอว์เรนซ์จึงคิดจะทำการเรียก ดานิเอล เทพแห่งศาสตราของตนเองออกมาให้คำแนะนำ แต่ทว่า แม้จะพยายามเรียกเท่าไหร่ แหวนเวทย์พิธีกรรมของเขากลับไม่ตอบสนองความปรารถนาในการเรียกเทพแห่งศาสตราออกมา ไม่มีสัญญาณแห่งความหวังปรากฎออกมาให้เห็น ดังนั้นในยามนี้เจ้าชายคนสำคัญจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาตนเอง เขาสาวเท้าเดินไปเรื่อยๆ บนผืนทรายด้วยความระมัดระวัง ไม่เลยว่าผืนทรายนี้จะพาไปสิ้นสุดที่ไหน

 

ซ่า...ซ่า...ซ่า

  

 เสียงคลื่นเล็กๆกระทบฝั่งจนแตกตัวกลายเป็นฟองสีขาว ความสดชื่นและลมเย็นที่พัดโชยมาแตะผิวกาย เกลียวคลื่นยังคงถาโถมมาเป็นระลอกเข้าฝั่งซึ่งเป็นเหมือนจุดหมาย จนเกิดเสียงซ่าๆที่ดังกลบไปทั่วบริเวณ ที่แท้หาดทรายนี่ก็เชื่อมต่อกับทะเลสีฟ้าครามอันน่าพิศวง เขาจำไม่ได้เลยสักนิดว่าตนเองเคยได้มาท่องเที่ยวทะเลบ้างหรือไม่ ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปที่โลกมนุษย์ แต่มันกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าในใจลึกๆสถานที่แห่งนี้มันคือความทรงจำของตัวเขาเอง

 

ฟึ่บบ!

กำปั้นของใครบางคนพุ่งเข้ามาที่ด้านหลังของลอว์เรนซ์ด้วยความรวดเร็ว แต่เด็กหนุ่มก็ไม่น้อยหน้า ด้วยการมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไวพอๆกัน มือขวาของเขาก็เข้ารับหมัดนั้นของบุคคลปริศนาที่ลอบเข้าข้างหลังมาได้อย่างทันท่วงที

  

            '' ว้าว...ความรู้สึกไวใช้ได้นี่นา ''

 

รอยยิ้มของบุรุษเจ้าของหมัดเอ่ยขึ้นด้วยความพึงพอใจ ผมลอยสีดำ และนัยต์ตาสีเฮเซลของเขาดูเจ้าเล่ห์ ดั้งจมูกโด่งเป็นสัน ขนตายาวตรงและส่งเสริมความมีสเน่ห์ดึงดูดด้วยใบหน้าระดับราชนิกูล สำหรับลอว์เรนซ์รอยยิ้มนั่นช่างดูสวยงามจนเหมือนว่าประดิษฐ์ประดอยมากจนเกินไป ร่างสูงของผู้โจมตีหยุดกึกและคลายหมัดลง ขณะที่เหล่าเด็กๆปี 1 อีกสองคนที่ตามหลังมาต่างก็กระโจนเข้ามาใส่ลอว์เรนซ์ด้วยความดีใจ ทั้งสองก็คือเธียร์กับเนออน อันเป็นว่าที่รัชทายาทแห่งไครซิสต์ผุ้ร่วมชะตากรรมของเขานั่นเอง

    

               '' ลอว์เรนซ์! นายปลอดภัยดีใช่ไหม นึกแล้วว่านายต้องอยู่ที่นี่ด้วย''

 

               '' พวกเราก็ตามหากันซะทั่วเลย เมื่อกี้รุ่นพี่เอ็ดเวิร์ดคิดว่านายเป็นศัตรู ก็เลยเข้ามาโจมตีน่ะ ''

 

               '' รุ่นพี่เอ็ดเวิร์ดเหรอ หรือว่าเขาคือ...''

 

               '' เรายังไม่เคยพบกันอย่างเป็นทางการงั้นสินะ ชื่อของฉันคือ เอ็ดเวิร์ด ซิลเวสเทอร์ ควินซ์ เจ้าชายจากมอริส ยินดีที่ได้รู้จัก ''

 

แม้ว่าปากจะดูฉีกยิ้ม แต่ดวงตาสีเฮเซลคู่นั้นกลับดูไม่ได้เป็นมิตรอย่างจริงใจ ในที่สุดตอนนี้ลอว์เรนซ์ก็ได้พบเจอเหล่าว่าที่รัชทายาทอีกห้าคนอย่างไม่จำเป็นต้องทำการใช้การ์ดเชิญ เพราะนี่คงเป็นชะตากรรมที่นำพาให้มาพบและเกี่ยวข้องกัน แถมเหตุการณ์ประหลาดที่เขายังหาที่มาไม่ได้นี่ นอกจากตัวเองที่เข้ามาติดอยู่ที่นี่ ทั้งห้าคนที่เหลือซึ่งเป็นผู้ร่วมชะตาก็กลับกลายเป็นว่าตอนนี้อยู่กันครบทีมแบบไม่ได้นัดหมาย ทั้งเจ้าชายจีเนียสแสนเย็นชาและหยิ่งยโสคนนั้น เจ้าชายลัวด์จอมหลีหญิงที่ทำรุ่มร่ามกับไอริสเมื่อวันก่อน เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เนออน เธียร์ ต่างอยู่ที่นี่กันทุกคน อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้หลงทางอยู่เพียงคนเดียวแล้ว

    

                  '' เธียร์ เนออน นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย? ''

  

                 '' ไม่รู้สิ ที่จำได้รางๆก็คือฉันเหมือนจะหมดสติไป ตั้งแต่ที่ได้กลิ่นหอมแปลกๆจากเจ้าดอกไม้สีแดงที่ขึ้นตามชายหาดนี่ คนอื่นๆก็เหมือนกัน ''

 

                '' แปลว่าดอกไม้นั่นมีมนตร์งั้นสินะ แถมคงไม่ใช่มนตร์ธรรมดาๆด้วย...''

  

                 '' ดอกไม้นี่ต้องมนตร์ดำยังไงล่ะ แค่นี้ก็ดูไม่ออกรึยังไงกันเจ้าพวกเด็กปี 1 ''

 

น้ำเสียงที่ดุดันและบ่งชัดถึงความรำคาญ ดังมาจากใบหน้าที่หล่อเหลาประดุจรูปสลักของจีเนียส ไพน์เออเนียร์ เจ้าชายมาดน้ำแข็งผู้เย็นชาและยากต่อการคาดเดาความคิดอ่านของเขา นัยต์ตาสีน้ำเงินเข้มนั้นช่างลึกลับและเย็นเยือกจนไม่มีใครกล้าจ้องมองได้นานนัก ผมสีเงินที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมของชายทะเลทำให้เขาต้องเสยมันขึ้นมาเพื่อไม่ให้ปรกหน้าจนหมด 

 

                  '' สิ่งนั้นล่อลวงให้พวกเราทั้งหมดเข้ามาที่มิติประหลาดนี่ คงเพราะมีจุดมุ่งหมายอะไรสักอย่าง แถมมิหนำซ้ำยังเรียกเทพแห่งศาสตราออกมาใช้ก็ไม่ได้ด้วย จากนี้เราคงต้องเดินหาจุดเชื่อมต่อที่จะพากลับไปยังเซนต์คาดิลอร์ฟกันก่อนเถอะ ''

 

สีหน้าของเอ็ดเวิร์ดเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาและจีเนียสราวกับจะออกคำสั่งให้พวกที่เหลือต้องทำตาม ขณะที่เจ้าชายลัวด์ซึ่งอายุเท่ากันกับสองหนุ่มนั้นแอบทำหน้าไม่พอใจอยู่ห่างๆ แต่เขาก็คงคิดหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้เช่นเดียวกัน ทั้ง 6 คนออกเดินกันไปตามชายหาดที่ยังมีคลื่นกระทบอยู่ตลอด ดอกไม้สีแดงนั่นก็ยังคงอยู่ตามพื้นที่เต็มไปหมด และเมื่อเดินมาจนถึงสุดปลายทางด้านนึงของหาดก็พบว่าเหมือนที่นี่จะเป็นเกาะที่ดูห่างไกลจากผู้คน นั่นทำให้พวกเขาต้องเดินลึกเข้าไปด้านในของเกาะแทนกาเดินเลียบไปตามหาดทราย

 

                '' เกาะนี้มันดูคุ้นๆจัง...''

  

               '' หืม นายเป็นอะไรน่ะลอว์เรนซ์ เกาะนี้มีอะไรให้สะกิดใจเหรอ? ''

 

เธียร์เอ่ยถามลอว์เรนซ์ที่ดูสนอกสนใจสิ่งรอบตัวมากเป็นพิเศษ ใบหน้านั้นราวกับกำลังระลึกนึกถึงอะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งเขาจับสังเกตได้ 

 

                    '' แค่รู้สึกว่าฉันก็เคยมาสถานที่แบบนี้ แต่ก็อาจจะคิดไปเองก็ได้ จะว่าไปแล้วดอกไม้สีแดงนั่นมันมีอยู่ที่ไครซิสต์ด้วยงั้นเหรอ ฉันก็เคยอ่านหนังสือแนวนี้มาบ้าง ไม่รู้สึกว่าคุ้นตาเท่าไหร่ ''

  

                    '' ไม่มีดอกไม้แบบนี้ในไครซิสต์หรอก เพราะเจ้าสิ่งนี้มันพบได้แค่ที่...ดินแดนของพวกหมาป่าเท่านั้น ''

 

นัยต์ตาสีแดงอ่อนคู่นั้นเพ่งมองไปที่ดอกไม้ที่พูดถึงอย่างจริงจัง สิ่งนี้มีลักษณะของดอกที่ออกสีแดงสดจนเหมือนเลือด มีกลีบที่เรียวเล็กประมาณสี่ถึงห้ากลีบ ลำต้นยาวและมีเกสรสีแดงเลือดอยู่ตรงกลางเหมือนกลีบด้านนอกเช่นเดียวกัน ที่เด็กหนุ่มพอจะรู้ได้ เพราะตั้งแต่สมัยเด็กเขาคลุกคลีอยู่กับป่าและพันธุ์ไม้มานาน ศึกษาเรื่องราวต่างๆมาก็มากมายนัก จึงทราบดีว่านี่ไม่ใช่พืชที่มีอยู่ในโลกของแวมไพร์อย่างแน่นอน มิหนำซ้ำคราวนี้ความสามารถพิเศษที่เขามี กลับไม่สามารถใช้เพื่อฟังเสียงดอกไม้สีแดงเหล่านี้ได้เลย ไม่แน่บางทีอาจเป็นเพราะมิตินี้หรืออาจจะเพราะมนตร์ดำที่กำลังพูดถึงกันอยู่ก็เป็นได้

 

                     '' มิติแห่งนี้คงทำขึ้นเพื่อพวกเราโดยเฉพาะเลยงั้นสินะ ถ้านี่เป็นฝีมือของพวกหมาป่าหรือใครก็ตามที่คิดบงการพวกมันอยู่ เราก็คงต้องหาตัวคนพวกนั้นให้เจอ ''

 

ยิ่งครุ่นคิดแบบนั้นไปก็ยิ่งไม่ค่อยสบายใจมากขึ้นไปอีก ลอว์เรนซ์รับรู้ได้ถึงภัยอันตรายบางอย่างที่พวกเขากำลังถลำลึกเข้าไปหามัน ร่างสูงของเจ้าชายรุ่นพี่ทั้งสองมาหยุดยืนที่กลางวงล้อมของดอกไม้ต้องมนตร์นั่น ทำให้คนอื่นๆพากันหยุดเดิน เมื่อรู้สึกตัวว่าเหมือนสิ่งที่ล้อมอบอยู่นั้นกำลังเคลื่อนไหว ดอกไม้สีแดงเริ่มแผ่กลิ่นหอมที่ชวนให้หลงใหลหนักขึ้นไปอีก เกสรสีแดงของมันเริ่มสั่นไหวปลดปล่อยสิ่งที่เรียกกันว่าละอองเกสรออกมา เพื่อให้กระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ ละอองสีแดงนั่นราวกับเป็นหิมะสีเลือดที่กำลังโปรยปรายในฤดูหนาว และแล้วแผ่นดินไหวขนาดย่อมที่ยังคงความรุนแรงก็เกิดขึ้นที่ตรงกลางลานนั้น พื้นดินเริ่มแยกตัวออกจากกันจนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ เจ้าชายทั้ง 6 พระองค์ต่างตกใจพากันกระโดดพุ่งตัวไปคนละทิศละทาง

 

                   '' แผ่นดินไหวแบบนี้มัน ที่พื้นนั่นมันอะไรกันน่ะ!? ''

 

                   '' สิ่งนั้นมันคือ...''

  

                   '' ศาสตราทั้ง 6 แห่งตระกูลเกอร์กอม อัศวินผู้เก่งกล้าแห่งไอริณ ประเทศที่สาบสูญ หึ ชักจะน่าสนุกขึ้นมาแล้วสิ ''

 

จีเนียสยิ้มกริ่มรำพึงอยู่คนเดียว โดนไม่ได้สนใจว่าใครจะมาคิดตามคำพูดของเขารึไม่ ที่พื้นซึ่งเกิดช่องว่างนั้น ละอองเกสรสีแดงได้รวมตัวกันขึ้นมากลายเป็นสิ่งที่มีรปร่างลักษณะเหมือนกับสิ่งของบางอย่างทั้ง 6 ชนิด เสมือนเป็นการจำลองภาพให้พวกเขาได้เห็น เจ้าชายทั้งหกลอยตัวอยู่สักครู่ก่อนที่จะแน่ใจว่าไม่มีแผ่นดินไหวแล้ว พวกเขาจึงกลับลงมาปักหลักอยู่ที่พื้น เพื่อเข้าไปดูภาพเกสรสีแดงจำลองนั่นแต่เมื่อลงมาถึง เหล่าเกสรก็สร้างละอองขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับพายุหมุนที่เริ่มพัดวนรอบกายตีแผ่อาณาเขตล้อมกายพวกเขาไว้ เพราะเป็นดอกไม้ที่มีมนตร์ดำ แค่เพียงสัมผัสโดนละอองที่หมุนวนเพื่อจะฝ่าออกไป ผงเล้กๆของมันก็เข้าบาดและกรีดเนื้อจนเป็นแผล เนออนร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อแตะถูกเจ้าละอองเกสรนั่น มือซ้ายของเขาแสบไปหมดและมีเลือดไหลออกมาจากฝ่ามือ

  

                '' โอ๊ยยย!! อะไรกัน เกสรของดอกไม้นี่มัน...ฉัน แสบไปหมดเลย บ้าจริง! ''

  

               '' สิ่งนี้ต้องมนตร์ดำนะเนออน นายอย่าไปจับมันซี้ซั้วสิ เจ็บมากไหม ทนไหวรึเปล่า!? ''

 

แม้จะพยายามพยักหน้าเพื่อแกล้งพูดว่ายังพอไหว แต่สีหน้าของเนออนกลับซีดเผือด เขากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บ เลือดยังคงไหลนองไม่ยอมหยุด ลอว์เรนซ์จึงให้เธียร์จับแขนเขาเอาไว้ก่อน แล้วนำผ้าเช็ดหน้าของตนเองช่วยซับเลือดให้เนออน อย่างน้อยถ้าห้ามความเจ็บปวดไม่ได้ ก็ควรทำให้เลือดหยุดไหลเสียก่อน ซึ่งเหล่ารุ่นพี่ที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลงก็พยายามคิดหาหนทาง เพราะที่นี่เป็นมิติขอบเขตที่ดูเป็นเอกเทศและทำให้พวกเขากลายเป็นแวมไพร์ที่ไร้เวทย์มนตร์ไปเสียแล้ว ลัวด์ล้วงบางสิ่งบางอย่างในกระเป๋าเสื้อนักเรียนของเขาออกมา มันคือขวดแก้วเล็กๆที่ภายในบรรจุของเหลวสีอำพันเอาไว้

  

                  '' ให้ตายสิ ปล่อยไปแบบนี้ฉันก็คงจะดูใจร้ายกับรุ่นน้องในแคมป์มากเกินไปสินะ พวกนายน่ะจับแขนไว้อย่าให้เขาดิ้นล่ะ เพราะเจ้าสิ่งนี้ฤทธิ์แรงกว่าละอองเกสรนั่นเยอะ ''

 

                   '' เดี๋ยวสิครับ รุ่นพี่จะทำอะไรน่ะ? ''

 

ลอว์เรนซ์กลับไม่ยอมหลีกทางให้และเข้ามาขวางกั้นไม่ให้ลัวด์เข้าไปใกล้เนออน เขาไม่ค่อยไว้ใจผู้ชายคนนี้ เพราะคราวก่อนที่มาทำตัวแย่ๆกับไอริส ถ้าหากหมอนี่เอายาแปลกๆให้เนออนไปล่ะก็คงจะแย่ยิ่งกว่าเดิมแน่ นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยของเด็กหนุ่มจ้องเขม็งอย่างเย็นชาและไม่ละสายตาจากนัยต์ตาสีเขียวคู่นั้นที่จ้องตอบกลับมาเช่นเดียวกัน

 

                   '' บอกตามตรงนะว่า ฉันก็ไม่ค่อยชอบหน้าเด็กอย่างแกที่เข้ามาแส่เรื่องของคนอื่นอยู่ตลอด แต่ถ้าไม่ช่วยตอนนี้ เกสรนั่นก็คือพิษที่กำลังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายเนออนไปเรื่อยๆและอาจคืบคลานเข้าไปกัดกินอวัยวะภายในก็ได้ แกกำลังจะปล่อยให้เขาต้องตายนะ...''

 

ลัวด์ยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์เป็นเชิงว่าลองใจไอ่เด็กตรงหน้า ขระที่จีเนียสและเอ็ดเวิร์ดก็ยืนสังเกตอยู่เงียบๆโดยไม่ออกความคิดเห็น นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยพยายามจับสังเกตจ้องและมองให้ลึกเข้าไป เขาจ้องอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจดีแล้วว่าลัวด์ไม่ได้โกหก จึงได้ยอมหลีกทางให้เขาแต่โดยดี 

             

                   '' ถึงตอนนี้จะอนุญาตให้ไว้ใจได้ แต่ต่อไปฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะ ไอ่เด็กจองหอง...''

 

นัยต์ตาสีเขียวของเขาสบมองลอว์เรนซ์แบบท้าทายชั่วครู่ขณะที่หันมาเปิดฝาขวดยาสีอำพันนั่นออกมา แล้วเดินนำมันมาหยดลงที่มือของเนออนซึ่งเลือดเริ่มหยุดไหลไปบ้างแล้ว

  

                   '' ทนเจ็บสักหน่อยนะ ไม่เกิน 10 วินาทีหรอก รับรองนายจะดีขึ้นในพริบตา''

 

น้ำสีอำพันถูกหยดลงสองสามหยด และแล้วความเจ็บปวดที่ลัวดืเอ่ยถึงก็ปะทุขึ้นมา มันเจ็บจนเหมือนถูกทิ่มแทงไปทั่วทั่งร่างกาย จนเนออนร้องลั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทำให้เธียร์กับลอว์เรนซ์ต้องมาดึงรั้งตัวเขาเอาไว้เพื่อช่วยเรียกสติ ขณะที่คนโม้สรรคุณยาอย่างเจ้าชายแห่งบาฮาวาสได้แต่ยิ้ม แล้วเอ่ยปากนับเลขไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 10 9 8 7 6 5 นับย้อนถอยหลังไปจนกระทั่งถึง 1 

  

                 '' อึ้ก...อ่อกก!! ''

  

                '' เนออน! ทำใจดีๆไว้นะ! ''

 

ร่างสูงของเจ้าชายแห่งซาคาเซียร์ก้มตัวลงมาพร้อมการอาเจียนอย่างหนัก แต่สิ่งที่ออกมานั้นก็คือละอองเกสรพิษที่ดูเหมือนจะไหลตามกันออกมา เป็นภาพที่ไม่น่าดูอย่างยิ่ง แต่ทว่าภายในสิบวินาทีตามที่ลัวด์บอกนั้น แม้ผู้ได้รับยานี้จะเกิดอาการเจ็บปวดเพราะฤทธิ์ของมัน แต่ทว่า สักพักสีหน้าของเนออนก็เริ่มดีขึ้นมาก แผลที่มือมีเพียงแค่รอยที่กำลังสมานตัวเข้ามา เลือดก็หยุดไหลสนิทแล้ว มีเพียงเหงื่อที่ซึมชื้นจากผลข้างเคียงเท่านั้น

  

                  '' เป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ? ''

  

                 '' ครับ...ผมขอบคุณจริงๆ ถ้าไม่ได้รุ่นพี่ช่วยไว้ผมคงแย่แน่ๆ ''

 

                 '' ไม่ต้องคิดมากหรอก หึ...แต่ถ้ากลับกัน คนที่ถูกเกสรพิษกลับเป็นนายขึ้นมา ยานี่ฉันอาจไม่จำเป็นต้องใช้มันก็ได้นะ ''
    
    

                 '' รุ่นพี่ พอสักทีเถอะครับ ''

 

เธียร์ที่เริ่มเหลืออดกับการพูดจาเหน็บแนมของเจ้าชายแห่งบาฮาวาสได้เอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามจะพูดจาไม่ดีใส่เพื่อนของเขาอยู่ตลอดเวลาจนน่าโมโห แต่คนถูกว่าก็ทำเป็นนิ่งเฉย เย็นชาใส่เพราะไม่อยากเก็บมาครุ่นคิดให้เสียอารมณ์เปล่าๆ 

  

                   '' ด้วยพลังแห่งภูษาเวทย์ ที่มีความพิเศษตรงทำให้ผู้ที่ใช้พลังนี้สามารถมองเห็นร่างกายภายในของคนอื่นได้งั้นสินะ เป็นพลังที่น่าสนุกดี แกก็มีดีใช้ได้เหมือนกันนี่ ลัวด์ เลอร์คูล เอลฟิเลียส ''

  

                 '' จมูกแกนี่ก็ไวใช้ได้เลยนะ จีเนียส ฉันเกลียดจริงๆ ไอ่พวกชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นและทำราวกับว่าตัวเองรู้ดีไปซะหมด ''

 

น้ำเสียงเย็นเยียบของจีเนียสกล่าวขึ้นมาท่ามกลางบทสนทนานั่น พลังภูษาเวทย์ที่ว่าของเจ้าชายลัวด์นั้นคืออะไร เขาเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เห็นทีว่าควรจะหาข้อมูลไว้สักหน่อยหลังจากที่กลับออกไปที่โลกเดิมได้ ละอองเกสรพิษเริ่มสลายตัวออกไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงต้องระมัดระวังตัว เอ็ดเวิร์ดเข้ามาปรามจีเนียสเพื่อไม่ให้ไปยั่วยุใครแบบไม่เข้าหูอีก ก่อนที่จะนำพวกที่เหลือเดินเข้าใกล้กับศาสตราจำลอง ขณะเดียวกันเสียงเพลงบรรเลงที่เกิดจากดอกไม้สีแดงสดนั่นก็เริ่มประโคมขึ้น เหมือนมีใครกำลังควบคุมมัน เสียงปริศนาของใครบางคนดังก้องเข้ามาในหู หัวใจของลอว์เรนซ์เต้นรัวเร็วด้วยความตื่นตระหนก มันดังออกมาจนแทบจะระเบิด เสียงนี้...เป็นเสียงของชายคนนั้น บุรุษปริศนาที่เขาพบเห็นเลือนรางในความฝัน นัย๖ตาสีฟ้าคู่สวยเผลอวูบหลับลงไปชั่วครู่ ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ารอบๆตัวไม่เหลือทั้งหาดทรายและทะเลที่พวกเขาพึ่งเดินมา แต่มีเพียงแค่ศาสตราเสมือนจริงที่ลอยตัวอยู่ด้านบน พร้อมกับกลีบดอกไม้สีแดงที่ปลิวว่อนไปทั่วแบ็คกราวมิติสีดำสนิท เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งในความมืดเริ่มดังกึกก้องจนปวดปวดหัวไปหมด เจ้าชายทั้งหกได้แต่ร้องใส่เจ้าของเสียงปริศนาเพื่อหาที่มาของมัน

 

                      '' แสดงตัวออกมาสิเจ้าคนขี้ขลาด! ''

 

                     '' ฉันไม่ว่างจะมาเดินเล่นบนมิติเน่าๆของแกหรอกนะ โผล่หัวออกมาซะ...''

 

คำท้าทายอย่างโกรธเกรี้ยวปนรำคาญของจีเนียสกับเอ็ดเวิร์ดส่งผลให้เจ้าของเสียงปริศนานั่นหัวเราะอย่างถูกใจ ก่อนที่เงาดำทมึนของมันจะโผล่มาตรงกลางระหว่างพวกเขากับศาสตราทั้ง 6 แต่ทว่ากลับไม่มีใครขยับตัวได้แม้แต่คนเดียว ร่างของสิ่งนั้นมีแต่กลิ่นไอของมนตร์ดำคละคลุ้งจนแทบอยากจะอาเจียน เพราะมันรุนแรงมากจนไม่อาจเข้าใกล้มากกว่านี้ เงานั่นเริ่มกลายร่างทีละน้อย ผ้าคลุมยาวสีดำที่หมวกมาพร้อมร่างของบุรุษปริศนาที่เหมือนกับโผล่มาในฝันของลอว์เรนซ์ ผมด้านหน้าที่เกินหมวกคลุมออกมานั้นเป็นสีบรอนด์ มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ชวนขนหัวลุก แต่ก็ยังไม่อาจเห็นหน้าคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน

 

                      '' แกเป็นใครกัน...''

    

                      ' พวกแกยังไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้ว่าฉันเป็นใคร แต่ขอเตือนเลยว่าที่นี่คืออาณาเขตแห่งมนตร์ดำ พวกแกไม่มีทางที่จะใช้เวทมนตร์ต่อกรกับฉันคนนี้ได้'

  

                    '' อะไรกัน แกกลัวฉันจะชนะเหรอ ถึงรีบชิงตัดมือตัดเท้า ให้ตัวเองได้เปรียบอยู่คนเดียวแบบนี้ ไอ้ขี้ขลาด...''
    

                  ' ระวังปากของแกไว้เถอะจีเนียส ไพน์เออเนียร์ ตอนนี้มันยังถึงเวลานั้น ที่มาในวันนี้ฉันแค่อยากมาพุดคุยด้วยนิดหน่อย ว่าพวกแกจะสนใจข้อเสนอนี้หรือเปล่า ลองฟังดูไหมล่ะ? '

 

เสียงของบุรุษผู้นันเย้นเยียบและบ่งบอกว่ามันเอาจริงแน่ถ้าหากยังคิดจะท้าทายไม่หยุด ลอว์เรนซ์พยายามจะสังเกตใบหน้าของมันแต่ก็ไม่อาจทำได้ ขณะที่เจ้าตัวหัวเราะหึๆอีกครั้ง เรียกความสนใจจากเหล่าเจ้าชายผู้ถูกตรึงร่างอยู่กลางอากาศ

  

                   '' ข้อเสนองั้นรึ....''

  

                   ' คงเคยได้ยินเรื่องของอัศวินทั้งหกจากตระกูลเกอร์กอม ซึ่งครอบครองอาวุธทั้ง 6 ชนิดนั่นก็คือ 1.นาฬิกาพกสีทอง 2.หน้ากากแห่งชีวิต 3.ดาบแห่งสุริยัน 4.กำไลข้อมือสีเงิน 5.อาวุธไร้รูปร่างหรือก็คือปัญญาและจิตวิญญาณ 6.แหวนแห่งนภา ถ้าไม่เคยได้ฟังหรือศึกษามาบ้าง บรรพบุรุษคนสำคัยรุ่นต่อรุ่นของพวกแกคงร่ำไห้น่าดู...'

 

                  '' ถ้าเคยได้ยินมาแล้วมันยังไงงั้นเหรอ ต้องการอะไรก็พูดมาให้ชัดๆเลยสิ ''

 

ลอว์เรนซ์เริ่มเป็นฝ่ายเร่งรัดบ้าง เจ้าของเสียงหยุดมองไปที่เขาอย่างจงใจพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก

  

                  ' จิตวิญญาณใหม่ที่แข็งแกร่ง นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันคนนี้ต้องการ ดังนั้นศาสตราทั้ง 6 นั่น ฉันจะมาขอรับมันและจะตามล่าผู้ใดก็ตามที่ริอาจเก็บหรือซุกซ่อนมันจากฉัน ฉันจะประกาศเรื่องนี้ออกไปให้ทั้งไครซิสต์ต้องล่วงรู้ ว่าพวกแกก็คือตัวหมากที่ฉันจะใช้เดินยังไงล่ะ....'

  

                  '' คิดจะสร้างความวุ่นวายด้วยการใช้ว่าที่รัชทายาทอย่างพวกเราทั้ง 6 มาเป็นหลักค้ำประกันใช่ไหมล่ะ ไอ่เลว ''

  

                   ' จะว่าถูกก็ถูกจะว่าไม่ใช่ก็ได้นะ แต่พวกแกมีประโยชน์มากกว่านั้นซะอีก รู้ตัวไหม ฉันจะทดสอบให้ดูก็ได้นะ '
 

เปาะ!

เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ร่างปริศนานั้นดีดนิ้วเปาะเป็นสัญญาณ ร่างกายของพวกเขาก็ราวกับถูกตรึงจนแทบหายใจไม่ออก ความอึดอัดทรมานเริ่มถาโถมเข้ามา หัวใจเริ่มเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ ตาค้างและเหงื่อไหลออกมา เลือดเค็มเฝื่อนไหลออกมาจากร่างกายผ่านทางปากและใบหูของพวกเขา โดยไม่สามารถที่จะเปล่งเสียงร้องออกมาได้สักคำ ภาพในหัวเริ่มเบลอแลพร่ามัวไปหมด มีไอสีขาวแผ่จากร่างกายของพวกเขาเข้าไปหายังเจ้าของร่างปริศนาที่ยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ เหล่าเจ้าชายได้กลิ่นของตนเองจากไอสีขาวนั่น

  

                 ' นั่นมัน ไอวิญญาณของพวกเรา !! '

 

เป็นเสียงสบถที่ลั่นอยู่ภายในใจแต่ไม่อาจเค้นออกมาเป็นคำพูดได้ ร่างปริสนานั่นกำลังดูดกลืนไอวิญญาณบางส่วนของพวกเขาเข้าไปไว้ในร่างของมัน ไม่มีผู้ใดที่ขัดขืนได้ แม้จะพยายามขยับร่างกายจนแทบจะกระอักเลือดก็ตามที มันหัวเราะร่วนเสียงดังกึกก้องอีกครั้งด้วยความสะใจ

  

               ' โทษทีนะ ฉันขอรับวิญญาณส่วนนึงของแกไปก่อนก็แล้วกัน วิญญาณของแวมไพร์เองก็เหมือนกับมนุษย์ มีด้วยกันถึง 21 ส่วน แค่ส่วนเดียวที่เอามารับรองพวกแกไม่ถึงตายหรอก แต่จงจำไว้ว่านี่คือการประกาศศึกจากฉัน เมื่อใดที่ทางไครซิสตืไม่ยอมส่งมอบศาสตราให้แก่เรา ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตาม สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์จะต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าพวกแกคนใดที่สามารถนำศาสตรามาให้แก่ฉันคนนี้ได้แม้เพียงชิ้นเดียว ฉันจะคืนวิญญาณส่วนนี้ให้ แต่หากผ่านพ้นพิธีชโลมโลหิตไปแล้วยังไม่สามารถหามาจนครบได้ วิญญาณครึ่งนึงของพวกแกจะต้องตกเป็นของฉันคนนี้...เป็นไง ง่ายดีใช่ไหมล่ะ '

    ' อ้อ แล้วก็อีกเรื่องนึง เด็กสาวคนนั้น เป็นบุคคลสำคัญของทางฉัน ถ้าหากพวกแกแตะต้องหรือซ่อนตัวเธอเอาไว้ อาจจะทำให้ต้องตายเร็วขึ้นก็ได้นะ...'

 

ภายในใจของพวกเขาร้อนรุ่มและโกรธเกรี้ยวราวกับถูกไฟเผา เมื่อต้องนั่งฟังข้อเสนอบ้าๆที่มันริอาจเอาชีวิตพวกเขาเป็นตัวเดินหมากในครั้งนี้ เรื่องราวนี้กำลังจะถูกเผยแพร่ออกไปจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ไครซิสต์เป็นแน่ มันคือกติกาที่เอื้อประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวและพวกเขากำลังถูกบังคับให้ลงเล่นในเกมส์ที่เสียเปรียบแบบสุดๆ โดยไม่อาจจะโต้แย้งได้ หลังสิ้นสุดคำพูดนั้น ร่างปริศนาก็ดีดนิ้วเป็นสัญญาณอีกครั้ง ให้พวกเขาซึมซับภาพของศาสตราทั้งหกชิ้นไว้โดยขึ้นใจ ก่อนที่จะหายตัวไปพร้อมคำกระซิบที่ข้างหูของลอว์เรนซ์อันแผ่วเบาและน่าขนลุก ว่า

    

                  ' จิตวิญญาณเดิมของฉันได้ตายลงไปแล้ว เพราะนายนั่นแหละ...เด็กผู้ถือครองคำสาปที่ฉันปรารถนา '

 

 

 

 

 

 

 

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป