Your Wishlist

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์) (Rewrite) (08 Kiss Me (Rewrite))

Author: Sayyeon

" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "

จำนวนตอน : N/A

08 Kiss Me (Rewrite)

  • 29/07/2564

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์)
ภาค 1 ศึกปะทะอัศวินแห่งความมืด

  

 

 

 

 

 

 

 เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาเย็นท้องฟ้าทางฝั่งตะวันตกของโรงเรียนเซนต์คาดิลอร์ฟก็ปรากฎดวงอาทิตย์อัสดงที่กำลังจะลับขอบฟ้าไป บรรยากาศโดยรอบนั้นแต่งแต้มไปด้วยสีสันจากเบื้องบนที่ระบายสีส้ม เหลืองและแดงเอาไว้ให้ความรู้สึกสัมผัสได้ถึงธรรมชาติอันงดงามไม่ต่างไปจากโลกมนุษย์ แม้ว่าในอดีตกาลนั้นเหล่าแวมเพียร์บรรพบุรุษเก่าแก่ของแวมไพร์จะไม่ค่อยถูกชะตากับแสงแดดและรอคอยเวลานี้เพื่อล่าเหยื่อในยามวิกาลก็ตาม แต่สำหรับลูกหลานแวมไพร์อย่างพวกเขาเเล้วนี่ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจชื่นชมพอๆกับที่มนุษย์ชอบ เด็กหนุ่มทั้งสองออกมายืนชมวิวยามเย็นอยู่ที่ระเบียงทางเดินอันไร้ผู้คน ต่างคนต่างมองไปยังทิศทางด้านหน้าอย่างนิ่งสงบ ก่อนที่อีกคนจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ

  

           " เจ้าเด็กนั่นน่ะเรอะ คนที่ยัยแก่เอมิเลียพูดถึงว่าจะเป็นภัยกับนาย?"

 

ประโยคคำถามถูกยิงมาใส่เจ้าชายจีเนียส ฮิลเลอร์รี่ ไพน์เออเนียร์ผู้ที่ชอบทำหน้าตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง เขายิ้มแสยะมุมปากนิดๆขณะที่ตวัดสายตาเปลี่ยนเป้าหมายหันไปยังเจ้าชายอีกคนที่เป็นเพื่อนสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่เด็ก เขาก็คือเจ้าชายอีกคนซึ่งเป็นว่าที่รัชทายาทจากประเทศมอริส นามว่า 'เอ็ดเวิร์ด' ดูเหมือนหมอนี่พยายามจะพูดปั่นหัวเขาเพราะเรื่องที่ก่อนช่วงเปิดเทอม จีเนียสได้เข้าไปดูคำทำนายที่ร้านของเอมิเลียมานั่นเอง

    

                "ก็ไม่ถึงกับเป็นอย่างนั้นซะทีเดียว"

  

                "แล้วถ้าหากว่าเด็กนั่นเป็นปรปักษ์กับนายในภายภาคหน้าจริงล่ะก็ นายจะทำไง?"

 

เอ็ดเวิร์ดเอ่ยถามด้วยท่าทางนึกสนุกขี้เล่นตามนิสัย แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มาดเคร่งขรึมและนัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นยังคงเย็นชาน่าหมั่นไส้ และเอ็ดเวิร์ดเองก็คงจะคุ้นชินกับมันไปแล้ว
    
 

                 " หึ..ไม่เห็นยากเลยนี่ คนอย่างฉันน่ะไม่สนใจใครอื่นนอกเสียจากอำนาจหรอกนะ "

  

                " คิดอยู่แล้วว่านายต้องตอบแบบนี้ นายนี่น้า..จับผลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในแคมป์รอนเดลนี่ได้ยังไงวะ ให้ตายสิ"

  

                 " เหอะ จะแคมป์ไหนก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันอยู่แล้ว อีกอย่างได้อยู่แคมป์เดียวกับเจ้าเด็กนั่น ก็คงจะสังเกตอะไรๆได้หน่อยล่ะนะ"

 

จีเนียสเหยียดยิ้มเย็นชาออกมาอีกครั้ง เขาหันกลับมามองข้างหน้าพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นบริเวณสนามหญ้าด้านล่างที่มีพวกเด็กๆปี 1 น้องใหม่กึ่งวิ่งกึ่งเดินกรูกันออกมาจากโรงอาหารหลังจากทานมื้อเย็น คงจะได้เวลาไปเยี่ยมเยียนหอพักแล้วนั่นเอง แถมในบรรดาคนที่เดินอยู่ก็มี 'เจ้าเด็กนั่น' ที่เขากับเอ็ดเวิร์ดกำลังนินทาอยู่เสียด้วย

    

                 "แหม่ๆ พูดแบบนี้แปลว่าเจ้าเด็กนั่นมันไม่ธรรมดา หรือว่า..นายกลัว?"

 

เอ็ดเวิร์ดหัวเราะขำๆ เมื่อนึกภาพแบบมโนเอาเองว่าจีเนียสเพื่อนรักเพื่อนร้ายคนนี้กลัวเด็กใหม่จนเก็บไปคิดมากมายก่ายกอง แต่ก็ต้องพับความคิดนั้นเก็บไปอย่างเสียไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายรีบชิงพูดขัดอารมณ์ขึ้นมาเสียก่อน

    

                 "ใช่..พลังของเจ้าเด็กนั่นจากที่ฉันได้ลองไปเก็บข้อมูลมานิดหน่อยก็ถือว่าดูจะสูงกว่าเด็กปี 1 คนอื่นทั่วไป แต่เรื่องกลัว..นายฝันกลางวันไปได้เลยล่ะเอ็ดเวิร์ด "

 

นิ้วชี้เรียวยาวถูกจิ้มจึกมาตรงกลางหน้าผากของเอ็ดเวิร์ด เป็นการประกาศเชิงว่า 'ความคิดนายมันโง่เง่ามาก' ให้ตายสิ ไอ้เพื่อนจอมหยิ่งนี่มันยังทำตัวเย็นชาไม่น่าคบเหมือนเดิม ดูจะนิสัยคล้ายๆกับเจ้าเด็กคู่ปรับคนใหม่ (ที่ซึ่งเจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่าถูกจีเนียสหมายตา ) เอ็ดเวิร์ดได้แต่ลอบถอนหายใจแบบปลงๆให้กับหนุ่มน้อยผู้ไม่รู้เรื่องู้ราวอย่างลอว์เรนซ์ แม้ในใจลึกๆเขาก็แอบสนใจเด็กนี่บ้างเหมือนกัน แต่ก่อนหน้านั้นเขายังคงมีเป้าหมายหลักซึ่งเป็นที่หนึ่งอยู่เพียงผู้เดียว คนที่เขาอยากจะเอาชนะให้ได้มากที่สุด นั่นคือเจ้าคนบ้าที่อยู่ตรงนี้นั่นเอง

  

                   " เหอะ ก็ได้ๆ เออจริงสิ เจ้านั่นน่ะก็เป็นว่าที่รัชทายาทด้วยงั้นสินะ แถมได้ข่าวมาว่ามี 'พลังต้องห้าม' ถูกผนึกอยู่ในร่าง ตั้งแต่สมัยเด็กก็ถูกส่งไปอยู่ที่โลกมนุษย์มาด้วย ฉันเลยไม่ค่อยได้พบตามงานเลี้ยงสังสรรค์เท่าไหร่  "

    

                   "นายเองก็รู้เยอะดีนี่ "

  

                    "มันมีข่าวแพร่สะพัดอยู่ช่วงนึงเลยล่ะว่า หลังจากที่ข่าวเรื่องมีพลังต้องห้ามหลุดออกไป เด็กนั่นก็ถูกส่งตัวไปที่โลกมนุษย์ แต่พระบิดาของเขาก็ไม่ได้ชี้แจงเหตุผลอะไร นอกเสียจากว่าเมื่อถึงเวลา ก็จะพากลับคืนมาเอง ตระกูลของเด็กนั่นดูจะมีความลับทางาชวงศ์ที่เปิดเผยไม่ได้อยู่อีกมากเลยนะ "

  

                     "หึๆ พลังต้องห้ามนั่นเป็นแบบไหนกันนะ ฉันคนนี้อยากเห็นเป็นบุญตาสักครั้งในชีวิต มันแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเชียว ถ้าเฝ้าดูไปเรื่อยๆคงได้เจอเรื่องสนุกๆแน่ "

  

                    " เดี๋ยวนายได้เห็นเองนั่นแหละ พลังแบบนั้นไม่มีทางเชื่องกับตัวผู้ถือครองได้หรอก มันก้แค่เก็บซ่อน อวันที่จะปะทุออกมาเท่านั้น "

 

เอ็ดเวิร์ดยิ้มมีเลศนัย แม้ว่าจะไม่ได้หันมามอง แต่จีเนียสเองก็รู้ดีว่าหมายถึงอะไร แม้ภายนอกจะดูเป็นเจ้าชายผู้น่ารักหล่อเหลา เป็นคนดูยิ้มง่าย แต่ภายในแล้ว...ไอ้เจ้าหมอนี่มันรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิตเสียด้วยซ้ำ แถมก็น่ากลัวกว่าที่คิดด้วย

  

                    "นั่นสิ เด็กที่มีพลังแบบนี้อยู่กับตัว..คงจะใช้ชีวิตได้ลำบากหน่อยล่ะนะ "

 

ขณะนี้เป็นเวลา 18.30 น. พระจันทร์กลมโตสีเงินยวงถูกขึ้นมาแทนที่พระอาทิตย์อัสดงที่ลับขอบฟ้าไป มันสว่างไสวควบคู่อยู่กับดวงดาวที่ทอแสงสุกสกาวอยู่บนฟากฟ้ายามราตรี เนื่องจากว่าโรงเรียนเซนต์คาดิลอร์ฟนั้นอยู่ติดกับป่า ทำให้มีเสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินช่วงเวลากลางคืนส่งเสียงดังมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ ลอว์เรนซ์แยกตัวจากไซม่อนกลับเข้ามาเยือนห้องที่หอพักของตัวเองเป็นครั้งแรก เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องเข้าไป ก็พบว่ามีแขกอีกคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง มีผมเรียบๆบวกกับสีผิวที่ขาวซีด ในมือถือกองหนังสือหนาปึ้กอยู่ จะว่าไปแล้ว...หมอนี่คือ...คนเมื่อตอนนั้นสินะ ภาพเมื่อตอนที่ตนปะทะอยู่กับเจ้าหญิงไอริสคนนั้นแว่บผ่านเข้ามาในหัวสมอง ทำให้ระลึกนึกได้ในทันทีว่าเขาคนนี้ได้ช่วยเหลือเขาไว้เมื่อตอนนั้นนั่นเอง

 

                     " สวัสดีครับ ผมชื่อว่าชิเร ราฟาเอลลิส ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณเพื่อนร่วมห้องของผม "

 

คำพูดไพเราะเกินความจำเป็นของชิเร ทำให้ลอว์เรนซ์แอบแปลกใจอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไรให้มากความ

  

                    " นายคงจะรู้จักชื่อฉันดีอยู่แล้ว เรื่องเมื่อตอนนั้นขอบคุณมากนะสำหรับความช่วยเหลือ "

 

ลอว์เรนซ์เอ่ยประโยคขอบคุณสุดสั้นพร้อมกับผงกหัวแสดงความขอบคุณอีกครั้งจากหัวใจ เพราะถ้าไม่ได้นายคนนี้รีบมาบอกอาจารย์มิแรนด้าไว้ การประลองก็คงจะไม่จบง่ายๆเป็นแน่ 

 

                    " โอ้ยๆ ไม่ต้องหรอกครับ เรื่องเล็กน้อยน่ะ ว่าแต่คุณจะนอนเตียงไหนรึครับ ?"

 

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ลอว์เรนซ์ก็มองไปยังเตียงสองเตียงที่ปูผ้าและมีหมอนกับผ้าห่มอยู่พร้อมศัพท์ ทั้ง 2 เตียงนี้อยู่ห่างกันพอประมาณ โดยเตียงแรกนั้นอยู่ใกล้กับประตูทางเข้า อีกเตียงนั้นอยู่ใกล้กับหน้าต่างสองบาน ที่ส่วนปลายมีตู้เสื้อผ้าอยู่สองตู้ใกล้กันพร้อมกับราวตากคนละด้าน แถมห้องน้ำ+อาบน้ำได้ในตัว ที่กลางห้องมีโต๊ะกับเก้าอี้ไม้รูปทรงสวยงามไว้ให้เขียนหนังสือหรือทำงาน ถือเป็นห้องพักที่คุ้มค่าและสมราคากับค่าเทอมที่ได้จ่ายไป หอพักที่นี่ก็แบ่งแยกชายหญิงเป็นคนละฝั่งกัน เด็กรุ่นพี่และรุ่นน้องตั้งแต่ชั้นปี 1 ถึง ปี 7 ที่อยู่แคมป์เดียวกันสามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างอิสระ ตามตัวอาคารหอพักยังมีห้องโถงรวมขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ห้องอ่านหนังสือแยกไว้ให้อีกด้วย

  

                      " ฉันนอนเตียงข้างหน้าต่างก็ได้ "

 

ลอว์เรนซ์ไม่ว่าเปล่า หลังจากที่ตัดสินใจเลือกแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปขนของที่กองอยู่มุมหนึ่งของห้องซึ่งคงจะเป็นอย่างที่พี่เอริคบอกว่า 'มีคนเอาของมาเก็บให้แล้ว' เขาจัดการแยกนำเสื้อผ้าต่างๆมาจับยัดใส่ตู้ที่ว่างอยู่ ส่วนชิเรนั้นไม่คิดจะทำอะไรต่อเพราะเจ้าตัวทำเสร็จหมดแล้ว เหมือนกับจะคาดการณ์ไว้ว่ารูมเมทของตนจะเลือกฝั่งไหนงั้นแหละ ชิเรจึงได้แต่เพียงวางกองหนังสือนั่นลงบนโต๊ะแล้วลงนั่งอ่านมันเงียบๆนัยต์ตาสีม่วงนั้นดูจดจ่อไล่ตามตัวอักษรด้วยความตั้งใจ ดูท่าเขาจะเป็นพวกที่ชอบอ่านหนังสือขนาดหนัก แค่เพียงชำเลืองตาดูนิดหน่อยก็เห็นเลยว่ามีแต่พวกหนังสือเก่าโบราณคร่ำครึทั้งนั้น

  

                  "...ฉันขอถามอะไรนายสักอย่างได้ไหม?"

 

ลอว์เรนซ์พูดลอยๆขึ้นมา ไม่ได้หันไปมองฝ่ายตรงข้าม เพราะมัวแต่จัดของๆตัวเองอยู่ แต่ด้วยคำถามนั้นก็ทำให้ชิเรเริ่มละสายตาจากตัวหนังสือเพื่อหันมาทางเขา

  

                    " คุณพูดกับผมรึครับ "

 

                   " พูดกับหนังสือของนายมั้ง "

 

                    " อ้อ งั้นรึครับ ก็ดีนะ...หนังสือน่ะรวบรวบความรู้หลายอย่างเอาไว้คงจะสามารถตอบคำถามคุณแทนผมได้ไม่ยาก"

 

                    'ตกลงฉันหรือมันกวนประสาทวะ (-_-?)'

 

ลอว์เรนซ์หยุดภารกิจตรงหน้าขณะที่เดินเข้ามานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน ซึ่งชิเรก็ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร เขายิ้มบางๆพลางคั่นหนังสือหน้าที่อ่านค้างอยู่

 

                   "ดื่มชาหน่อยไหมครับคุณลอว์เรนซ์ "

 

ทันทีที่จบประโยค แสงสว่างวาบจากจี้ห้อยคอสีเงินของชิเรก็เรืองแสงขึ้น ฉับพลันทันใดบนโต๊ะที่โล่งว่างอยู่ก็ปรากฎถ้วยน้ำชาสีขาวที่มีลวดลายและรูปทรงสวยงาม 2 ใบแต่ทว่าไม่มีส่วนที่เป็นน้ำอยู่เลย 

  

                    " ลูอิซ...ออกมา "

 

นั่นคงเป็นคำพูดแรกที่ลอว์เรนซ์ไม่ได้ยินคำว่าคุณ หรือ ครับ จากปากของเด็กหนุ่มตรงหน้าซึ่งมันรู้สึกทำให้รื่นหูขึ้นเยอะ เพาะนั่นมันดูจะสุภาพมากเกินไปสำหรับคนที่รุ่นราวคราวเดียวกัน

ร่างของเทพแห่งศาสตรานามว่า 'ลูอิซ' ปรากฎขึ้นมาพร้อมกับควันสีขาวขุ่น เธอเป็นเทพสาวผมสีฟ้าอ่อนที่มีร่างโปร่งใสมองทะลุไปเห็นข้างหลัง มีมงกุฎดอกไม้เล็กๆสีทองคาดเอาไว้ นัยต์ตาสีฟ้าครามปราดมองผู้เป็นนายอย่างรอรับคำสั่ง เธอดูอ่อนโยนและสุภาพลักษณะคลับคล้ายกับชิเรผู้เป็นเจ้านาย ชุดกระโปรงของเธอวูบไหวไปมาตามแรงลมที่พัดหน้าต่างเข้ามาในห้อง

  

                 " มีอะไรให้ดิฉันรับใช้หรือคะ 'นายท่าน' "

 

                " ช่วยชงชาสูตรของเธอให้ฉันกับแขกทีสิ "

  

                 " รับทราบแล้วค่ะ.."

 

ละอองเวทย์สีฟ้าอ่อนเป็นประกายถูกเสกออกมาจากมือข้างหนึ่งลงไปในถ้วยชาทั้งสอง เทพแห่งศาสตราลูอิวหลับตาพริ้มลงอย่างสงบ ก่อนที่เธอจะหายวับไป...กลิ่นหอมหวนของสูตรชาเฉพาะนั้นส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวล ชิเรผายมือเชื้อเชิญให้ลอว์เรนซ์ดื่มมันด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกันเองมากขึ้น ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ ยกมันขึ้นดื่มพอเป็นพิธี รสชาติที่หวานอร่อยพอดีและความลุ่มลึกที่ตามมานั้นทำให้เขารู้สึกชอบและอดทึ่งไม่ได้ ไม่คิดว่าเทพแห่งศาสตราจะทำแบบนี้ได้ด้วย เห็นทีคราวหน้าคงต้องสอน 'ดานิเอล' บ้าง รสชาติของมันมีความนุ่มลิ้นและลึกล้ำจนเขาเผลอตัวต้องจิบอีก

 

                  "ตกลงฉันถามนายได้รึยัง?"

 

ชิเรผงกศีรษะเบาๆเป็นเชิงว่าตกลง ในมือของเขาก็ยกถ้วยชาหอมกรุ่นนั้นขึ้นมาจิบเช่นกัน นัยต์ตาสีม่วงดูนิ่งสงบและตั้งใจพร้อมที่จะรับฟังคำถามจากฝ่ายตรงข้าม

 

                  " นายรู้ใช่ไหมว่า..เจ้าหญิงไอริสคนนั้นมีพลังมืดอยู่ "

 

คำถามถูกส่งตรงจากเจ้าชายคนสำคัญแห่งราลเดรูลน์ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกใจในดวงตาสีม่วงคู่นั้นของ 'ชิเร ราฟาเอลลิส' บุตรชายของนักปราชญ์แห่งมอริส รอยยิ้มบางๆอย่างผู้รู้ฉายชัดขึ้นบนใบหน้าขาวจัดราวกับว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายคิดจะพูดถึงเรื่องอะไร ขณะที่ในมือถือถ้วยชากลิ่นหอมกรุ่นขึ้นจิบอีกหลายอึกตามนิสัย

 

                  "...พลังเวทย์แห่งความมืดถือเป็นเวทย์ต้องห้ามที่ถูกตรากฎในโลกของแวมไพร์ว่าห้ามนำมาใช้...แต่ก็"

 

ชิเรเว้นวรรคไปนิดนึงก่อนพูดต่อ ท่าทางราวกับเป็นคนเล่านิทานเพราะลอว์เรนซ์เองก็ฟังอย่างตั้งใจจนออกนอกหน้า 

  

                   " จนถึงบัดนี้...ก็ยังมีแวมไพร์ส่วนหนึ่งที่ยังคงต้องใช้มัน เฉกเช่นตระกูลอัลบาลอร์ฟของเจ้าหญิงไอริสคนนั้นครับ"

  

                   "มันจำเป็นงั้นรึ?"

 

ลอว์เรนซ์เลิกคิ้วด้วยความฉงน แอบสงสัยขึ้นมาว่าเจ้าเพื่อนร่วมห้องตรงหน้าคนนี้มันช่างรู้อะไรมากมายเสียเหลือเกิน พลันมือขวาก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกหลายอึก เขาคงจะไม่รู้ตัวเลยว่า 'ติดใจ'ในรสชาติของน้ำชาสูตรพิลึกของเทพศาสตราลูอิซผู้นั้นไปมากโข จนแทบจะหยุดดื่มไม่ได้แล้ว 

 

                  "คุณเคยได้ยินเรื่องของนักรบหญิงผู้แกร่งกล้าแห่งซานเดรียไหมครับ?"

 

คำตอบแสนสุภาพแต่ระคายหูหน่อยๆ นั้นไม่ได้ตรงกับคำถามที่เขาหวังไว้เมื่อครู่สักเท่าไหร่ แต่เจ้าตัวก็พยักหน้าเบาๆประหนึ่งว่าพอรู้เบื้องต้นมาบ้างแต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อมูลที่เจาะลึกได้มากมายเท่าไหร่ 

 

                 " นั่นแหละครับคือคำตอบ "

 

ชิเรยิ้มสุภาพขณะที่รีบอธิบายต่อทันที

  

                  " ประเทศซานเดรียของเจ้าหญิงไอริสผู้นั้นเป็นสถานที่ที่รวบรวมเหล่านักรบหญิงผู้กล้า จนถึงขนาดว่ากษัตริย์ผู้ปกครองประเทศนั้นก็เป็นผู้หญิง แต่ทว่าที่มาของความแข็งแกร่งนั่น...ส่วนนึงก็มาจากพลังต้องห้ามซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเก่า (แวมเพียร์) ตระกูลนี้อยู่รอดมาได้ด้วยพลังมืดซึ่งก็น่าพิศวงอยู่ไม่น้อยสำหรับแวมไพร์ทั่วไป นั่นทำให้ผู้ที่มีเชื้อสายจากดินแดนนักรบหญิงแห่งนี้ต่างต้องมีพลังนี้ติดตัวตั้งแต่เกิดไปจนตาย...แต่ว่าก็ไม่ใช่หญิงสาวทุกคนที่จะมีครับ แน่นอนว่าต้องเป็นถึงระดับราชวงศ์ ผู้สืบทอด และการควบคุมพลังมืดให้แข็งแกร่งก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล "

 

ลอว์เรนซ์รู้สึกเริ่มเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้าง และอดนึกเปรียบเทียบไม่ได้เลยว่าระหว่างพลังเวทย์สายมืดของเขาและเธอนั้น มีความแตกต่างกันมากถึงเพียงใด สำหรับพลังของเจ้าหญิงไอริสคนนั้น เรียกได้ว่าเป็นเวทย์ที่สืบทอดกันมาอย่างถูกต้องและควบคุมได้ แต่กับเวทย์สายมืดของเขาแล้ว มันก็คือคำสาปร้ายดีๆนี่เอง
    
  

                   " นายคิดว่าพลังมืดของเธอน่าจะเป็นระดับไหนงั้นเหรอ?"

  

                   " ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะระดับ 5 นะครับ "

 

ระดับห้าที่ชิเรหมายถึง ก็คือระดับพลังเวทย์ของตัวบุคคลจากการประเมิน โดยพลังเวทย์ในโลกไครซิสต์แห่งนี้จะมีด้วยกันสามขั้น คือขั้นเริ่มต้น ขั้นกลางและขั้นสูง โดยขั้นเริ่มต้นจะอยู่ที่ระดับ 0 - 3  ขั้นกลางคือระดับ 4 - 6 และขั้นสูงคือระดับ 7 - 10 ซึ่งถ้าต้องการที่จะรู้ระดับของตนเองสามารถเข้าไปตรวจสอบผ่านร้านประเมินที่มีอยู่ทั่วเมืองได้ 

สิ้นสุดเรื่องเล่าย่อๆในแบบฉบับของตนเองแล้ว นัยต์ตาสีม่วงก็สบมองนัยต์ตาสีฟ้าเย็นเยือกของเจ้าชายตรงหน้าเจ้าของคำถาม ที่ตอนนี้ดื่มชาจนหมดถ้วยไม่เหลือแม้สักหยด เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าฝีมือการชงชาของลูอิซจะถูกปากเจ้าชายแห่งราลเดรูลน์ได้ขนาดนี้

  

                  "นายนี่รอบรู้สมกับเป็นบุตรของมหาปราชญ์ "

 

ที่เขาทราบดีว่าชิเรเป็นบุตรชายของมหาปราชญ์ เพราะตระกูลนี้ก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงแม้จะอยู่ที่มอริส แต่ก็โด่งดังไกลข้ามเมืองมาถึงราลเดรูลน์  ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับคำเชยชมอย่างจริงใจ

   

                   "แล้วสรุปว่าที่นายรู้สึกได้ถึงพลังนั่นเพราะนายรู้อยู่ก่อนแล้วงั้นรึไง?"

  

                   "ก็ประมาณนั้นล่ะครับ แต่ที่ผมเข้าไปห้ามไว้นั่นน่ะเพราะการเป็นทายาทนักรบหญิงแบบนี้ส่งผลให้เธอไม่ค่อยจะออมมือให้กับคู่ต่อสู้สักเท่าไหร่เลยชอบเผลอตัวจนใช้มันจนได้"

 

ลอว์เรนซ์ไม่ถามอะไรต่อ เพราะดูเหมือนการได้คนที่เป็นเหมือนห้องสมุดเคลื่อนที่แบบชิเรมาสาธยายเสียยาวแบบนี้แล้วก็คงจะกระจ่างมากพอ เด็กหนุ่มพยักเพยิดขอบคุณนิ่งๆ ลุกออกจากเก้าอี้เตรียมจะไปเปลี่ยนชุดเพื่อเข้านอนเสียทีเพราะวันนี้เหนื่อยหนักกับกิจกรรมปฐมนิเทศน์แถมยังต้องมาสู้รบปรบมือกับแม่นางพญาผู้ไม่ยอมความคนนั้นอีก...การมาเข้าเรียนวันแรกคงถือเป็นความทรงจำที่ระทึกได้ดีจนยากจะลืมเลือนได้

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

                       "หืม?/...?"

 

เสียงเคาะประตูไม้หนาหนักยามวิกาลหน้าห้องของพวกเขาเรียกเอาความสงสัยผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าอ่อนเยาว์ นึกฉงนว่าจะมีแขกคนใดมาเยี่ยมเยือนภายในเวลาแบบนี้ ทั้งสองหนุ่มหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย ดังนั้นด้วยความที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุด ชิเรจึงต้องปิดหนังสือลงอีกครั้งทั้งที่พึ่งจะเปิด เดินออกไปแล้วบิดกลอนเปิดประตูผางออก ก็พบกับผู้มาเยือนที่พวกเขากำลังพากันนินทาเธอไปเมื่อครู่...เธอเป็นเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงสลวย นัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มคมสวยไม่เป็นมิตรบวกกับหน้าตาที่สวยสดงดงามประดุจครั้งแรกที่พบเจอ มาดนางพญาของเธอยังดูไม่ลดลงเลยแม้สักนิด

....เจ้าหญิงไอริสคนนั้นปรากฎกายขึ้นท่ามกลางความสับสนงุนงง ก็ที่นี่เป็นหอพักชาย เธอมาทำอะไรกันแน่

 

                  "สวัสดียามวิกาลครับเจ้าหญิงไอริส มีอะไรงั้นเหรอครับถึงมาดึกดื่นป่านนี้?"

 

ชิเรเอ่ยทักทายตามมารยาทเจ้าของห้อง รอยยิ้มน้อยๆปรากฎขึ้นบนหน้าขาวใสนั้นเป็นครั้งแรก เขาเปิดบทสนทนานั้นขึ้นเพื่อป้องกันบรรยากาศที่ดูจะเริ่มมาคุและอยากรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอ

    

                 "ฉันมีธุระกับเจ้าชายลอว์เรนซ์น่ะ เขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า"

 

เมื่อได้ยินประโยคที่เอ่ยถึงชื่อของตนเองในบทสนทนา เจ้าชายผู้ถูกพาดพิงก็ต้องจำใจลุกจากเตียงเดินไปหา แอบหวังสุดใจว่าแม่นี่คงไม่ได้คิดจะมาท้ารบยามดึกก่อนเข้านอนอะไรเทือกนั้นใช่ไหม?

  

                 "เธอมีธุระอะไร?"

 

นัยต์ตาสีฟ้าทอดมองเด็กสาวนิ่งสนิท เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าของเธอดูแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวกับเขาน้อยลงมากกว่าครั้งแรกที่เจอกัน ในมือของเธอถือเอกสารอะไรบางอย่างเอาไว้

 

                    "ฉันเอานี่มาให้นาย อาจารย์มิแรนด้าฝากมาว่าให้นำไปอ่าน เป็นใบแบ่งหน้าที่ของหัวหน้ากับรองหัวหน้า..."

 

เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไร พลางยื่นมือมารับกระดาษแผ่นนั้นด้วยท่าทีนิ่งสงบตามเคย ขณะที่ไล่สายตาตามตัวอักษรแวมไพร์ขนาดเล็กพออ่านได้ไปเรื่อยๆ

 

                   "แล้วเลขา...?"

 

                   "ฉันเลือกให้ 'อลิส' ขึ้นมาเป็น ดูแล้วน่าจะทำงานนี้ได้ไม่มีปัญหา เธอเองก็ดูกระตือรือร้นอยากทำดี"

 

                   "งั้นก็ดี...มีธุระแค่นี้ใช่ไหม?"

 

เจ้าหญิงคนงามไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืด แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่สำหรับเขาคนนี้เธอดูจะเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาไม่น่าสนใจเฉกเช่นที่ผู้ชายคนอื่นๆเขามองกัน เพราะดูแค่จากสายตาก็พอรู้แล้วว่าพวกนั้นเข้าหาเธอเพราะอะไร เหมือนกับเจ้าหมอนั่น...เธอหยุดความคิดของตัวเองไว้เพียงเท่านั้น นัยต์ตาสีน้ำตาลฉายแววคุกรุ่นอย่างควบคุมไม่อยู่ขณะที่ตวัดมองบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป... ไอเวทย์มนต์ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือบางฉับพลันแล้วจัดการพุ่งตรงไปยังจุดที่เป้าหมายซุกซ่อนอยู่ไม่ไกล ท่ามกลางความตกใจแบบนิ่งๆของเจ้าชายแห่งราลเดรูลน์และนักปราชญ์แห่งมอริส ร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ก้าวย่างออกมา ร้องโอดโอยแบบแกล้งทำจนดูออก เมื่อมองให้ดีๆก็พบว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากคนหนึ่ง ผิวขาวจัดมีออร่า ผมสีดำเข้าทรงและริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆ เจ้าตัวยิ้มเจ้าเล่ห์ปราดมองทั้งสามด้วยนัยต์ตาสีเขียวพยายามจะเดินเข้ามาตรงจุดที่ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่

  

                      " นาย! เลิกตามฉันเสียทีไอ้โรคจิต!"

 

น้ำเสียงกราดเกรี้ยวดังจากไอริส สาวเจ้าเริ่มชักสีหน้าโกรธๆมองผู้มาเยือนคนใหม่อย่างไม่ชอบใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร ซ้ำยังหัวเราะขันๆอีกต่างหาก ที่น่าแปลกคือเข็มกลัดตรงอกเสื้อกำลังบ่งบอกว่าเจ้านี่ไม่ใช่คนจากแคมป์รอนเดล แล้วเขาเข้ามาได้ยังไงกัน

 

                     "ก็เธออยากน่ารักเองทำไมเล่าสาวน้อย...ไปเที่ยวที่ห้องฉันสิ อยู่ดื่มชาด้วยกันสักคืนแล้วฉันจะไม่มาแอบตามแล้ว"

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นระริกระรี้ออกนอกหน้า ดูคร่าวๆแล้วเขาคงจะเป็นรุ่นพี่แน่ๆ แถมพ่วงด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจอย่างแรง ที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือ...เห็นชัดแล้วว่าไอริสไม่ปลื้มเขานักหรอกถึงจะหน้าตาดูดีมีระดับก็เถอะ นั่นทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองไม่อาจเพิกเฉยไว้ได้

  

                    "เฮ้ คุณเป็นรุ่นพี่นะ ทำแบบนี้ไม่เหมาะสมเอาซะเลยครับ"

 

ลอว์เรนซ์เดินออกมายืนบังหน้าไอริสไว้ด้วยท่าทีมาดมั่นแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ร้องขอ นัยต์ตาสีฟ้าเย็นชาแข็งกร้าวปราดมองไปที่รุ่นพี่คนนั้นอย่างเอาเรื่อง แต่นัยต์ตาสีเขียวคู่นั้นกลับดูฉายแววแห่งความท้าทายกลับคืนมาเช่นเดียวกัน

 

                   " กล้ามากนะ นายเป็นใครงั้นรึถึงกล้ามาหยามว่าที่รัชทายาทอย่างฉัน เจ้าชายลัวด์ เลอคูล เอลฟิเลียส คนนี้น่ะห้ะ!?"

เจ้าตัวประกาศโฆษณายศศักดิ์ตัวเองแบบเสร็จสรรพ ซึ่งไม่ได้สร้างความกลัวเกรงให้แก่ลอว์เรนซ์เลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มเหยียดขยับขึ้นทันที

  

                  "เป็นว่าที่ราชนิกูลที่ทำตัวไร้มารยาทเสียจริงนะ ผมก็เหมือนกับรุ่นพี่นั่นล่ะครับ ชื่อของผมคือลอว์เรนซ์ เซอแลนเซียร์ เวสเบิร์ก ว่าที่รัชทายาทจากราลเดรูลน์"

  

                 "ดี...จะได้คุยกันง่ายหน่อย ส่งตัวเธอมาดีกว่าถ้าไม่อยากมีปัญหา ผู้หญิงคนนั้นเป็นของฉัน ฉันก็แค่อยากมาชวนเธอไปดื่มน้ำชาหรืออะไรต่อมิอะไร ไม่ต้องมาแส่ไม่เข้าเรื่องได้ไหม"

 

ดาบแหลมคมข้างลำตัวถูกชักออกมาถือไว้อย่างรวดเร็ว ...กะอีแค่เรื่องผู้หญิงอันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องถึงกับฆ่าแกงกันหรอก แต่ไม่รู้เพราะอะไรลัวด์จึงอยากจะทดสอบเจ้าเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้เสียจริงๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างกายก็ขยับไปเองโดยอัตโนมัติ จริงๆแล้วเขาไม่ใช่คนที่ถนัดการใช้ดาบและนี่ก็ไม่ใช่ศาสตราหลักของเขาด้วย แต่ก็น่าสนว่าเด็กนี่มันจะทำยังไงต่อไปมากกว่า

 

                   "ฉันไม่ใช่สิ่งของและไม่ใช่ของนายย่ะ! ไอ้บ้า!"

 

ไอริสตวาดใส่ เธอรู้สึกโกรธจนอยากจะออกไปซัดกับไอ้หมอนั่นให้รู้เเล้วรู้รอด ฐานเจ้าชู้ไม่เลือกที่แต่ก็ติดตรงมีเขาคนนี้มาขวางเอาไว้ก่อน

และก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะได้โต้ตอบอะไร เสียงของรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่มาเดินตรวจหอพักของแคมป์รอนเดลร่วมกับรุ่นพี่อีก 2 คนก็ดังมาแต่ไกล ทำให้เจ้าชายลัวด์ต้องจำใจเก็บดาบลงอย่างเสียไม่ได้ ถึงแม้จะรู้สึกเสียดายและหมดสนุกไปนิดหน่อย แต่เขาคิดว่าอีกไม่นานก็คงได้พบเจอเด็กนี่บ่อยขึ้นอีกในฐานะว่าที่รัชทายาทเหมือนกัน

  

                    "นายไปซะดีกว่า...ถ้าไม่อยากมีเรื่องกับคนที่แคมป์นี้"

 

                   "น่าเสียดาย แต่วันนี้ฉันจะขอถอยทับไปก่อนก็ได้ หึ แต่อย่าลืมนะไอริส ฉันยังไม่คิดตัดใจจากเธอหรอก"

 

แค่เพียงวูบเดียว...ร่างคนตรงหน้าก็แว่บหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไอริสถอนหายใจแบบเซ็งๆ เสียงพวกอาจารย์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ในตอนที่ไม่มีใครคาดคิด เธอผลักลอว์เรนซ์เข้าไปในห้องเบาๆ มือเรียวยาวสองข้างดึงใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มผู้เย็นชาให้โน้มตัวลงมาจุมพิตกับริมฝีปากอวบอิ่มนั้นของตน...

ความเงียบเกิดขึ้นในชั่วอึดใจ...จูบที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้แฝงด้วยความรักหรือเร่าร้อนแต่อย่างใด แต่กลับเป็นความอบอุ่นที่ดูน่าประหลาด เด็กสาวผละร่างของเธอออกจากเขา ลอว์เรนซ์มัวแต่ตะลึงและตัวแทบจะแข็งทื่อไปแล้ว เขาทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่ยืนนิ่ง ไม่ได้ถามคำถามที่ตีกันยุ่บยั่บอยู่ในหัวออกไป เด็กสาวยิ้มพลางหันหลังให้เขาก่อนที่จะเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา

 

                    "รางวัลสำหรับนายไงล่ะ เจ้าชายแห่งราลเดรูลน์ นั่นไม่ใช่รักร้อนแรงอะไรอย่างที่เข้าใจ มันคือสัญลักษณ์ของการยอมรับ..."

 

สาวเจ้าเดินจากไปเสียดื้อๆทิ้งความงุนงงไว้เบื้องหลัง เธอเดินสวนทางกับรุ่นพี่ที่มาตรวจหอพัก แต่เขาก็แค่ตักเตือนให้เธอรีบกลับเข้าห้องไปเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นอีก ชิเรปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา เขามองดูใบหน้าสงบนิ่งของเจ้าชายแห่งราลเดรูลน์ที่พึงผ่านการกระทำแบบไม่ทันตั้งตัวนั่นมา เขาและเธอคนนั้นต่างก็ไม่ได้มีท่าทีขวยเขินอะไรมากมายนัก จนชิเรรู้สึกสงสัยว่าเขาคงจะตื่นเต้นและเกร็งมากเกินไป

 

                     " นั่นเป็นครั้งแรกของคุณเหรอครับ ?"

 

                     " ถ้าใช่แล้วมันยังไง แปลกเหรอ"

  

                     " เปล่าครับ ทุกคนก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น แต่เมื่อครู่จากที่คุณไอริสเขาพูดไว้ จูบนั่นคงจะเป็น สัญลักษณ์อันแสดงวัฒนธรรมจากซานเดรียเท่านั้น "

  

                    " วัฒนธรรมจากซานเดรียงั้นเหรอ?"

  

                    " การจูบสำหรับหญิงสาวจากประเทศซานเดรีย มีสองความหมายคือ การจูบเพื่อแสดงออกถึงความรักในเชิงชู้สาว รักนิรันดร์และผู้ที่เธอเลือกให้เป็นคนรัก กับ ประการที่สอง สำหรับเพื่อนที่เธอไว้ใจและยอมรับในตัวพวกเขา ไม่ว่าชายหรือหญิง หากได้รับจูบนี้ มันคือความสัตย์จริงที่จะไม่มีวันแปรพักตร์ครับ"

  

                    " โชคดีไปนะที่ไม่ใช่ข้อแรก"

 

ลอว์เรนซ์ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจจูบของไอริส ก็แค่ตกใจมากกว่า แต่อย่างน้อยต่อจากนี้ทั้งเธอและเขาก็ต้องทำหน้าที่ร่วมกันในฐานะหัวหน้าห้องและรองหัวหน้าเพื่อช่วยงานอาจารย์มิแรนด้ากันไปทั้งเทอม ระหว่างนี้เขาก็คงจะได้พบเจอกับเรื่องที่น่าตกใจมากกว่านี้อีกหลายเท่า การปฏิบัติหน้าที่จะเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ลอว์เรนซ์พุ่งตรงเข้าไปเพื่ออาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด ก่อนที่จะมาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดนอนสบายๆ เขาล้มตัวลงนอนอย่างหนื่อยล้า ชิเรเองก็ดูเหมือนจะเข้าไปอาบน้ำต่อจากเขา แต่หมอนั่นยังคงวางหนังสือไว้ที่โต๊ะ ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาอ่านต่ออีกหรือไม่ ครุ่นคิดไปได้สักพัก นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยก็เริ่มปรือลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเด็กหนุ่มก็ผลอยหลับไป

 

 

 

 

 

 

 

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป