Your Wishlist

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์) (Rewrite) (06 ยินดีต้อนรับสู่เซนต์คาดิลอร์ฟ (Rewrite))

Author: Sayyeon

" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "

จำนวนตอน : N/A

06 ยินดีต้อนรับสู่เซนต์คาดิลอร์ฟ (Rewrite)

  • 27/07/2564

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์)
ภาค 1 ศึกปะทะอัศวินแห่งความมืด


  

 

 

 

 

 

           ในที่สุดวันเปิดภาคเรียนของโรงเรียนเซนต์คาดิลอร์ฟซึ่งขึ้นชื่อว่าโด่งดังเป็นอันดับต้นๆในโลกแวมไพร์ก็มาถึง ลอว์เรนซ์ก้าวผ่านประตูเข้ามาพร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วย เนื่องจากโรงเรียนนี้จำเป็นต้องให้นักเรียนทุกคนพักอยู่ที่หอพัก เขาจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรหลายอย่าง ก่อนที่จะขึ้นรถไฟเดินทางมาถึงในเช้านี้ บรรดาเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายซึ่งเป็นเด็กนักเรียนเฉกเช่นเดียวกันต่างเดินกันไปมาเต็มสนามหญ้าสีเขียวขจี ทุกคนแต่งชุดนักเรียนกันเรียบร้อยสมกับเป็นเปิดเทอมวันแรก ลอว์เรนซ์เองก็เป็นเพียงนักเรียนปี 1 ที่ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าควรจะทำยังไงต่อไป เพราะเขาจำเป็นที่จะต้องหาหอพักของตัวเองให้เจอก่อนถึงเวลานัดรวมพล ธงสีน้ำเงินเข้มประดับลวดลายสัญลักษณ์ของตราแวมไพร์ควบคู่ไปกับตราโรงเรียนถูกวางตั้งประทับไว้เป็นจุดๆตามตัวอาคารอิฐสีน้ำตาล แต่ละสถานที่นั้นดูราวกับปราสาทเก่าที่แสดงถึงความขลังและลึกลับ

    

             "อ้าว...นั่นลอว์เรนซ์นี่ ไม่ได้พบกันนานเลยนะ "

 

เสียงทักทายของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อเขาหันไปมองก็พบกับใบหน้าขี้เล่นน่ารักของใครคนหนึ่งที่ส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตรที่ข้างๆกันนั้นมีอีกคนหนึ่งมาด้วยกัน เป็นบุคคลที่เขาจะไม่มีวันลืมได้เด็ดขาด เพราะหมอนั่นคือ...ไซม่อน บัสเดวิล เจ้าเด็กนักรบตะวันออกที่ถีบหัวส่งเขาให้ปลิวเมื่อไม่นานมานี้เอง ไซม่อนยิ้มร่าทันทีที่ได้พบกับเขา ทั้งสองหนุ่มต่างก็หิ้วกระเป่าเดินทางใบยักษ์มาด้วยเช่นเดียวกัน

 

          "...เอ่อ ขอโทษนะ นายเป็นใคร?"

 

ลอว์เรนซ์หันไปถามคนที่เอ่ยทักเขา โดยไม่ได้คิดจะสนใจไซม่อนที่มองเขายิ้มๆเหมือนขำอะไรสักอย่าง เด็กหนุ่มคนนั้นถึงกับทำหน้าเลิกคิ้วเหมือนปลงเล็กน้อย ว่าอีกฝ่ายคงจะจำเขาไม่ได้ แต่ก็ไม่คิดจะถือสาอะไร

    

          "ฉันชื่อเนออน เฟเลนเชีย เป็นเจ้าชายจากซาคาเซียร์ไงล่ะ สมัยเด็กเราก็เคยเจอกันในงานเลี้ยงอยู่บ่อยๆนะ "

    

           "..."

 

เมื่อได้ยินดังนั้นลอว์เรนซ์ก็เริ่มนึกตามว่าบางทีเขาอาจจะเคยพบกับเนออนที่ไหนสักแห่ง แต่ก็นึกไม่ออกเลย คงจะพอคุ้นๆกันตามประสาพวกที่เป็นว่าที่เจ้าชายรัชทายาทเหมือนกันก็ได้ล่ะมั้ง เรื่องราวในวัยเด็กของเขามีทั้งเรื่องที่จดจำได้และไม่ได้ บางช่วงที่พยายามจะนึกให้ออกมันก็ราวกับเลือนรางและถูกปิดผนึกเอาไว้

  

           "ขอโทษอีกครั้ง ฉันคงจะไปอยู่โลกมนุษย์มานานก็เลย.."

 

           "อ้ออ จริงด้วยสิ ฉันเองก็ได้ข่าวมาเหมือนกัน ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะ เราอาจได้อยู่ห้องเดียวกันก็ได้ "

 

เนออนยื่นมือมาจับกับเขา แล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาดูเป็นเจ้าชายที่น่ารักและเฟรนลี่ ไม่ถือตัวและเย่อหยิ่งผิดกับเจ้าชายทั่วๆไปมากนัก ซึ่งหลังจากนั้นเนออนก็จัดการชวนลอว์เรนซ์ให้ไปด้วยกัน พร้อมกับบอกเรื่องราวน่าสนใจให้ฟังระหว่างทางที่เดินกันไป ขณะที่ไซม่อนก็เดินติดตามไปด้วย เขาไม่ได้รู้จักเนออนเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่เพราะความเข้ากับคนง่ายจนไม่น่าเชื่อ เนออนคงจะถูกใจอะไรเขาเข้าสักอย่างจึงขอเดินเข้าโรงเรียนมาด้วย

  

            "นี่ๆ นายรู้รึเปล่าว่าก่อนที่จะแบ่งห้องกัน เขาจะมีการคัดเลือกก่อนว่าเราจะได้อยู่แคมป์ไหน"

    

           "แคมป์งั้นเหรอ?"

    

           " ใครจะได้พักอยู่หอไหน การเลือกแคมป์นี่แหละจะเป็นตัวตัดสิน "

 

ลอว์เรนซ์ส่ายหน้าเบาๆ เขาแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโรงเรียนแห่งนี้เลย เพราะพอกลับมาที่นี่อีกที ซีเบลก็ดันจัดการสมัครหาโรงเรียนไว้ให้เขาเรียบร้อยโดยไม่ถามไถ่กันสักนิด แถมเธอก็ยังบอกอีกว่าให้เขาเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เพราะที่แห่งนี้นักเรียนทุกคนต้องอยู่ด้วยตนเองไม่มีใครช่วยได้ตลอด ให้ตายสิ..ก็รู้อยู่หรอกนะ แต่เล่นไม่บอกอะไรกันเลยแบบนี้ใครจะไปทำใจได้ ตั้งแต่เรื่องที่ร้านของยัยแก่เอมิเลียนั่นแล้ว หวังว่าโรงเรียนแห่งนี้คงจะดูเป็นมิตรกับนักเรียนใหม่อย่างเขาบ้างนะ

 

                 " ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป พวกนายจะเล่าเรื่องแคมป์ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม"

  

                "ฉันยกให้ไซม่อนอธิบายดีกว่า "

 

เนออนยิ้มแล้วหันไปโยนหน้าที่อธิบายเรื่องราวให้ไซม่อนแทน เด็กหนุ่มกระแอมเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มการสาธยายเรื่องราว ประหนึ่งว่าตนเองเป็นครูสอนหนังสือเด็ก

  

               " อะแฮ่ม...ก็คือว่านะ โรงเรียนนี้ก็จะมีการแบ่งหอพักตามแคมป์ที่มีอยู่ นักเรียนทุกคนจะต้องเข้ารับการคัดสรรเพื่อให้รู้ว่าตัวเองอยู่แคมป์ไหน แคมป์ทั้งหมดจะมี 4 แคมป์ คือ 1.แคมป์ริเชียส (แวมไพร์ผู้เป็นราชา) 2.แคมป์โนแวน (แวมไพร์ผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา) 3.แคมป์โอลเวน (แวมไพร์ผู้เป็นนักรบ)  4.แคมป์รอนเดล (แวมไพร์ผู้มีเจตจำนงแห่งคุณธรรม ) ถ้าเราได้คัดเลือกแคมป์แล้ว เดี๋ยวก็ได้รู้หอพักกับห้องเองล่ะนะ ที่สำคัญจะว่าเราเป็นผู้เลือกก็ไม่เชิงหรอก นักเรียนนี่แหละคือผู้ถูกเลือก จิตใจของเรา สิ่งที่เป็นตัวเราจะถูกตัดสินที่นี่ "

 

จากการที่ไซม่อนช่วยอธิบายนั่นทำให้เขาเริ่มรู้อะไรมากขึ้นและก็เริ่มกังวลขึ้นมานิดหน่อย ดูเหมือนว่าแค่เพียงก้าวแรกสำหรับโรงเรียนก็ดูเป็นเรื่องยากขึ้นมาแล้ว ทั้งสามเดินต่อไปจนถึงจุดที่มีพวกรุ่นพี่ยืนประจำการต้อนรับเหล่านักเรียนปี 1 อยู่ ซึ่งก็มีเด็กคนอื่นเริ่มพากันทยอยลากกระเป๋าตามๆกันมา

 

           "พวกเธอเป็นนักเรียนปี 1 ใช่ไหมจ้ะ?"

 

ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นพวกเขา ซึ่งทั้งสามก็พยักหน้า เธอยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะเดินนำพาพวกเขาเข้าไปยังอาคารหลังหนึ่งที่ด้านในมีเด็กหลายคนกำลังเดินอยู่ข้างหน้า ทุกคนมีรุ่นพี่ช่วยนำทางให้จนในที่สุดก็เข้ามาถึงห้องประชุมใหญ่ ที่มีโต๊ะสีน้ำตาลยาวพร้อมเก้าอี้วางเรียงรายรอให้เด็กๆเข้าไปเลือกนั่ง แชนเดอเลียสีสวยประดับอยู่ติดกับเพดานห้องให้ความสว่างสดใส ประตูหน้าต่างของอาคารนั้นทำด้วยไม้มะฮอกกานี เป็นโครงขึ้นมาอย่างเป็นระเบียบและแข็งแรงที่ตรงกลางเป็นกระจกสเตนกลาสมีลวดลายสวยงาม แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านเข้ามาเล็กน้อย บนฝ้าเพดานนั้นแตกต่างออกไป มันไม่ได้ทำด้วยไม้ แต่เป็นกระจกแบบสเตนกลาสเช่นเดียวกับส่วนกลางของหน้าต่าง

  

           "เอาล่ะ..พวกเธอเลือกที่นั่งได้ตามสบายเลยนะจ๊ะ ส่วนกระเป๋านี่วางไว้ตรงนี้เลย เดี๋ยวจะมีคนเอาไปเก็บให้เอง "

 

            "ขอบคุณนะครับ ^^"

 

รอยยิ้มของเนออนเล่นเอาเจ้าหล่อนหน้าแดงขวยเขินไปแปบหนึ่ง ก่อนจะแสร้งทำยิ้มกลบเกลื่อนแล้วรีบเดินจากไปปล่อยให้พวกเขาหาที่นั่งกันตามลำพัง เนออนมักจะชอบยิ้มแบบนี้กับทุกคนเสมอและคงจะไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นหว่านเสน่ห์ไปเยอะแค่ไหน เพราะคงไม่ได้มีแค่พี่สาวคนนั้นที่แสดงกิริยาขวยเขินให้ได้เห็น แต่กับเด็กสาวนักเรียนใหม่คนอื่นที่มองเห็นรอยยิ้มนั้นก็มีเคลิ้มตามกันไป แม้ว่าเจ้าตัวจะมีราศีเด่นชัดขนาดนี้ แต่ก็ดูเขาจะไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้างเท่าไหร่นัก

สามสหายพากันเดินเข้ามาหาที่นั่งแล้วรออย่างสงบ ไม่นานนักผู้คนก็เริ่มทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆจนเต็มแทบทุกที่แล้ว เหล่าคณาจารย์ทุกท่านก้าวย่างเข้ามาภายในห้องประชุมอย่าสง่าไม่ว่าชายหรือหญิง พวกเขาล้วนแต่ดูดีในแบบของเเวมไพร์ ไม่ว่าจะสีผิวและหน้าตาที่โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะชายผู้หนึ่งที่ดูมาดเข้มหล่อเหลาเอาการ เขาแต่งกายด้วยสูทสีกรมและก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นที่ยกสูงเหนือคนอื่นๆ เสียงฮือฮาของว่าที่นักเรียนใหม่ทุกคนเริ่มเงียบลงอีกครั้ง

  

              "สวัสดีเด็กๆที่รักทุกคน...ฉันมีชื่อว่าริชาร์ด ฮาเวลส์ เป็นผู้อำนวยการของที่นี่ ยินดีต้อนรับเหล่าเด็กปี 1 น้องใหม่ของเซนต์คาดิลอร์ฟ..."

 

น้ำเสียงหนักแน่นบวกกับใบหน้าเปื้อนยิ้มแลดูเป็นมิตรนั้นสร้างความอบอุ่นใจให้แก่นักเรียนทุกคนอีกครั้ง ทั้งลอว์เรนซ์และคนอื่นๆต่างพากันปรบมือให้อย่างอัตโนมัติ  พร้อมกับรอฟังต่อด้วยความตั้งใจ ผู้อำนวยการริชาร์ดกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆพูดอธิบายต่อ

 

                 "ในเมื่อตอนนี้พวกเธอก็มาอยู่กันพร้อมแล้ว ทางเราก็จะขอดำเนินการขั้นต่อไปตามกฎข้อบังคับของโรงเรียน นั่นก็คือการจัดสรรคัดเลือก ' แคมป์ ' ให้กับพวกเธอ ซึ่งถือว่าแคมป์ที่พวกเธอได้เข้าไปอยู่นั้นจะเป็นเหมือนค่ายฝึกที่ช่วยสอนพวกเธอในเรื่องต่างๆ แต่ละแคมป์ย่อมมีจุดเด่นแตกต่างกันไป ฉันหวังว่าพวกเธอจะมีความสุขกับการได้เรียนที่นี่นะเด็กๆที่รัก "    

 

หัวใจของลอว์เรนซ์พองโตเมื่อได้ยินถึงเรื่องของแคมป์ เขาไม่ค่อยมั่นใจนักว่ามีใครอยากจะรับแวมไพร์ที่ถือครองพลังต้องห้ามแบบเขาไปด้วยรึเปล่า...แต่ที่นี่เป็นโรงเรียนนะ เขาไม่ควรที่จะรู้สึกว่าตัวเองแปลกประหลาดไปกว่าใครทั้งนั้น ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้สิ มั่นใจหน่อย เขาพยายามปลอบขวัญตัวเองเพื่อลดความกังวลและประหม่า

  

                   "...อ้อ แล้วก็อีกอย่าง เมื่อพวกเธอรู้เรื่องแคมป์แล้วก็อย่าลืมไปจัดการกับเรื่องหอพักของตัวเองด้วยล่ะเด็กๆ ฉันหวังว่าพวกเธอจะตั้งใจ มุ่งมั่นและอยู่ร่วมกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่มีการแบ่งแยกใดๆ เพราะสิ่งที่โรงเรียนของเราต้องการก็คือความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าพวกเธอจะเป็นใครมาจากไหน แต่อยู่ที่นี่ พวกเธอคือนักเรียนคนหนึ่งของเซนคาดิลอร์ฟเท่านั้น "

 

ท่านผู้อำนวยการริชาร์ดไม่พูดอะไรเพิ่มเติมและก้าวลงจากแท่นไป ยกหน้าที่ให้อาจารย์ท่านอื่นออกมาทำหน้าที่ต่อ โดยอาจารย์ได้สั่งให้พวกรุ่นพี่ปี 7 มาทำการต้อนรับเด็กปี 1 ซึ่งเป็นน้องเล็กสุด ลอว์เรนซ์ เนออนและไซม่อนถูกจับไปรวมกับนักเรียนอีกกลุ่ม ซึ่งนักเรียนปี 1 ทั้งหมดนั้นรวมแล้วมี 120 คน ถูกจัดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม รุ่นพี่ปี 7 ได้นำทางกลุ่มของลอว์เรนซ์ไปเดินชมรอบๆโรงเรียนและแนะนำสถานที่ต่างๆ ถือเป็นการรับน้องที่ไม่เลวร้ายและเป็นมิตรมาก 

  

             "เอาล่ะ..ที่นี่คือลานอเนกประสงค์ ตรงกลางลานนี้จะมีน้ำพุขนาดใหญ่ สถานที่แห่งนี้ถูกนำมาใช้เรียนฝึกศาสตราในวิชาของพวกเธอด้วยนะ "

 

รุ่นพี่เอริคเอ่ยยิ้มๆ เขาเป็นหนุ่มแว่นปี 7 ที่ขาวออร่าน่ารักน่าเอ็นดูทำเอาสาวๆในกลุ่มกรีดกร๊าดออกหน้าออกตา ผมสีน้ำตาลลอนนั่นก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์ เขาดูมีอารมณ์ขันและยังพร้อมจะตอบคำถามเด็กๆทุกคนผู้อยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด

 

                  "รุ่นพี่นี่เรียนห้องไหนเหรอคะะ?"

  

                   "มีแฟนรึยังคะเนี่ยยย?><"

 

                 "รุ่นพี่เอริคอยู่แคมป์อะไรรึครับ?"

 

เมื่อได้ยินคำถามล่าสุด เอริคก็ทำเป็นปัดๆคำถามก่อนหน้าของพวกรุ่นน้องสาวๆทิ้งไป แล้วหันมาตอบคำถามของเด็กหนุ่มน้อยนัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยดุจน้ำทะเลคนนี้แทน

  

                 "พี่อยู่แคมป์ 'โนแวน' น่ะ พวกเธอคงเป็นกังวลกันสินะว่าจะได้อยู่แคมป์ไหน แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ พวกรุ่นพี่น่ะรักรุ่นน้องในแคมป์ตัวเองเหมือนน้องแท้ๆกันทั้งนั้นแหละ ถ้ามีอะไรให้ช่วยหรือมีข้อสงสัยก็ไม่ต้องกลัวที่จะขอความช่วยเหลือ"

 

เอริคพูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น เขาหันไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ของโรงเรียนที่ตอนนี้บอกเวลาว่าใกล้จะถึงเวลาแห่งหน้าที่จริงๆในวันนี้ของเขาแล้ว ท่าทีของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป เขาเริ่มเดินเร็วขึ้นและเร่งให้เด็กๆพากันตามมา

    

               "ได้เวลาแล้วล่ะทุกคน ตามพี่มาทางนี้เร็ว"

 

เด็กๆไม่รอช้ารีบเร่งฝีเท้าตามเอริคที่เดินนำพาทุกคนผ่านทางเดินยาวตัดสนามหญ้าเข้ามายังอาคารเล็กทรงห้าเหลี่ยมแปลกประหลาดที่มียอดด้านบนยาวสูงขึ้นไปคล้ายกับยอดของโบสถ์ เมื่อคนสุดท้ายในกลุ่มก้าวผ่านประตูบานใหญ่เข้ามากันครบ ประตูก็ถูกปิดเองทั้งที่ไม่มีใครไปขยับมัน ภายในห้องนั้นปกคลุมไปด้วยความมืดได้ยินเพียงแค่เสียงอื้ออึงของอะไรสักอย่าง...

เหล่าเด็กผู้หญิงในกลุ่มพากันส่งเสียงร้องกันเพราะกลัวความมืด ลอว์เรนซ์เองก็งุนงงไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาพยายามปัดป่ายมือหาเพื่อนอีกสองคนแต่ก็ไม่พบทั้งที่เมื่อกี้ยังเดินอยู่ข้างๆกัน จนกระทั่งได้ยินเสียง...เสียงของเนออนตะโกนดังขึ้นท่ามกลางความมืด

 

              "...รุ่นพี่เอริค! นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ!?"

 

            "อย่าพึ่งตกใจกันไปสิ สิ่งนี้คือแสงนำทาง พวกเธอทุกคนเข้าไปยืนตรงจุดที่มีแสงนั้นสิ "

 

แสงนำทางที่รุ่นพี่เอริคว่านั้นคือ แสงสีฟ้าครามที่เปล่งประกายขึ้นท่ามกลางห้องที่มืดมิด ลอว์เรนซ์เดินไปใกล้แสงนั่นตามคำบอกกล่าว ทั้งเนออนและไซม่อนเองก็กระเถิบตัวตามกันมา ไม่นานนักแสงนั่นก็ถูกเหล่าเด็กปี 1 ล้อมวงรอบมันเอาไว้แล้ว มีหลายคนตะโกนร้องหารุ่นพี่เอริคว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา นเด็กบางส่วนเริ่มเป็นกังวลไปตามๆกัน แต่ในไม่กี่วินาทีที่เผลอละสายตาจากสิ่งนั้น แสงนำทางตรงหน้าก็สว่างวาบขึ้น จนทนมองไม่ไหว ลอว์เรนซ์และคนอื่นๆร้องอุทานพร้อมหลับตาลง

  

               "...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ? "

 

เมื่อลืมตาขึ้น ลอว์เรนซ์ก็พบว่าเหลือเขาอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น รอบๆตัวไม่มีใครอยู่เลย เด็กหนุ่มกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ราวกับได้ยินคำถามนั้นในใจของเด็กหนุ่ม...วงเวทย์ที่เคลื่อนอยู่รอบตัวได้เริ่มเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นเหมือนผีเสื้อของโลกมนุษย์ แต่มันมีปีกและกายสีน้ำเงินสวยงาม เหล่าผีเสื้อบินวนรอบตัวเขาอีกครั้ง พร้อมกับเปล่งเสียงพูดเล็กๆออกมา...

  

                " หากท่านปรารถนาที่จะเลือกสิ่งใดที่กำลังค้นหา...จงเลือกสิ่งที่มีเพียงท่านเท่านั้นที่มองเห็นได้เถิด..."

 

หรือว่า...มันคือการทดสอบเข้าแคมป์ที่รุ่นพี่เอริคพูดถึง บางทีทุกคนอาจจะประสบกับเหตุการณ์แบบเดียวกับเขาอยู่ก็ได้  ลอว์เรนซ์เริ่มนึกคิดเพราะพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆแล้ว ทันใดนั้นแหวนเวทย์พิธีกรรมของเขาที่สวมอยู่ก็เปล่งแสงขึ้นมา ราวกบบอกใบ้เป็นสัญญาณอะไรสักอย่าง เขายื่นแขนซ้ายไปข้างหน้าก่อนจะพึมพำบางอย่างกับแหวนสีเงินของตนเอง

  

             "นำทางให้ฉันที "

 

แสงสว่างจากแหวนสีเงินเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม นั่นทำให้ลอว์เรนซ์มองเห็นเส้นทางในอากาศที่เหมือนๆกับเหล่าผีเสื้อที่บินวนอยู่ตอนนี้ เขาเริ่มตั้งสมาธิและใช้วิถีของแวมไพร์พุ่งตัวกลางอากาศไปตามเส้นทางที่ปรากฎขึ้น...และแล้วเสียงเล็กๆนั่นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

  

               "ก่อนที่จะถึงปลายทางซึ่งมีบางสิ่งรอท่านอยู่ ข้าขอถามคำถามกับท่านสัก 2-3 คำถามเถิด "

 

เด็กหนุ่มพยักหน้าเบาๆ ขณะที่หยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ เจ้าผีเสื้อผู้เป็นตัวแทนยิ้มน้อยๆกระพือปีกบางๆอย่างอารมณ์ดี หนวดเล็กๆขยับไปมาเหมือนใคร่ครวญอะไรสักอย่าง

  

                "...หากว่าวันหนึ่งท่านได้เป็นพระราชาผู้ปกครองบัลลังก์ในเมืองใหญ่ แต่ทว่า..โชคร้ายที่ในวันหนึ่งมีปิศาจร้ายเข้ามายึดครองแล้วร่ายคำสาปให้เมืองทั้งเมืองนั้นกลายเป็นหินไปพร้อมกับประชาชน ท่านจึงจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือชาวเมือง จึงได้ออกเดินทางไปในป่าเพื่อค้นหาเทพธิดาองค์หนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ สิ่งที่ท่านนำติดตัวไปด้วยมี 1. เงินทอง 2.ดาบ 3.ธนู 4.ชุดเกราะ 5.มงกุฎอันแสดงว่าท่านนั้นเป็นราชาและจะทำให้ได้รับสิทธิพิเศษทุกสิ่งอย่างแม้ว่าจะตกทุกข์ได้ยาก..."

 

ผีเสื้อน้อยกระแอมเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ประเด็นของแก่นเรื่องที่แท้จริงในครั้งนี้ ขณะที่ลอว์เรนซ์นั้นสงบนิ่งและตั้งใจฟังเป็นอย่างดี

  

                 "...ถ้าหากว่าระหว่างทางเพื่อให้สามารถผ่านไปหาเทพธิดาได้ ท่านต้องทิ้งสิ่งของที่นำมา ท่านจะทิ้งสิ่งใดเป็นอันดับแรกงั้นหรือ...? "

 

คำถามนั้นทำเอาเด็กหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พลางครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆสักครู่ เพราะเขาต้องคิดหาคำตอบที่ดูเป็นเหตุเป็นผลว่าแท้จริงแล้วควรจะเป็นอย่างไร ขณะที่อีกฝ่ายรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแปลกๆ ลอว์เรนซ์ก็นึกถึงคำพูดของไซม่อน ว่าสิ่งที่หมอนั่นเคยพูดอธิบายไว้ คือ แคมป์ต่างหากที่เลือกเรา เลือกเราจากความเป็นตัวเอง ตรงประโยคนี้ได้สะกิดใจเขาเป็นอย่างมาก นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยเริ่มฉายแววของความกระจ่าง เขาเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ไซม่อนพูดไว้ เราไม่ควรจะคิดว่าผู้อื่นจะตอบอย่างไร หรือคำตอบแท้จริงกำหนดเอาไว้อย่างไร แต่นี่มันคือคำตอบที่ควรมาจากตัวตนของตนเอง ในที่สุดเขาก็ยอมตอบออกมา ด้วยใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ตามนิสัย

  

                  " เงินทอง..คือสิ่งที่ฉันจะทิ้งเป็นอันดับแรก"

  

                 "โอ้..ท่านมิสนใจเงินทองหรอกหรือ? หรือเพราะท่านถือตัวว่าเป็นราชาจึงได้ไม่สนใจเงินทองเหล่านั้นกันล่ะ?"

  

                 " เปล่าเลย ที่ฉันเลือกจะทิ้งมันไป..เพราะคนเราไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เงินทองก็เป็นเพียงสิ่งที่นำมาใช้เเลกเปลี่ยนอีกสิ่งหนึ่งตามความต้องการเท่านั้น มันไม่อาจใช้กับตัวเราได้เสมอไป ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะซื้อได้ด้วยเงิน"

 

คำตอบฉะฉานจากเจ้าชายแห่งราลเดรูลน์เล่นเอาผีเสื้อสีน้ำเงินตนนั้นยิ้มออกมา ผีเสื้อตัวอื่นๆที่บินอยู่ก็เช่นกัน

  

                  " แล้วถ้าจนกว่าจะถึงตัวเทพธิดาท่านต้องประสบพบกับอันตรายล่ะก็ ท่านคิดว่าท่านจะต้องทิ้งอะไรไปจนกว่าจะถึงสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่กันล่ะ?"

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ลอว์เรนซ์เป็นฝ่ายยิ้มออกมาบ้าง เด็กหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย พลางเริ่มพูดแจกแจงเหตุผลของตัวเองออกมา นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยฉายประกายแห่งความมุ่งมั่น นิ่งสงบและจริงใจ 

  

                   "...สิ่งที่ฉันจะทิ้งต่อจากเงินทองนั่นก็คือ ธนู มันก็จริงอยู่ว่าธนูนั้นเป็นศาสตราที่ร้ายกาจและเล็งได้ทั้งใกล้ไกล แต่หากในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะเจอกับอันตรายแบบไหน การใช้ธนูในการต่อสู้นั้นจำเป็นต้องอาศัยเวลาในการเล็งและความแม่นยำมากเกินไป "

 

ผีเสื้อน้อยบินขึ้นลงรอฟังต่ออย่างตื่นเต้นและนึกชื่นชมเด็กหนุ่มคนนี้ยิ่งนัก มันคงเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่ไม่ค่อยได้พานพบคำตอบดีๆเช่นนี้มาก่อน ตลอดเวลาหลายร้อยปีที่ทำหน้าที่ในฐานะผู้คัดสรรเลือกเด็กใหม่เข้าแคมป์ ไม่ใช่ทุกปีที่จะเจอเด็กที่มีความพิเศษทั้งกายและจิตใจเช่นนี้เลย

    

                   " และต่อจากธนู..สิ่งที่จะทิ้งก็คงจะเป็นมงกุฎล่ะมั้ง "

  

                  "เอ๋? มงกุฎงั้นหรือ แต่ว่ามงกุฎนั่นเป็นสิทธิพิเศษให้แก่ท่านได้เลยเชียวนา คิดดีแล้วรึ?"

 

ลอว์เรนซ์ยิ้มบางขณะที่พยักหน้าเบาๆ

  

                 "ใช่..แต่สิทธิพิเศษนั่นก็ไม่ได้บอกนี่นาว่าจะใช้ได้กับเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่เขตแดนของผู้เป็นราชา เพราะงั้นเมื่อออกมาแล้วมันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรนักหรอก สิ่งที่มีเงื่อนไขมักจะจะพันธนาการผู้ใช้เอาไว้เสมอนั่นแหละ"

  

                 "อ้ออ จริงด้วยสินะ"

  

                 "อา..แล้วก็สิ่งที่ฉันจะทิ้งเป็นอย่างต่อไปก็คือ...ชุดเกราะ ชุดเกราะนั้นสามารถป้องกันเราจากภัยอันตรายได้ก็จริง แต่จากเรื่องที่พูดมาสิ่งของมีทั้งหมด 5 อย่างแปลว่าแต่ละรอบนี้ต้องทำมาเพื่อให้สละพอดีกับด่านที่จะไปถึงตัวเทพธิดา ซึ่งก็ถือว่านี่เป็นอันตรายใกล้กับด่านสุดท้ายแล้ว ดังนั้นฉันจึงจะเหลือดาบไว้เป็นสิ่งสุดท้ายเพื่อปกป้องตัวเองและฝ่าฝันไปจนถึงตัวเทพธิดา..."

 

                 "...ท่านนั้นช่างเป็นบุคคลผู้สามารถยิ่งนัก เอาล่ะ ท่านได้ตอบคำถามของข้าครบหมดแล้ว ขอให้ท่านโชคดี..."

 

ฝูงผีเสื้อคำนับลอว์เรนซ์พร้อมกัน ก่อนจะสลายตัวกันหายไปในอากาศ..เหลือเพียงแค่ละอองสีน้ำเงินที่มาวนรอบตัวพาเด็กหนุ่มลอยตัวสูงขึ้น... ร่างของลอว์เรนซ์ถูกห่อหุ้มด้วยละอองสีน้ำเงินนั่นจนพามาถึงหน้าแท่นสีน้ำตาลอันเล็กๆ ซึ่งมีเทียนปักอยู่เล่มหนึ่งซึ่งมีเปลวเพลิงสีทองไหววูบไปมา...

    

               '...แตะที่เปลวเพลิงนั่นสิ '

 

เสียงประโยคนั้นไหลผ่านเข้ามาในโสตประสาทแผ่วเบา เด็กหนุ่มยืนปักหลักมั่นบนพื้น มือข้างขวายื่นออกไปเพื่อจับมัน...เปลวเพลิงสีทองพุ่งขึ้นมาอาบร่างของเขาเมื่อถูกสัมผัส แต่มันกลับให้ความอบอุ่นประหลาด..ไม่ได้รู้สึกร้อนแต่อย่างใด มาฟิเนทัส สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ในตำนานของแวมไพร์ มีกายที่ปกคลุมด้วยขนสีขาว ทรงหน้าเรียวแหลม ดวงตาสีอำพันมาพร้อมกับปีกแข็งแรงทรงพลังสีน้ำเงินเข้มปรากฎขึ้นตรงหน้า มันมีร่างกายใหญ่โตและน่าเกรงขาม ปากและเขี้ยวอ้าออกกลืนเด็กหนุ่มเข้าไป...แสงสว่างส่องวาบผ่านเข้ามายังใบหน้า ร่างของลอว์เรนซ์ลอยไปตามทางนั้นและตกลงมา...

    

                  "..ที่นี่มัน...?"

 

เด็กหนุ่มหันมองไปรอบๆก็พบแต่เพียงห้องขนาดใหญ่เมื่อครู่ที่เขาเข้ามาพร้อมกับทุกคน แต่ก็ไม่เห็นใครเลย แถมห้องที่มืดเมื่อครู่ก็กลับมาปกติเหมือนเดิมแล้วด้วย

 

                 "หึๆๆ นึกอยู่แล้วเชียวว่าเธอจะต้องได้อยู่แคมป์นี้  "

 

เสียงทรงอำนาจดังออกมาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามายืนตรงหน้าเขา เขาเป็นหนุ่มร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าที่ดูนิ่งและเเสนจะหยิ่งยโสฉีกยิ้มออกมาอย่างปิดไม่มิด ลอว์เรนซ์เผลอแตะอกเสื้อของตัวเองก็พบว่ามีเข้มกลัดอันใหญ่แปลกๆติดอยู่...มันมาได้ยังไงกัน?

  

                  "นั่นคือตราของ...แคมป์ที่นายได้อยู่ไงล่ะ"

 

ลอว์เรนซ์ปลดตราออกมาจากอกเสื้อแล้วมองดูมันอย่างพินิจพิจารณา ตรานี้เป็นสีน้ำเงินมีรูปของมาฟิเนทัสซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ควบคู่ไปกับอักษรย่อของแคมป์ หรือว่า...

  

                 "ใช่แล้วล่ะ..นายได้อยู่แคมป์รอนเดล..ฉันเป็นรุ่นพี่ปี 3 ชื่อว่าจีเนียส ไพน์เออเนียร์ ยินดีต้อนรับ "

 

 

 

 

 

 

 

 

-โปรดติดตามต่อไป-


 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป