Your Wishlist

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์) (Rewrite) (09 สัญญาณแห่งลางร้าย (Rewrite))

Author: Sayyeon

" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "

จำนวนตอน : N/A

09 สัญญาณแห่งลางร้าย (Rewrite)

  • 31/07/2564

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์)
ภาค 1 ศึกปะทะอัศวินแห่งความมืด

    

 

 

 

 

 

 

                  'หน้าที่ของอัศวิน...คือการได้ต่อสู้เพื่อกษัตริย์และเสียสละต่อแผ่นดิน'

น้ำเสียงทรงอำนาจของชายร่างยักษ์เอื้อนเอ่ยด้วยมาดแห่งผู้นำ ชุดเกราะเหล็กกล้าสีเงินที่คลุมร่างกายนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นนักสู้ผู้กล้าแกร่ง ส่วนหมวกที่คลุมปิดทำให้มองไม่เห็นส่วนใบหน้าของเขา ที่บริเวณมือหยาบหนาข้างซ้ายนั้นกำลังถือโล่โลหะชั้นดีที่เด่นจ้าท่ามกลางแสงไฟภายในห้องโถงอันกว้างขวางโอ่อ่า บรรดาเหล่านักรบอัศวินผู้กล้าทั้งหลายต่างพากันยืนเรียงแถวเป็นระเบียบด้วยความพร้อมเพรียง ปากก็เริ่มเอ่ยคำพูดสรรเสริญและกล่าวขานเผ่าพันธุ์ของตนเองตามประสานักสู้

  

                'เทพธิดาแห่งชัยชนะต้องขึ้นกับเราเหล่าแวมไพร์ หาใช่พวกหมาป่าชั้นต่ำ...'

       

               'วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของบรรพชนแห่งข้า โปรดมอบพลังให้แก่พวกเราด้วยเถิด '

  

                 'จงชี้นำทางแก่อัศวินผู้กล้า หาใช่หมาป่าผู้ต่ำต้อย..'

 

ประโยคที่แสนบ่งชัดว่าออกจะให้กำลังตนเองอยู่นั้นยังคงจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ถ้าหากไม่ใช่อยู่ๆความเงียบงันกลับบังเกิดขึ้นมาฉับพลันเกือบได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจหลายดวงที่เต้นรำจนแทบหลุดกระเด็นออกมานอกอกเมื่อสัมผัสได้เสียก่อนว่ามี..ไอแห่งการเข่นฆ่าพุ่งเข้ามาใกล้  จิตสังหารที่แสนชวนขนหัวลุกของใครบางคนหรืออาจจะเป็นอะไรบางอย่าง...

 

                    'ทุกคน! มันมาแล้ว! เตรียมรับมือ'

 

สิ้นสุดคำสั่งนั้น ร่างสูงของเหล่าอัศวินทุกคนก็รีบเข้าประจำที่ ดาบแหลมคมถูกชักฟึ่บออกจากฝักอยากรวดเร็วเตรียมพร้อมสำหรับรับมือ แสงสว่างภายในห้องดับวูบลงจนมืดสนิท กลิ่นสาบเหม็นคลุ้งลอยเข้ามาเตะจมูกจนอยากอาเจียน

 

                       ' ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!'

 

เสียงหัวเราะปริศนาดังก้องกังวานลั่นไปทั่วบริเวณ มันเป็นเสียงแห่งหายนะที่ทั้งน่ากลัวและอำมหิต เล่นเอาเลือดในกายพลันเย็นเยียบ

   

                      'แกเป็นใคร ! โผล่หัวออกมาสิ! '

 

หัวหน้าอัศวินคนเก่งร้องท้าทายด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว กระชับดาบในมือแน่นพร้อมกับโล่คู่ใจ พยายามใช้จิตกวาดมองไปรอบๆฝ่าความมืดมิดออกไป

 

                      'อยู่ตรงหน้าแกเเล้วนี่ไง...'

 

ใบหน้าของหมาป่าตัวใหญ่สีดำโผล่พรวดออกมาจากเงามืด เสียงเคร้งๆของดาบและพลังอันแรงกล้าของหมาป่าเริ่มเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร เหล่าอัศวินที่เหลือนั้นก็ไม่มีเวลาจะเข้าไปช่วยหรือขัดการต่อสู้นั้น เพราะขณะนี้เจ้าพวกหมาป่าตัวอื่นได้บุกเข้ามาหาถึงที่อีกหลายตน พวกเขามีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องพร้อมปะทะเดี๋ยวนี้แล้ว...สิ่งที่พวกเขาหวังพึ่งก็คือบุรุษอัศวินผู้กล้าแกร่งทั้ง 6 ที่จะเป็นที่พึ่งได้ในยามนี้ พลังของอัศวินผู้กล้าเหล่านั้นถือเป็นที่สุด

แล้วทุกสิ่งก็ดำมืดอีกครั้ง...ภาพทุกภาพเมื่อครู่หายไป ลอว์เรนซ์ไม่เข้าใจสักนิด...ว่าภาพเมื่อกี้ที่ตนเห็นนั่นมันหมายความว่าอะไร และตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน เพราะมองไปก็เห็นแค่เพียงความมืดที่รายล้อมรอบตัวอยู่เท่านั้น หัวใจพลันกระตุกวูบเมื่อสัมผัสได้ว่าทั้งตัวนั้นไม่มี...ทั้งแหวนพิธีกรรมและดาบ จะเรียกไวเปอร์ออกมาก็ทำไม่ได้เสียแล้ว

 

                '...อัศวินคือผู้ที่ปกป้องกษัตริย์และเสียสละชีพได้เพื่อแผ่นดิน เพื่อองค์หญิงแห่งข้าและพวกพ้อง ข้าจะปกป้องพวกเขา '

 

                ' ส่งตัวนังเด็กนั่นมา มันเป็นของข้า พวกแกนั่นแหละที่จะต้องหายไปซะ'

 

ภาพของเด็กหนุ่มร่างสูงผมสีบรอนด์ปรากฎขึ้นท่ามกลางความมืด แต่เพราะอะไรสักอย่างทำให้ลอว์เรนซ์มองไม่เห็นส่วนใบหน้าของเขาคนนั้นเลย...มีเพียงแค่รอยยิ้มมุมปากอันน่าขนลุกที่กำลังปรากฎออกมา ลอว์เรนซ์รู้สึกหัวหมุนติ้วไปหมด เขากำลังสับสนและไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ภาพทุกอย่างที่เขาเห็นตรงหน้าถูกหยุดนิ่งลงราวกับเวลาที่ถูกหยุดเดิน มีเพียงแค่เขากับเด็กหนุ่มปริศนาตรงหน้าที่กำลังประจัญหน้ากัน

  

                  'นายเป็นใคร..?'

 

คำถามถูกส่งไปยังเด็กหนุ่มผมบรอนด์ผู้นั้นทันทีแต่เขาก็เพียงนิ่งไปนิด ก่อนจะตอบกลับมา

    

                  'ฉันคือผู้ท้าชิงที่จะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากนายยังไงล่ะ ลอว์เรนซ์ เซอแลนเซียร์ เวสเบิร์ก '

 

ลอว์เรนซ์นึกฉงนกับคำตอบนั้นของฝ่ายตรงข้าม เขาพยายามจะเข้าไปใกล้เพื่อเพ่งมองใบหน้าของคนคนนั้นให้ชัดเจน แต่ไม่ทันที่จะได้ถามอะไรต่อ ราวกับว่ามีไอเวทย์ประหลาดมากระทบตัว ร่างของเจ้าชายแห่งราลเดรูลน์ถูกอะไรบางอย่างดูด...ดูดลงไปในหลุมดำอันน่ากลัว ไม่อาจจะขยับตัวหรือแม้แต่จะหนีไปไหนพ้น ร่างสูงพยายามตะเกียกตะกายให้พ้นจากหลุมดำนั่นอย่างไร้ผล เขาไม่สามารถที่จะขยับตัวหรือใช้เวทย์มนตร์ได้เลยสักนิด 

 

                       'แล้ววันหนึ่งนายก็จะรู้เองว่าฉันเป็นใคร'

 

คำพูดทิ้งท้ายจากปากเด็กหนุ่มผมสีบรอนด์คนนั้น...ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างห้องพักของหอพักรอนเดลเข้ามา นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยเบิกตาตื่นขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก ใบหน้าขาวซีดนั้นส่อแววของความหวาดกลัวอันปิดไม่มิด หัวใจเต้นรัวแรงและหอบถี่ เหงื่อไหลโทรมกายจนเปียกโชก ทำเอารูมเมทอีกคนที่อยู่ในห้องจับสังเกตได้จนต้องถามไถ่อาการเขาในเบื้องต้นทันที

  

                  '' ลอว์เรนซ์ นายเป็นอะไรรึเปล่าครับ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ"

สรรพนามค่อยเปลี่ยนเป็นดีขึ้นหน่อยหลังจากที่ตกลงกันไว้แล้วว่ามันออกจะไพเราะเกินไปสำหรับลอว์เรนซ์ เด็กหนุ่มหันหน้ามองตามเสียงร้องทัก ครุ่นคิดอะไรอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจตอบเลี่ยงๆออกไป เพรามันคงเป็นแค่ความกังวลที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น แต่ไหนแต่ไรตัวเขาเองก็มักจะชอบฝันถึงเรื่องราวประหลาดๆแบบนี้อยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ครั้งที่ถูกส่งไปอยู่ที่โลกมนุษย์แล้ว 

 

                   ''เปล่า...แค่ฝันร้าย''

 

                   ''งั้นรึครับ? ''

 

ลอว์เรนซ์ผงกหัวรับคำ แต่ก็เหมือนจะรับรู้ว่าชิเรไม่ได้เชื่อที่เขาพูดสักเท่าไหร่เลยก็ตาม เพราะหมอนี่เป็นนักจับผิดและช่างสังเกตตัวยงเลยก็ว่าได้ แต่ไอ้ฝันบ้าๆนั่นมันราวกับเป็นเรื่องจริง... ให้ตายสิวะ มาอยู่หอวันแรกก็เจอการต้อนรับแบบนี้ซะแล้วเรอะ! ลอว์เรนซ์ส่ายหัวแบบปลงๆ ก่อนจะทำใจให้สงบแล้วลุกไปอาบน้ำแต่งตัว เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าเรียนในวันแรก เขาพยายามวักน้ำมาล้างหน้าให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มความเย็นลงไปจะได้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายลงได้บ้าง

เมื่อมาถึงบริเวณโรงอาหาร นักเรียนมากมายจากทุกชั้นปี ก็พากันมาหาที่นั่ง จองโต๊ะกันเป็นกลุ่มเป็นแก๊ง เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวสมกับเป็นการต้อนรับเปิดเทอม ลอว์เรนซ์กับชิเรที่เดินฝ่าผู้คนจนมาถึงหน้าร้านอาหาร ก็ถูกไซม่อนโบกมือและร้องเรียกเสียงดัง หลังสั่งอาหารเสร็จ สองหนุ่มก็เดินนำจานอาหารเช้ามาวางลงที่โต๊ะอย่างสงบ แต่เหมือนลอว์เรนซ์กลับไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่ ยิ่งคิดเรื่องความฝันนั่นก็เหมือนจะยิ่งทำให้อาหารที่ตักเข้าปากเฝื่อนคอไปหมด ส่วนเจ้ารูมเมทนั่นก็ยังคงทำตัวเหมือนห้องสมุดเดินได้ เอาแต่อ่านหนังสือที่พกติดตัว(แทบจะตลอด) จนแทบไม่สนใจข้าวปลาอาหารตรงหน้า ประหนึ่งว่าไปซื้อข้าวเป็นเพื่อนเขาเฉยๆมากกว่า 

 

                    '' อรุณสวัสดิ์ลอว์เรนซ์"

 

น้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยคุ้นหูดังขึ้นข้างตัว เมื่อมองไปตามเสียงเรียก ลอว์เรนซ์ก็พบว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ เขามีใบหน้าออกไปทางผู้ชายหน้าหวาน จมูกโด่งเป็นสัน มีรูปร่างสูงโปร่ง นัยต์ตาสีแดงอ่อนผมสีดำสนิท ให้ความรู้สึกเจ้าเล่ห์แต่ก็อ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ขณะที่อีกคนมีออร่าความสง่าผ่าเผย รอยยิ้มเป็นมิตรและอบอุ่นคล้ายกับเนออน มีดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล และผมสีน้ำตาลอ่อน ทั้งสองคนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสมาชิกที่ห้องของเขา แม้จะยังไม่รู้จักชื่อทุกคนแต่ลอว์เรนซ์ก็จดจำใบหน้ากันไว้บ้างแล้ว

    

                    "พวกฉันขอนั่งด้วยได้ไหม?"

  

                    "ตามสบาย"

 

ลอว์เรนซ์ตอบสั้นอย่างเคยนิสัย

 

                    "หมอนี่คือรูมเมทฉันเองแหละ" 

 

ไซม่อนผายมือไปทางหนุ่มน้อยผมดกดำ นัยต์ตาสีแดงอ่อนคู่นั้นสบมองลอว์เรนซ์อย่างเป็นมิตรพร้อมรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาราวกับเป็นเด็กๆ แต่เพียงมองปราดเดียวเขาก็พอรู้ว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา 

 

                    "ยินดีที่รู้จัก ฉันชื่อเธียร์ เออร์นิซ แวนคูเวทส์ เป็นเจ้าชายจากประเทศแซคคาริเบียน"

 

และแล้วว่าที่รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์อีกคนหนึ่งก็มาปรากฎตัวที่ตรงหน้าเขาในฐานะเพื่อนร่วมชั้น ลอว์เรนซ์ที่อ่านประวัติคร่าวๆมาบ้างแล้วก็จดจำชื่อนี้ได้ดี และเขาก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาอยู่ร่วมห้องกับหนึ่งในผู้ที่จะเป็นคู่แข่งของเขาในอนาคต มือข้างหนึ่งถูกยื่นมาจับ ซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธไมตรีนั้นแต่อย่างใด ขณะที่พ่อหนุ่มหล่อนัยต์ตาสีฟ้าน้ำทะเลอีกคนก็แนะนำตัวพร้อมศัพท์ ชื่อของเขาคือ อิวาน เอลเบิร์ต เป็นทายาทของตระกูลนักมายากลชื่อดังทั้งในโลกมนุษย์และแวมไพร์ เพราะสำหรับแวมไพร์การใช้เวทย์มนตร์ได้แม้จะเป็นพลังพิเศษที่พวกเขาได้รับมาจากพระเจ้า แต่มายากลคือวิธีลวงตาที่ไม่ต้องพึ่งพาพลังหรือเวทย์มนตร์ใด จึงทำให้อาชีพนี้เป็นที่ฮือฮาและน่าสนใจอย่างมากสำหรับพวกเขา  ควรจะรู้สึกดีใจรึเปล่านะที่เจอเหล่าผู้ที่เป็นรัชทายาทเช่นเดียวกับเขาทีละคนแบบนี้อยู่ร่ำไป... และการได้พบเจ้าชายผู้เป็นเพื่อนใหม่และหนุ่มนักมายากลก็ทำให้วงสนทนาของทั้งห้าคนกลายเป็นกลุ่มที่ดูจะสดใสขึ้นมาหน่อย จนลอว์เรนซ์ลืมเรื่องของความฝันประหลาดที่เกิดขึ้นนั้นไปเสียสนิท...

 

 

 

 

========================================

 

 

 

              ในวิชาแรกของวันนี้เป็นวิชาประวัติศาสตร์โลกแวมไพร์ที่เหมือนชื่อจะดูน่าสนใจสำหรับเหล่านักเรียนปี 1 ของแคมป์รอนเดลก็ตามที แต่มันก็เป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้น เพราะติดตรงที่ว่าอาจารย์ที่สอนคือ ไรเชล แกรนด์สมิท อาจารย์สอนเด็กปี 1 ที่เปิดการสอนวิชาแบบไม่ค่อยน่าสนใจเข้ากับเนื้อหาเสียเท่าไหร่ ซึ่งก็คงไม่แปลกใจเพราะด้วยน้ำเสียงที่แสนพิลึกชวนหลับเป็นที่สุดนั่นก็คงจะเป็นตัวขับกล่อมชั้นดีพาเด็กๆผู้น่ารักให้ไปเรียนต่อเองในความฝัน เป็นครั้งแรกที่ลอว์เรนซ์ร้สึกว่าประวัติศาสตร์เขาอ่านเองยังสนุกกว่ามากนัก

  

                   "เฮ้อ...--"

 

ลอว์เรนซ์ถอนหายใจเบา เมื่อพบว่าไซม่อนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของตนเองเอากองหนังสือมาวางตั้งเป็นทำนบเรียบร้อยก่อนจะก้มหัวเข้าฌานไปแบบไม่เกรงใจอาจารย์แกซะอย่างงั้น โชคยังดีหน่อยที่ชิเรรูมเมทของเขานั้นยังรักษาภาพพจน์ของผู้เป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ ตั้งใจจดเลคเชอร์อย่างดี พร้อมกับหยิบแว่นตามาใส่ด้วย ซึ่งนั่นเป็นนิสัยของเขาที่เมื่อกำลังใจจดจ่อแบบไม่สนสิ่งใด เด็กหนุ่มจะหยิบแว่นขึ้นมาสวม เวลาอ่านหนังสือก็เป็นบางครั้งที่เขาทำอย่างนั้น ถ้าเนื้อหาของสิ่งนั้นดูทำให้ชิเรต้องเพ่งหนักเป็นพิเศษ แต่ปัญหาก็คือ...เจ้าชายอีกคนหนึ่งที่เขาพึ่งจะรู้จักไม่ถึงชั่วโมง ที่ทำให้เขากับไอริสต้องปวดกบาล ก็พอถึงคาบเรียนแรกเข้าหน่อยเท่านั้น มันก็ดันมุดหัวหายตัวไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ (ง่ายๆคือโดดร่ม) ทั้งที่นี่เป็นคาบแรกแท้ๆ ถือว่าหมอนี่ใจกล้าอยู่ไม่น้อย 

  

                    "เอาล่ะ...เปิดไปหน้า 15 เราจะมาพูดถึงเรื่องของเผ่าพันธ์อื่นด้วยในเนื้อหาของหน้านี้ โดยเฉพาะเรื่องของหมาป่า..."

 

อาจารย์ไรเชลกระแอมเบาๆ นักเรียนทุกคนต่างเริ่มตั้งใจฟังขึ้นมาทันทีในหัวข้อนี้ และก็มีใครคนหนึ่งที่แอบหูกระดิกนิดๆทั้งที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างๆลอว์เรนซ์ เพราะเหมือนหัวข้อนี้จะไปสะกิดใจอะไรบางอย่างเข้าให้ 

  

                  "หมาป่านั้นเป็นเผ่าพันธ์ที่มีความแข็งแกร่งมหาศาลพอๆกับแวมไพร์อย่างเราๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือ...สิ่งที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบในการดำรงเผ่าพันธุ์และการต่อสู้ นั่นก็คือเรื่องของพลัง หมาป่านั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวทย์มนต์ที่ถูกประทานมอบให้จากพระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขามีทั้งกำลังกายและพลังอันแกร่งกล้า และการฟื้นสมรรถภาพทางร่างกายที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าแวมไพร์..."

 

ผู้เป็นอาจารย์ยังคงกล่าวอธิบายไปเรื่อยๆ จนยาวมาเข้าเรื่องของพวก 'ไลเคน' แต่ทว่าอยู่ๆเขาก็ตวัดนัยต์ตาสีเทาของตนเองไปยังเจ้านักเรียนที่ตั้งกองหนังสือไว้บังหน้า พร้อมกับยิ้มที่มุมปากนิดๆ

 

                 "ถ้าพูดถึงแล้วสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ค่อยน่าเกิดเท่าไหร่นัก หรืออาจเกิดได้ไม่บ่อยนั่นก็คือ...พวกไลเคน ซึ่งเป็นผลผลิตที่เกิดจากแวมไพร์ผสมกับหมาป่า ความรักในบางทีนั้นก็ไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หากเด็กที่เกิดมาได้ไปอยู่ฝั่งพวกหมาป่าก็คงจะต้องจบชีวิตลงอย่างทรมานด้วยการเผาทั้งเป็น...อันที่จริงแล้ว สมัยก่อนนั้นแวมไพร์เองก็มีกฎเกณฑ์การลงโทษที่หนักกว่านี้....แต่ในปัจจุบันนี้ องค์จักรพรรดิ์ท่านต้องการความสงบมากกว่าการนองเลือด ขอแค่มีเชื้อแวมไพร์หลงเหลืออยู่ ท่านก็ทรงมีพระเมตตามากแล้ว "

 

                  "สมัยก่อนก็มีการลงโทษพวกแวมไพร์ที่ทำผิดกฎด้วยหรือครับอาจารย์"

 

เด็กหนุ่มนามโนเอลเพื่อนร่วมห้องยกมือขึ้นแล้วเอ่ยถามขัดการสาธยายเขาเป็นประเภทที่อยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่ได้คิดร้ายต่อใคร แต่ดูเหมือนการถูกขัดกลางคันนั้นอาจารย์ไรเชลแอบเบะหน้าไม่พอใจเพียงชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะตกลงใจยอมตอบคำถามนั้น

  

                    "อื้ม...ก็มีหลากหลายวิธีให้เลือกสรร....ทั้งตัดคอเสียบศีรษะประจาน เพื่อให้รับรู้ถึงโทษของการกระทำอันไร้ศักดิ์ศรี จับโยนถ่วงน้ำที่เย็นราวกับขั้วโลกให้ลงไปตายพร้อมกับลูกในท้อง...บังคับให้กินยาพิษเพื่อเอาเด็กในครรภ์ออกมาแล้วนำไปเป็นวัตถุดิบสำหรับยาบางอย่าง ก็ดูเป็นประโยชน์กว่าปล่อยให้พวกเด็กเชื้อสายเลือดโสมมแบบนี้กำเนิดมา ฉันขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าองค์จักรพรรดิ์รุ่นแรกๆนั้นเด็ดขาดและเหี้ยมโหดกว่านี้ แต่วิธีการในอดีตโดยรวมแล้วมันก็น่าสนใจดี ไอ้พวกที่ผิดกฎไม่ควรจะได้รับการอภัย"

 

ปึ้ง!!

 

ทว่ากลับมีเสียงอีกเสียงดังลั่นขัดการอธิบายอีกครั้งหนึ่ง จนคนทั้งห้องตกใจต้องหันไปมองตามต้นเสียงก็พบว่าผู้กระทำคือ...ไซม่อน บัสเดวิล ทายาทนักรบฝั่งตะวันออกที่บัดนี้มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวโมโห มือสองข้างทาบอยู่กับโต๊ะที่พึ่งทุบไปหมาดๆ เริ่มกัดฟันกรอดๆพยายามส่งเสียงที่บอกถึงความไม่สบอารมณ์ออกมา เพราะเขาทนฟังคำพูดพล่อยๆแบบนี้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ด้วยเหตุผลที่คนอย่างเขาก็มีเชื้อสายไลเคน เป็นชนชั้นทางสังคมที่ใครๆก็ดูถูกและไม่ค่อยยอมรับ แม้โลกทัศน์จะเปิดกว้างก็หาใช่ว่าจิตใจผู้คนจะเปิดกว้างตามไปด้วย คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่การสอนแต่เป็นการยั่วโมโห ทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรให้อาจารย์ผู้นี้แค้นเคองมาก่อนเลยสักครั้ง

  

                 "หยุดพูดได้แล้ว! สิ่งที่อาจารย์อธิบายน่ะ มันเกินกว่าเหตุไปแล้วนะ!"

 

ประโยคนั่นทำให้ลอว์เรนซ์เริ่มจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง เมื่อระลึกนึกถึงเหตุการณ์ที่ไปติดอยู่ในป่าแบล็คฟอเรสต์ เด็กหนุ่มที่เอื้อนเอ่ยเปรยว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ 'ไลเคน' ความรู้สึกนั้นที่ทำให้คนๆนี้มีปมด้อยอยู่ในหัวใจมาโดยตลอด จนไม่กล้าจะไว้ใจใครได้อย่างจริงจัง แม้ว่าปากจะทำยิ้มไปอย่างนั้น แต่ภายในส่วนลึกก็คงไม่อาจจะไว้ใจใครได้อยู่ดี...ลอว์เรนซ์รู้ดีว่าไซม่อนอยากให้ผู้อื่นยอมรับเขาอย่างจริงใจและแม้ตัวเองก็คงวิ่งหนีซึ่งความเกลียดชังที่มีต่อตัวเองไปไม่ได้ เขาพยายามจะเขาควบคุมสถานการณ์ทันทีเพื่อไม่ให้เรื่องราวมันไปไกลมากกว่านี้ เด็กหนุ่มดึงและรวบแขนไซม่อนเอาไว้ทั้งสองข้างในขณะที่เขาพยายามจะยกกองหนังสือบนโต๊ะทั้งหมดนั่นปาใส่อาจารย์ไรเชล ที่ยังคงยิ้มเยาะราวกับจะกวนประสาทกันให้แตกหักไปข้าง

 

                  "ไซม่อน! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!"

 

ไอริสผู้เป็นหัวหน้าห้องก็รีบยืนขึ้นห้ามศึกในทันที เธอไปยืนขวางอาจารย์ไรเชลเอาไว้ก่อน โดยหันเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจังและขอร้องให้เขาหยุด เพราะเธอเองก็ไม่คิดว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นถูกต้องเลยแม้แต่น้อย มันเป็นแค่การเหยียดหยามและสร้างบาดแผลแก่นักเรียน เป็นเพียงความรู้สึกหรืออุดมการณ์ส่วนตัวที่ไม่ควรยกมาพูดเช่นนี้

  

                    '' อาจารย์คะ ได้โปรดหยุดเถอะค่ะ สิ่งที่พูดถึงมันจะอยู่ในบทเรียน แต่คำพูดของอาจารย์ก็มีส่วนที่เป็นอคติหรือความคิดเห็นส่วนตัว นั่นไม่เหมาะสมเลยนะคะ ถึงจะเป็นอาจารย์ แต่คุณก็ควรรักษามารยาทต่อนักเรียนด้วย "

  

                   " นี่คุณอัลบาลอร์ฟ เธอก็เป็นถึงราชนิกูลชั้นสูง อย่าลดคุณค่าตัวเองไปปกป้องพวกเลือดโสโครกแบบนั้นสิ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ เด็กนั่นต่างหากที่ผิด มาหลับในคาบของฉัน ไม่ให้เกียรติฉัน มิน่าถึงเป็นได้แค่พวกชั้นต่ำ...จริงไหม คุณบัสเดวิล "

 

น้ำเสียงที่น่าเบื่อปานเล่านิทานกล่อมเด็ก เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง และวาจายียวนชวนโมโหหนักกว่าเดิม ปากของคนพูดแสยะยิ้มราวกับผู้เหนือกว่า ปราดมองมาทางไซม่อนด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ แต่คนถูกพาดพิงถึงก็กลับไม่คิดจะยอมความเสียอย่างนั้น

 

                  "แกว่าอะไรนะ...แกเป็นอาจารย์ประสาอะไร! ทำไมถึงไม่ให้เกียรติวิชาที่ตัวเองสอนล่ะวะ!? อคติแบบนี้ไม่ควรเสนอหน้ามาเป็นอาจารย์!"

 

                   "เงียบปากเธอไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะส่งเข้าห้องปกครอง ตัดคะแนนความประพฤติ แถมดีไม่ดีอาจจะหักคะแนนของแคมป์เธอด้วยดีไหมล่ะคุณบัสเดวิล?"

 

                   "หน่อย! ไอ้.."

 

                   "ไซม่อน! "

 

ลอว์เรนซ์มองคนตรงหน้าด้วยนัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยที่เปลี่ยนเป็นความนิ่งเย็นชาจนยากเกินจะคาดเดา เขาไม่ต้องการให้หมอนี่ก่อเรื่องที่จะอภิมหาความซวยมาเยือนทั้งตัวเองและแคมป์ด้วย แต่อาจารย์ไรเชลนั่นก็ทำไม่ถูกเลย เขาต้องหาทางแก้ปัญหานี้ให้ได้ เพราะมันกำลังแย่ลงเรื่อยๆ 

  

                  '' ไซม่อน มากับฉัน ไปสงบสติอารมณ์ก่อน เรื่องนี้ฉันจะช่วยหาทางแก้ แต่ตอนนี้นายไม่ควรทำให้ไอริสที่เป็นหัวหน้าต้องเดือดร้อน"

  

                  " นายมันพวกเลือดบริสุทธิ์ เป็นคนที่ทุกคนเห็นก็ยอมรับ นายจะมาเข้าใจอะไรฉันวะ!"

 

ร่างของเด็กหนุ่มนักรบตะวันออกสะบัดแขนทั้งสองข้างให้หลุดจากการควบคุมแล้วผลักเจ้าชายคนสำคัญออกไปให้พ้นทาง ก่อนที่จะวิ่งหนีออกจากห้องเรียนไปเสียดื้อๆ ทิ้งภาระชิ้นโตไว้ให้คนอื่นๆแก้กันเอง...ลอว์เรนซ์ไม่สามารถคว้าตัวเขาไว้ได้ทัน และเเน่นอนว่าครั้งนี้คนชนะที่ได้เปรียบในทุกทางเริ่มผยองอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างบ่งความสะใจฉายชัด ก่อนที่เสียงหอนาฬิกาบอกเวลาจะดังขึ้นทุก 1 ชั่วโมงและเป็นสัญญาณบอกว่าหมดคาบเรียนแล้วหลังจากที่ไซม่อนออกไป อาจารย์ไรเชลก็ได้แต่ยิ้มเยาะพร้อมกับเดินออกไปเช่นกัน ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮาและมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งไอริส ต้องสั่งให้เงียบเสียงและพากันเตรียมตัวเก็บอุปกรณ์เพื่อไปเรียนคาบต่อไป 

  

                   " เดี๋ยวฉันกับอลิส จะไปช่วยคุยกับอาจารย์ไรเชลให้เอง นายเก็บของแล้วรีบไปตามเขาเถอะ"

 

ไอริสเดินเข้ามาพูดกับลอว์เรนซ์เบาๆ ซึ่งเขาก็พยักหน้าเข้าใจ เด็กหนุ่มรู้สึกแย่ที่ทำให้ไซม่อนต้องวิ่งหนีไปแบบนั้น แต่ในใจลึกๆทุกคนก็ทราบดีว่า ไซม่อนคงนึกโทษและเกลียดชังตนเองเสียมากกว่าใครจึงได้เอาแต่วิ่งหนี ไม่กล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่เขาเห็นว่าคนอื่นก็คงไม่ยอมรับเช่นกัน แต่อาจารย์ไรเชลคนนั้นเมื่อคิดถึงใบหน้านั้นแล้ว เขาก็โมโหขึ้นมา แม้ไม่อาจจะทำอะไรได้แต่เห็นทีมันก็คงต้องมีสั่งสอนกันกลับบ้างเสียหน่อยคงจะดี

 

                    '' ฉันกับอลิสจะลองไปคุยกับอาจารย์ไรเชลดูเรื่องของไซม่อน '' 

 

                    "แล้วเธอจะพูดคุยกับเขาได้จริงๆเหรอ เขาดูไร้มารยาทและไม่มีเหตุผลแบบนั้นน่ะ "

 

คำถามที่ไม่มั่นใจถูกยิงเข้าใส่เจ้าหญิงคนงามกับเลขาประจำห้องผู้ช่วยของไอริส เธอคือ อลิส ทรานซิลเวียร์ เด็กสาวน่ารัก ผมยาวสีน้ำตาล มีนัยต์ตาสีฟ้าครามและใบหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดู จนตกหนุ่มๆหลายคนที่พบเจอได้อยู่หมัด ทั้งสองสาวมองหน้ากันพร้อมรอยยิ้มมั่นใจและดูมีเลสนัยแปลกๆ

  

                  "ไม่ต้องห่วงหรอก...อาจารย์ไรเชลแพ้ทางผู้หญิงสวยและน่ารัก "

 

 

 

=======================================

 

 

 

                  ความหงุดหงิดโมโหเข้าครอบงำเด็กหนุ่มนักรบตะวันออกเป็นอย่างมาก ยิ่งครุ่นคิดไปถึงเรื่องเมื่อเช้ายิ่งพลันให้ต้องกำหมัดพร้อมจะปะทะกับทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า ไซม่อนไม่ยอมกลับเข้าไปเรียนอีกเลยตั้งแต่พ้นคาบของอาจารย์ไรเชล เขาตัดสินใจแว่บผ่านอาคารเรียนไปให้ไกลที่สุดแล้วเข้าสู่เขตของป่าทึบติดกับโรงเรียนเซนต์คาดิลอร์ฟ เด็กหนุ่มพุ่งตัวกระโดดออกไปตามกิ่งไม้ในป่าแบบฉบับของแวมไพร์ การปีนป่ายต้นไม้สูงอาจจะทำให้เขาสงบใจลงได้บ้าง จนเมื่อร่างสูงของเขามาเกาะอยู่กับกิ่งที่ใหญ่และสูงของต้นเมอร์ล็อกซ์ นัยต์ตาสีส้มก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รอช้ารีบโผนโจนทะยานไปอีกครั้ง ที่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่เป็นเนินสูงอยู่ไม่ห่างจากทะเลสาบมีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนหลับตาพริ้มอยู่อย่างสบายใจ

 

                    "เฮ้ย! เธียร์ นายมาทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย?"

 

ไซม่อนร้องทักใส่รูมเมทของเขาด้วยความงุนงง ไม่ยักกะรู้ว่ามันจะแอบโดดร่มหนีมานอนเล่นสัมผัสลมเย็นจากทะเลสาบคนเดียวแบบนี้ บริเวณใกล้กับป่าแถวเขตโรงเรียนจะมีทะเลสาบอยู่ ให้ความสงบร่มเย็นและไม่ค่อยมีใครมารบกวน ยิ่งในช่วงเวลาที่มีคาบเรียนเช่นนี้ เจ้าคนถูกเรียกค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมองเพราะได้ยินเสียงคุ้นหู ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมานั่ง ใบหน้าสงบปนงัวเงียเพราะถูกรบกวน เขายกมือขยี้ตานิดหน่อยและปัดๆไบไม้ที่ติดเสื้อผ้าออกไป ในยามนี้เจ้าชายคนสำคัญแห่งแซคคาริเบียนช่างดูไม่สมเป็นว่าที่ราชนิกูลเอาเสียเลยในสายตาของไซม่อน

  

                  "แล้วนายล่ะมาทำอะไร เริ่มเรียนคาบบ่ายแล้วไม่ใช่เหรอ?"

 

คำถามเดิมถูกส่งกลับมายังไซม่อนแทนคำตอบ เด็กหนุ่มเริ่มชักสีหน้าหงุดหงิดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั่น มือข้างหนึ่งควานหาก้อนหินใกล้ตัวแล้วเหวี่ยงปามันออกไปแตะผืนน้ำเบื้องหน้าระบายความหงุดหงิด ขณะที่ปากก็พร่ำออกไปเรื่อย

  

                 "ก็คงจะเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ไปมีเรื่องมีราวกับใครมา..."

  

                 "นายคงจะหมายถึงอาจารย์ไรเชล แกรนด์สมิท"

 

น้ำเสียงตอบกลับเรื่อยๆเอื่อยๆ และนั่นแหละทำให้คนต้นเรื่องถึงกับเอ๋อรับประทาน ก็ทั้งที่มันไม่ได้เข้าเรียน ไม่สิไม่อยู่ในเหตุการณ์คงจะฟังขึ้นกว่า ทำไมหมอนี่ถึงรู้ได้ เพราะนี่ก็บ่ายแล้ว ถ้าเลือกจะโดดเรียนมาแต่เช้าแบบนี้คงไม่ได้กลับไปหลังจากนั้นแน่นอน นัยต์ตาสีส้มฉายแววแห่งความสงสัยและงุนงง

 

                 "แล้วนายรู้ได้ยังไง?"

  

                "ต้นไม้ในป่าแห่งนี้บอกฉัน..."

 

ประโยคนั้นเล่นเอาผู้ฟังที่กำลังเคร่งเครียดและอยู่ในอารมณ์คุกรุ่นเริ่มกลับมามีรอยยิ้มที่ตามมาพร้อมกับปฏิกิริยาตอบรับด้วยการหลุดขำ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เธียร์กำลังบอก หมอนี่พูดเรื่องอะไร มันคงอำเขาเล่นแน่ๆ แต่ทว่าสีหน้าของเจ้าตัวต้นเรื่องผู้ปล่อยมุขนั้นกลับดูจริงจังจนบอกไม่ถูก พร้อมกับทำท่าทางเหมือนปลงอนิจจังอยู่หน่อยๆ

  

                "คงจะไม่เชื่อที่ฉันพูดล่ะสิ"

 

เจ้าคนมหัศจรรย์ผู้ถูกพาดพิงในความคิดเขาเอ่ยขัดขึ้นราวกับรู้ทัน

  

                 "เชื่อก็บ้า นี่นายจะเล่นมุขรึไง ต้นไม้ที่ไหนจะพูดได้นอกจากพวกที่เกิดขึ้นในดินแดนของเผ่าพันธุ์ไซทริส(พวกมนุษย์ต้นไม้) ที่ในไครซิสต์ของเรามันก็ไม่มีแบบที่ว่าสักต้น..."

 

ไซม่อนสาธยายรวบรัดความรู้ที่พอมี แต่ก็ไม่อาจทำให้เธียร์เปลี่ยนแปลงสีหน้าสงบนั่น แถมยังพูดยืนยันความคิดของตัวเองต่ออีกต่างหาก

  

                "มันก็ใช่ ที่ว่าที่นี่ไม่มีพวกไซทริส แต่ฉันใช้สัมผัสด้วยใจต่างหาก"

  

                "เอาจริงดิ"

 

                "ฉันชื่นชอบต้นไม้และพวกสัตว์ต่างๆ มันคงเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก... นั่นทำให้ฉันชอบหลีกหนีสิ่งวุ่นวายหรือในยามที่มีอะไรไม่สบายใจก็จะมาหาต้นไม้เสมอ อาจจะฟังดูน่าแปลกไปเสียหน่อย แต่ฉันได้ยิน...เสียงของพวกเขาที่ส่งผ่านจิตใจราวกับว่าเราสื่อสารกันเข้าใจกันได้ พวกเขาทั้งเป็นมิตร อบอุ่นและทำให้รู้สึกปลอดภัย เหมือนเพื่อนคนหนึ่งของฉัน "

นี่คงเป็นครั้งแรกที่ไซม่อนได้ฟังเรื่องราวของเจ้าเพื่อนใหม่คนนี้ แม้ว่าเค้าจะไม่ไว้ใจใครในส่วนลึก แต่ทำไมไม่รู้ว่าเขากลับ...พอจะเชื่อได้ว่าเจ้าคนตรงหน้านี่พูดทุกสิ่งออกมาจากใจและเชื่อถือได้ ด้วยการสังเกตมองเธียร์ผ่านแววตา ดวงตาสีแดงอ่อนของเจ้านี่ดูลึกล้ำแต่ก็แอบซ่อนความเหงาที่ไม่มีใครเข้าใจเอาไว้ แต่เรื่องสัมผัสพิเศษที่ทำให้คุยกับต้นไม้ได้นี่มันคงเกินคาดไปสำหรับไซม่อน เขาก็แอบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และถ้าหากหมอนี่ชอบให้ต้นไม้เป็นเพื่อน มันก็ควรจะไปเข้ารับตำแหน่งผู้พิทักษ์สันติราชแห่งป่า น่าจะเหมาะสม

  

                     " เออๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันขออยู่ที่นี่กับนายสักพัก มันไม่สบอารมณ์ถ้าจะกลับเข้าเรียนไปตอนนี้"

 

                     " ฉันไม่ขัดข้องหรอก แต่ถ้าเรียนไม่รู้เรื่องก็ตัวใครตัวมันนะ "

 

                     " ชิลๆน่ะ ฉันไม่คิดมาก อยู่ที่ห้องก็หลับอยู่ดี "

 

ไซม่อนกับเธียร์นั่งคุยกันได้สักพักความตื่นตัวบางอย่างก้กลับเรียกให้พวกเขาหยุดบทสนทนา กลิ่นไอประหลาดอบอวลไปทั่วบริเวณจนรู้สึกได้จากสัญชาตญาณอันแรงกล้าของนักรบฝั่งตะวันออก ไซม่อนเริ่มกวาดสายตามองไปให้รอบด้านมากที่สุด พร้อมกับเตรียมจะเรียกดาบมาไว้ในมือ...

    

                    "แปลก...มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ "

 

แต่ทว่าแค่เพียงไม่กี่วินาที ไอ้เจ้ากลิ่นไอนั่นมันก็สลายหายไปฉับพลัน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนเมื่อครู่ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้สองหนุ่มไม่สบายใจเอาเสียเลย เพราะแม้ว่าจะเป็นป่า แต่เพื่อความปลอดภัย ทางโรงเรียนก็ได้ทำการกางข่ายมนต์เพื่อป้องกันอันตรายนานาชนิดจากบุคคลผู้ไม่หวังดีทั้งหลาย แต่ทำไมมัน...

  

                    "รึว่าเมื่อกี้นี้มัน...ข่ายมนต์มีปัญหา?"

 

ไซม่อนเสนอความคิดแรกขึ้นมาก่อน ซึ่งเธียร์เองก็เงียบไปพักหนึ่งราวกับกำลังประมวลความคิดที่ได้

 

                     " น่าจะเป็นไปได้...บางทีอาจมีใครกำลังพยายามฝ่าข่ายมนต์ของทางเรา และพวกนั้นคงจะมีฝีมือไม่ธรรมดา"

  

                     "ให้ตายสิ...เมื่อกี๊ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรคืบคลานเข้ามาใกล้มาก ป่าทึบฝั่งนี้มันใกล้กับข่ายมนต์นี่ คงจะไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นหรอกนะ"

  

                     "เรากลับเข้าไปที่หอพักกันเถอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงมันไม่ปลอดภัยที่จะอยู่แถวนี้ "

 

เธียร์ดึงแขนไซม่อนให้รีบออกห่างจากทะเลสาบ สายลมเย็นๆจากผืนน้ำป่าพัดผ่านเข้ามากระทบร่าง เด็กหนุ่มทั้งสองรีบกระโจนปีนป่ายไปตามต้นไม้ด้วยวถีความเร็วของแวมไพร์ในทันที ในใจของเธียร์นั้นรับรู้ได้ถึงสัมผัสไปตลอดทางที่เขากำลังพุ่งตัวไป เสียงของเหล่าต้นไม้ในป่าแถบนั้นมันกำลังร้องบอกเขาว่า

  

                   'หนีไป หนีไป ออกไปจากที่นี่'

 

                   ' เธียร์ ที่นี่มีคนกำลังจะมา มันไม่ปลอดภัย'

  

                   ' รีบพาพ่อหนุ่มน้อยนั่นหนีไปเร็วเข้า '

 

แม้จะไม่มีใครได้ยินเสียงของพวกเขา แต่สำหรับเธียร์นี่คือ เรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นมาในช่วงชีวิต เสียงเหล่านี้มักจะคอยเตือนและพูดคุยกับเขาอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้ยามมีภัยอันตราย เด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจนักแม้ว่าตอนนี้จะหนีมาจนถึงทางขึ้นหอพักได้แล้ว แต่สิ่งที่อยู่ข้างนอกและพยายามจะฝ่าป้อมปราการเข้ามา แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ 

 

 

 

 

 

 

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป