" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "
" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องพาดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามายังห้องห้องหนึ่งของคฤหาสน์ตระกูลเวสเบิร์กซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางป่ากว้างอันเต็มไปด้วยธรรมชาติและอากาศที่บริสุทธิ์ เสียงของสัตว์ตัวเล็กๆที่กำลังวิ่งพล่านไปมาอยู่ในป่า หรือแม้แต่เสียงของน้ำตกที่อยู่ไม่ห่างออกไปจากตัวคฤหาสน์มากนักลอยมาเข้าหู ทำเอาเด็กหนุ่มที่นอนอยู่เตียงภายในห้องได้สติ ผมสีบรอนด์ของเขายุ่งเหยิงไปหมด นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ และพยายามชันกายที่หนักอึ้งให้ลุกขึ้นมา ลอว์เรนซ์หันมองสำรวจไปรอบตัว ก็พบว่าเค้าอยู่ในห้องกว้างสีน้ำตาล ที่ประดับไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่หรูหราสวยงาม ตั้งแต่เตียงที่นอนอยู่ไปจนถึงของทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะหนังสือ แชนเดอเลีย รูปภาพประดับ ผ้าม่านสีขาวสะอาดตา พรมสีน้ำเงินและอย่างอื่นที่ดูโอ่อ่าจนเขาไม่ค่อยรู้สึกชินตากับมันเสียเท่าไหร่นัก
สถานที่แห่งนี้ กลับทำเขาอบอุ่บหัวใจและรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด แม้ว่าในช่วงเวลานั้นก่อนที่จะถูกผู้เป็นพระบิดาส่งไปยังโลกมนุษย์ เขาจะยังวัยเยาว์อยู่มาก แต่ก็พอจำได้รางๆว่าเคยมาประทับที่นี่ เนื่องจากเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวประจำตระกูล ที่พระบิดาของเขามักจะมาทำงานหรือสงบจิตสงบใจท่ามกลางธรรมชาติอยู่เป็นนิจ นัยต์ตาสีฟ้าหม่นลงอีกครั้งเมื่ออยู่ๆก็นึกถึงภาพความหลังครั้งเก่า ลอว์เรนซ์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมามองดูอย่างพินิจ เหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่ในตอนนี้ความทรงจำที่กลับคืนมาทำให้ต้องถูกส่งตัวกลับมายังโลกที่เขาเคยฝันถึงมาตลอด โลกของเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่อย่าง 'แวมไพร์' แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องราวดีๆที่บ้านเด็กกำพร้า วอลเลซสโตน ก็ไม่ได้ทำให้ลอว์เรนซ์รู้สึกอยากลืมเลือน เขาครุ่นคิดไปถึงใบหน้าที่หวาดกลัวและเป็นห่วงเป็นกังวลของเดนนิส ผู้เป็นเพื่อนรักของเขามาด้วยกันตลอดหลายปี ว่าต่อจากนี้ไปทุกคนจะมีชีวิตอยู่อย่างไร พวกเขาทั้งลำบากและต้องถูกป้าเพอร์กินส์ใจร้ายนั่นใช้งานอย่างหนักเป็นหลายเท่าแน่ ถ้าหากว่าเขาหายไป ลอว์เรนซ์ยังจำเสียงของเดนนิสครั้งสุดท้ายที่ถามเขาก่อนที่จะหมดสติไปในคืนนั้นได้ดี
'...นายเป็นแวมไพร์จริงๆน่ะเหรอ...?'
เสียงสั่นเครือนั้นบ่งบอกชัดว่าตัวเขาเองก็ไม่เชื่อเสียเท่าไหร่ เพื่อนที่ทนอยู่ร่วมชะตากันมาได้หลายต่อหลายปี ตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนไปด้วยเหตุผลที่เดนนิสคาดไม่ถึง
'ใช่แล้ว..ท่านพ่อส่งฉันมาที่โลกมนุษย์นี่เพื่อปกปิดตัวตนและจิตใจที่ดำมืดเพราะไอ้พลังต้องห้ามน่าชิงชังนี่ ในสมัยเด็ก ฉันเกิดมาพร้อมพลังที่พร้อมจะควบคุมและกลืนกินทุกอย่างรวมถึงตัวฉันเอง การมาที่โลกแห่งนี้จะช่วยลดทอนการขยายของพลังนี้ได้ '
'...แล้วนาย จะกลับไปที่โลกเดิมใช่ไหม โลกที่นายจากมา..?'
'มันถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไป...'
'นายจะทิ้งพวกเรางั้นเหรอ..!?'
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มกลับยิ้มบาง ส่ายหัวเบาๆ
'...พวกนายคือเพื่อนที่เยี่ยมยอด แม้ความทรงจำจะกลับคืนมา แต่นั่นไม่ได้แปลว่าความคิดความรู้สึกในช่วงที่มีพวกนายอยู่มันจะหายไป...'
'หมายความว่ายังไง..'
'การได้อยู่กับพวกนายมันช่วยสอนจิตใจอันต่ำช้ามืดมนของฉันให้หายไปทีละนิด พวกนายคือเพื่อนคนแรกและจะเป็นตลอดไป ฉันอยู่ที่โลกนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว กลิ่นของแวมไพร์จะล่อพวกหมาป่านั่นเข้ามา หากว่าฉันยังอยู่ พวกนายทุกคนจะเป็นอันตราย '
' ฉัน...ไม่นึกเลยว่าตัวตนจริงๆของนายจะเป็นอะไร หรือเคยเป็นใครมาก่อน แต่พวกเรายังอยากเป็นเพื่อนกับนายตลอดไปนะ ได้โปรดอย่าลืมเรื่องราวของพวกเรา '
เดนนิสร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย แววตาที่หวาดกลัวของเขาไม่เคยเกิดขึ้นกับลอว์เรนซ์และซีเบลแม้จะรู้ความจริงว่าทั้งสองคนเป็นอะไรก็ตาม ซีเบลเข้ามาจับไหล่เดนนิสอย่างแผ่วเบา พลางพูดอะไรสักอย่างกับเด็กหนุ่ม ซึ่งเขาก็ดูจะเข้าใจ แม้ว่าใบหน้าขาวซีดนั้นจะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ขณะที่ลอว์เรนซ์ซึ่งพยายามจะขยับร่างเข้าไปเดนนิสบ้างกลับต้องหยุดชะงัก เพราะศีรษะของเขาปวดไปหมด กลิ่นอายของพลังน่ารังเกียจนั่นพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง มือทั้งสองข้างที่พึ่งปลดปล่อยพลังไปร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่อยู่ เงาสีดำทมึนกระจายออกมาราวกับเป็นร่างของปิศาจมากมายที่กำลังส่งเสียงก่อกวนเขา มันมาพร้อมกับเสียงหัวเราะร่วนอย่างชั่วร้าย นัยต์ตาของลอว์เรนซ์เปลี่ยนสีอีกครั้ง เขาพยายามที่จะควบคุมและหยุดมัน แต่เหมือนว่าจะยากเย็นเหลือเกิน พลังนั่นเริ่มจะควบคุมเขาอีกแล้ว แค่เพียงยืมใช้เพราะหวังว่าจะช่วยซีเบลกับเดนนิสให้รอดตายเท่านั้น แต่มันกลับเหิมเกริมไม่ฟังเขาซะได้
' ลอว์เรนซ์! นายเป็นอะไรไป! '
' นายท่าน อย่าไปฟังมันนะคะ!! '
ความรู้สึกที่ถูกพลังครอบงำนั้นมันทรมานจนยากจะต้านทานไหว ลอว์เรนซืได้ยินเพียงเสียงร้องเรียกครั้งสุดท้ายของเพื่อนและองครักษ์สาวก่อนที่ร่างสูงของเด็กหนุ่มจะล้มครืนลงไปท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลนนั้น จนตอนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็อยู่ที่แห่งนี้แล้ว ดูเหมือนว่าร่างกายเขาจะปกติกว่าที่คิด และราวกับรู้ว่าเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะมีเสียงร้องถามด้านนอกว่า ขอเข้าไปได้หรือไม่ ซึ่งลอว์เรนซ์ก็ขานตอบรับ ประตูถูกเปิดออก พร้อมกับปรากฎร่างของซีเบล สาวผมทองที่มีผมยาวสลวยและถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย มาพร้อมกับเครื่องแต่งกายในชุดองครักษ์อันเป็นระเบียบ สวยงาม นัยต์ตาสีฟ้าครามของเธอมองมายังว่าที่ราชนิกูลแห่งราลเดรูลน์ด้วยความดีใจที่เขาฟื้นคืนสติแล้ว เธอถวายความเคารพเขาอย่างเป็นพิธี
'' ฉันสลบไปนานเท่าไหร่แล้ว ''
'' สองวันเต็มๆ ค่ะนายท่าน ''
''ฤทธิ์ของพลังนั้นดูจะยังร้ายแรงกว่าที่คิดไว้เสียอีก แต่ก็ดีแล้วที่เธอกับเดนนิสไม่เป็นอะไร ''
เมื่อได้ยินเรื่องนั้นซีเบลกลับยิ่งมีท่าทีและสีหน้าที่เจ็บช้ำใจอีกครั้ง เป็นเพราะเธอที่ประมาทและประเมินพละกำลังของพวกหมาป่าต่ำเกินไป ทำให้พลาดท่าจนต้องส่งผลให้เจ้านายคนสำคัญของเธอ ยอมใช้พลังต้องห้ามที่เขาถูกเก็บงำมาตลอดหลายปีช่วยเอาไว้ ซีเบลได้แต่ก้มหัวลงและทรุดลงไปกับพื้น เธอกล่าวขอโทษซ้ำไปซ้ำมาและทำใจไว้แล้วว่าควรต้องได้รับบทลงโทษในครั้งนี้ให้สาสมกับความผิด แต่ลอว์เรนซ์กลับไม่คิดเช่นนั้นและไม่ติดใจเอาความกับเธอ
'' ฉันไม่โทษคนที่ทำเต็มความสามารถหรอกนะ ยังไงตอนนี้ก็ปลอดภัยกันทุกคน ''
'' แต่ว่านายท่านคะ...''
'' อย่าเรียกท่านๆแบบนั้นเลย เรียกฉันว่านายน้อยก็พอแล้วน่า ''
'' เข้าใจแล้วล่ะค่ะ นายน้อย ''
ซีเบลไม่อาจปฏิเสธเจ้าชายน้อยคนนี้ได้เลย เธอได้แต่ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดอยู่เงียบๆเท่านั้น จนลอว์เรนซ์ต้องกลับกลายเป็นฝ่ายถอนหายใจเบาๆ เขาเอ่ยปากให้เธอรีบเงยหน้าขึ้นมา เพื่อถามเรื่องสำคัญที่ในตอนนี้ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
'' เธอเลิกก้มหน้าแบบนั้นได้แล้ว ฉันมีเรื่องอยากถาม...หลังจากที่ฉันกลับมาที่นี่ พวกเดนนิสเป็นยังไงบ้าง? ''
'' ฉันได้ทำเรื่องขออุปการะเดนนิสและเด็กๆที่บ้านวอลเลซสโตนให้ย้ายไปที่อยู่ใหม่ค่ะ สถานที่แห่งนั้นเป็นบ้านเด็กกำพร้าหลังใหม่ที่ดีและอบอุ่นกว่า พวกเขาจะมีที่กิน ที่หลับนอน ได้ร่ำเรียนและเมื่อโตขึ้นก็จะมีงานทำพร้อมออกไปเผชิญโลกภายนอกได้ค่ะ จะไม่ต้องเจอคนใจร้ายอย่างคุณเพอร์กินส์คนนั้นอีกแล้ว ''
เมื่อได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มน้อยๆก็ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยบ่งบอกถึงความรู้สึกดีใจ โล่งอก แต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยที่เขาต้องลาจากเดนนิสและเพื่อนพ้อง รวมทั้งทุกคนก็คงจะถูกลบความทรงจำที่เคยมีเขาอย่ออกไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยนั่นแปลว่าจะไม่มีใครที่จดจำมิตรภาพนี้ได้อีกต่อไปนอกจากตัวลอว์เรนซ์นั่นเอง ซึ่งดูเหมือนซีเบลจะจับสังเกตได้ เธอจึงเอ่ยขัดบรรยากาศของความเงียบงันนั้นขึ้นมา
'' แม้ว่าในระหว่างทางฉันจะลบความทรงจำของผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่มีเพียงแค่เดนนิสค่ะ ที่ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้นกับเขา''
'' ทำไมเธอถึงไม่ทำล่ะ ? ''
ลอว์เรนซ์แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจ แต่ก็ดูโล่งอกออกมาในเวลาเดียวกัน
'' ตัวเดนนิสเองไม่อยากให้ฉันทำน่ะค่ะ แล้วเขาก็สัญญาว่าจะเก็บเรื่องราวทั้งหมดไว้เป็นความลับ เพราะเขาไม่อยากลืมนายน้อยไป ''
'' จริงๆเลยนะเจ้าหมอนั่น ไม่นึกกลัวฉันเลยรึไงกัน
'' มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ ฐานะเลยแม้แต่นิด ความแตกต่างกันนั้นสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ด้วยคำว่ามิตรภาพนี่แหละค่ะนายน้อย''
''นั่นสินะ ฉันเองก็จะไม่มีวันลืม เราจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน ''
'' ในช่วงนี้นายน้อยต้องพักรักษาตัวอยู่ที่คฤหาสน์นี้สักระยะนะคะ ก่อนที่จะถึงกำหนดวันเปิดภาคเรียนที่เซนคาดิอร์ฟ ''
จู่ๆซีเบลก็พูดจาวกกลับมาเข้าเรื่องที่เจ้าตัวถึงกับคิ้วขมวดเป็นปมขึ้นมา
'' กลับมาทีก็มีเรื่องให้ต้องทำเลยงั้นรึเนี่ย ''
ลอว์เรนซ์ถอนหายใจออกมาอีกเฮือก แม้ความทรงจำช่วงอดีตที่หายไปจะกลับมาบ้าง แต่ก็คงมีอีกหลายเรื่องที่เขาจำเป็นจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีกมาก เพื่อที่จะกลับมาปรับตัวใช้ชีวิตในฐานะเดิมได้อย่างไม่ผิดวิสัย เพราะโลกของแวมไพร์กับมนุษย์นั้นแตกต่างกันมาก ที่แห่งนี้มีเวทย์มนตร์อยู่รายล้อม เป็นปัจจัยพลังงานที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน เพราะเหล่าแวมไพร์ที่นี่มีเวทย์มนตร์เป็นพลังงานชีวิตที่ทำให้พวกเขามีอายุยืนยาว โดยไม่ต้องดื่มเลือดเหมือนกับสิ่งมีชีวิตจำพวกเเวมเพียร์ ถึงแม้ว่าแวมไพร์จะไม่ได้เป็นอมตะ แต่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์นั้นแท้จริงแล้วอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอมตะเเต่เพียงอย่างเดียวก็เป็นได้
หลายสัปดาห์ต่อมา ลอว์เรนซ์ได้รับการปรนนิบัติดูแลอย่างดีไม่มีขาด ตามธรรมเนียมปฏิบัติของว่าที่ราชนิกูลหรือเจ้าชายแห่งราลเดรูลน์ เขาได้มีการฝึกอ่านเขียนภาษาและหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องต่างๆ ซึ่งตรงจุดนี้เมื่อสมัยเด็ก ก่อนจะถูกส่งตัวไป ลอว์เรนซ์ก็พอมีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไรมากนัก ความทรงจำเมื่อครั้งสมัยเด็กของเขาที่เริ่มเก็บกู้กลับคืนมาได้เพราะพลังมนตราศักสิทธิ์ของราลเดรูลน์ยังคงทำงานและใช้การได้เป็นอย่างดี ในเรื่องที่ไม่เข้าใจ เขาก็สามารถเรียกซีเบลหรือนิโคลัส ผู้เป็นพ่อบ้าน ตัวแทนผู้ดูแลคฤหาสน์แห่งนี้มาคอยให้คำปรึกษาทุกเวลาที่ต้องการ อีกทั้งเด็กหนุ่มยังเป็นผู้ที่เรียนรู้เร็ว ทำให้ยิ่งง่ายต่อการสอน
หลังการฟื้นฟูสภาพร่างกาย ลอว์เรนซ์รู้สึกถึงเลือดในกายที่พลุ่งพล่านราวกับว่าตัวเขานั้นพึ่งเคยได้สัมผัสถึงการเป็นแวมไพร์ที่แท้จริงเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากการได้ไปคลุกคลีและอยู่ร่วมกับมนุษย์มานานแสนนาน ทำให้เขาขาดทักษะและไหวพริบด้านการต่อสู้ แต่ซีเบลก็มักกล่าวกับเขาเสมอว่า ทุกคนย่อมมีครั้งแรกและต้องสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆถึงแม้ว่าจะเก่งขึ้นแล้วก็ตาม ทุกอย่างเริ่มต้นจากก้าวของศูนย์เสมอ แน่นอนว่าลอว์เรนซ์รู้สึกฮึกเหิมและพึงพอใจกับคำพูดนั้นของเธอ ส่งผลให้เด็กหนุ่มตัดสินใจฝึกการต่อสู้ในทุกวันทั้งช่วงเช้า บ่ายและพลบค่ำ โดยที่ช่วงเช้าจะฝึกที่ลานกว้างและช่วงบ่ายก็เข้าไปฝึกในป่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้ศาสตราวุธ การใช้วิถีของแวมไพร์ในการเคลื่อนไหวด้านร่างกายที่ควรจะต้องเร็วและเป็นเลิศ ขณะที่ช่วงพลบค่ำเด็กหนุ่มจะกลับมาที่คฤหาสน์เพื่อฝึกซ้อมต่อในห้องกลไก ซึ่งนิโคลัสกล่าวว่า เป็นห้องโปรดของพระราชบิดาของเขาในสมัยวัยเยาว์ และกลไกเหล่านี้ยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี การฝึกฝนนี้จะดำเนินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงการเปิดภาคการศึกษาใหม่ที่เซนต์คาดิลอร์ฟ
=================================================================
ในที่สุดการพักผ่อนอันยาวนานที่คฤหาสน์ตระกูลเวสเบิร์กก็กำลังจะสิ้นสุดลง เพราะสัปดาห์หน้าจะถึงช่วงเวลาเปิดภาคเรียนของเขาแล้ว ลอว์เรนซ์มีท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็มีความเบื่อหน่ายปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะการเปิดเทอมสำหรับเขาคือการถูกชักนำให้เข้าไปวุ่นวายกับเรื่องของโชคชะตา ที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องจากตระกูลราลเดรูลน์เองก็คือ หนึ่งในตระกูลหลักจากทั้ง 6 ตระกูลที่ได้รับอภิสิทธิ์สำคัญต่อการให้บุตรชายของตระกูลนั้นๆมาเข้ารับการเป็นผู้ทดสอบต่อการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่อบัลลังก์อันสืบทอดจากองค์จักรพรรดิ์แวมไพร์แห่งไครซิสต์ ผู้กอบกู้โลกของแวมไพร์ ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและให้สัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า ว่าพวกเขาจะนำพลังที่ได้รับมานั้นเพื่อประโยชน์และการเกื้อกูลต่อเผ่าพันธุ์อื่นๆในโลกหรือมิติต่างๆ การเป็นผู้สืบทอดองค์จักรพรรดิ์ก็เท่ากับเป็นเกียรติ์อันสูงที่สุดในชีวิตและต้องกุมชะตาของไครซิสต์ไว้ในกำมือ ลอว์เรนซ์ลอบถอนหายใจอีกครั้งเมื่อหวนนึกถึงหนังสือประวัติศาสตร์แวมไพร์ที่เขาพึ่งอ่านไปเมื่อคืนก่อน เขาได้ลองอ่านประวัติคร่าวๆของ 6 ตระกูลหลักผู้ที่จะมาเป็นว่าที่รัชทายาทและเป็นคู่แข่งคนสำคัญในอนาคตของตน ซึ่งเปิดเทอมนี้ดูเหมือนว่าเขาจะได้พบว่าที่รัชทายาททั้ง 5 อย่างเป็นทางการแล้ว
ณ จตุรัสกลางเมืองใหญ่ของประเทศราลเดรูลน์ อันเป็นประเทศที่บิดาของเขา 'กษัตริย์ไลโอเนล ' ปกครองอยู่ในขณะนี้นั้นเต็มไปด้วยความรุ่งเรือง เนื่องจากที่นี่เป็นประเทศที่ใหญ่ติดอันดับของโลกแวมไพร์ เศรษฐกิจก็รุ่งเรืองเฟื่องฟู ประชากรหนาแน่น เข้า-ออก เพื่อนำสินค้ามายังจตุรัสแห่งนี้ไม่ขาดสาย ลอว์เรนซ์และซีเบลนั่งรถม้าออกมาจากคฤหาสน์เพื่อมายังใจกลางเมืองหลังจากที่พากันขลุกตัวอยู่ในป่าอันเงียบสงบมาอย่างยาวนาน นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยของเด็กหนุ่มทอดมองทิวทัศน์ผ่านฝูงชนไปเรื่อยๆ ประชาชนแวมไพร์ในเมืองทุกคนต่างก็มีพลังวิเศษและเวทย์มนตร์ เพียงแต่ระดับของพวกเขานั้นอาจจะยังไม่สูงพอหากไม่ได้รับการฝึกฝน เป็นเวทย์สำหรับการใช้อำนวยความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันเสียมากกว่า แต่นั่นก็ทำให้เมืองและประเทศนี้มีความสุขได้จากการใช้มันให้เกิดประโยชน์ รถม้าวิ่งตัดผ่านถนนเข้าไปเทียบยังพื้นที่สำหรับรอผู้โดยสาร ลอว์เรนซ์และซีเบลก้าวออกจากรถม้าและสั่งการให้สารถีรออยู่ที่นี่ก่อน เพราะวันนี้ซีเบลนำพาเจ้าชายของเธอมาเพื่อซื้อของจำเป็นสำหรับการเปิดภาคเรียน แน่นอนว่าจริงๆแล้วเธอไม่ค่อยเห็นด้วยกับการพาว่าที่ราชนิกูลที่เป็นถึงคนสำคัญเช่นนี้ออกมาซื้อของใช้ตามลำพัง แต่ก็ได้รับคำสั่งมาจากทางจดหมายว่า ให้นำพาเขาออกไปเปิดประสบการณ์ด้วยตัวเองเสียบ้างเพื่อที่จะได้รู้ว่าประชาชนและโลกภายนอกนั้นเป็นอย่างไร นี่ถือเป็นคำขาดจากองค์ราชาที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้
''...ซีเบล เราต้องซื้ออะไรบ้าง?''
ลอว์เรนซ์เอ่ยถามขึ้นมาขัดบรรยากาศที่ดูเงียบงันนั้น
"อ้อ..สักครู่นะคะ"
ซีเบลจัดการเปิดคู่มือสำหรับนักเรียนออกมาอ่านดูทันที และสิ่งที่ต้องซื้อก็มีดังนี้คือ...
ชุดที่ 1 เครื่องแต่งกาย
-ชุดนักเรียนให้ทำการสั่งซื้อสั่งตัดที่ร้านซึ่งมีตราโรงเรียนอย่างน้อย 3 ชุด
-นักเรียนหญิงต้องผูกริ้บบิ้นสีดำ / นักเรียนชายผูกเนคไทสีดำเวลาที่ใส่ชุดของโรงเรียน
-ชุดประจำของแต่ละหอคอย ทางโรงเรียนจะจัดการให้ขอเพียงชำระค่าตัดชุดไว้เป็นพ
อ
ชุดที่ 2 ตำราเรียนและอุปกรณ์
-หนังสือชุดสมุนไพรศาสตร์และการรักษา
-หนังสือชุดอักขรแห่งแวมไพร์ เล่มที่ 1
-หนังสือชุดประวัติศาสตร์โลกแวมไพร์ เล่มที่ 1
-หนังสือชุดการฝึกพลังเวทย์ (ภาคปฐมบท)
-หนังสือชุดสัตววิทยา เล่มที่ 1
-หนังสือชุดภูมิศาสตร์ เล่มที่ 1
-ปากกาขนนก
-หมึก
-สมุดเปล่า 1 โหล
-อุปกรณ์ที่เหมาะกับการเรียนชนิดอื่นที่เห็นสมควร
ชุดที่ 3
-ศาสตราประจำตัว 1 อย่าง
-สร้อยคอหรือแหวน ที่ทำการผ่านพิธีกรรมมาแล้ว 1 อัน
"มีเท่านี้ล่ะค่ะนายน้อย"
"ปี 1 ยังมีของไม่ค่อยเยอะสินะ เรารีบไปหาซื้อกันดีกว่า"
ลอว์เรนซ์เอ่ยเรียบๆ ถึงแม้ว่าปากจะพูดไปเหมือนสบายใจอย่างนั้น แต่ตัวเขากลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่กำลังรอเขาอยู่...
หลังการอ่านคู่มือนั้น นี่คงเป็นครั้งแรกที่ลอว์เรนซ์รู้สึกอยากออกไปเดินเหินเป็นการส่วนตัวบ้าง เขาตัดสินใจทำทีเป็นจัดแจงแบ่งสันปันส่วนให้ซีเบลช่วยแยกตัวออกไปซื้อของส่วนนี้ช่วยเขา เพื่อที่จะได้เป็นการรวดเร็วกว่า ถึงแม้ว่าการแบ่งนั้นดูจะเอนเอียงไปในทางที่ของฝั่งซีเบลดูจะเยอะกว่าตัวเขาซะอีกนี่สิ แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์บ่นออกมาให้ได้ยิน โดยลอว์เรนซ์นั้นได้เลือกในส่วนของเครื่องแต่งกายและศาสตรา เพียงเท่านั้น ก่อนจะโบกปัดไล่ให้องครักษ์สาวรีบไปซื้อให้ แล้วเขาก็รีบเบี่ยงวิถีหนีออกมาเสียดื้อๆ เด็กหนุ่มเดินตัดผ่านร้านค้ามากมายในตัวเมืองจนมาถึงหน้าร้านเสื้อผ้าที่ชื่อว่า โบนส์ สัญลักษณ์ของร้านนี้เป็นรูปของดวงตาแวมไพร์และหัวกะโหลกสีขาวให้ความรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก จนเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือร้านเสื้อผ้า เพราะมันให้อารมณ์ร้านเวทย์มนตร์ศาสตร์มืดแฟนตาซีซะมากกว่า
มือสองข้างผลักประตูให้เปิดเข้าไปด้านใน ที่หลังบานประตูนั้นเต็มไปด้วยเหล่าเด็กๆมากมายที่พากันเลือกสรรชุดของตัวเอง เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าคนใหม่ก้าวเข้ามา หญิงสาวผมสีน้ำตาลก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับทันที เธอเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีนัยต์ตาสีเงินคมสวย ผิวขาวซีด แต่ท่าทางกระฉับกระเฉงแข็งแรงและเป็นมิตร
"ยินดีต้อนรับจ้ะพ่อหนุ่มน้อย มีอะไรให้ร้านโบนส์ของเรารับใช้จ๊ะ? "
"ผมขอสั่งตัดชุดของโรงเรียนเซนต์คาดิลอร์ฟ 4 ชุด ครับ "
"อ้ออ ได้เลยจ้ะ เธอเป็นลูกค้าคนที่ 99 แล้วล่ะที่มาสั่งตัดชุดแบบเดียวกันนี้ ทางร้านเรามีโปรโมชั่นมอบเนคไทสีดำให้เป็นของขวัญพอดีเลย ฉันจะส่งไปให้หลังจากนี้อีก 3 วัน พร้อมกับชุดของเธอนะ "
" ครับ "
เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ ที่ไม่ต้องเปลืองเงินสั่งซื้อเนคไทเพิ่ม
" เอาล่ะ เชิญไปที่แป้นวัดตัวก่อนนะ "
เธอเชื้อเชิญเขาให้เข้ามายืนที่แป้นว่างๆแป้นหนึ่ง แล้วสั่งให้คนงานในร้านมาช่วยทำการวัดตัว ที่แป้นอื่นๆก็มีเด็กๆทั้งชายและหญิงกำลังยืนรอวัดตัวเช่นเดียวกับเขา หลังจากจัดการจ่ายเงินและรับใบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างประหลาด มันเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นและสนุกกับการได้ลองออกมาเป็นเด็กน้อยที่พยายามจะทำให้ตัวเองดูดีที่สุดในวันไปโรงเรียน และที่ต่อไปที่เขาจะต้องไปเยือนคือ ร้านของยายแก่ เอมิเลีย...ที่แค่ได้เคยฟังกิตติศัพท์มาก็ขนลุก จากที่ซีเบลเล่ามาให้เขาฟังคร่าวๆ นางเป็นประเภทนักทำนายออกแนวเสียสติ เดาความคิดไม่ออก แต่บางคนก็ว่านางเป็นผู้หยั่งรู้ที่เชื่อถือในคำทำนายได้ถึง 99.9 % ซึ่งเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องไปที่ร้านแห่งนี้เพราะว่าต้องไปซื้อศาสตราสำคัญของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าร้านอื่นก็มีให้เลือกเช่นกัน แต่ดูเหมือนในว่าไม่ใช่ทุกที่ที่เราจะสามารถพบเจอเทพหรือศาสตราที่เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งร้านของเอมิเลีย ผู้นี้จะตอบคำถามนั้นของเราได้ ว่าศาสตราและเทพที่คู่ควรกับเรานั้นจะอยู่ที่นี่หรือไม่ ถ้าหากว่าไม่นางก็จะอัญเชิญลูกค้าไปที่ร้านอื่นทันทีแบบไม่ถนอมน้ำใจ พร้อมกับเรียกเก็บเงินสำหรับการให้พิกัดร้านใหม่ที่เหมาะสมกับคนคนนั้นอีกด้วย ช่างเป็นยายแก่ที่ดูหิวเงินยิ่งนัก และลอว์เรนซ์ก็เริ่มรู้สึกว่ากระเป๋าเงินของเขาคงจะเบาหวิวในอีกไม่ช้านี้
-ร้านศาตราวุธเอมิเลีย คาเตสท์-
กฎกติกามีอยู่ว่า
{จงมาเยี่ยงมิตร มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันได้กลับออกไป}
{จงเตรียมใจไว้ให้ดีกับคำทำนายของข้าและมีสติ}
{จงมาคนเดียวหากจะมาเลือกสรรศาตรา}
{จงมอบคำว่าสัญญาว่าจะรักษาศาตราและเป็นนายที่ดีแก่มัน}
{ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าไม่มีเงินจงไสหัวออกไปซะ!!}
ช่างเป็นกฎที่เหมาะสมกับลักษณะนิสัยของนางจริงๆ ลอว์เรนซ์ครุ่นคิดอย่างเอือมระอา แต่เขาเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าตัวตนของนางจะเป็นอย่างที่ร่ำลือกันไว้แน่หรือไม่ เขาจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปเคาะประตูด้วยห่วงสลักที่เป็นรูปของเขี้ยวแวมไพร์ตรงกึ่งกลางของบานประตูนั่น แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ จนกระทั่งทันใดนั้นเอง ลอว์เรนซ์ก็กลัลรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังจะพุ่งเข้ามา ประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วโดยมาพร้อมกับสายลมที่กรรโชกอย่างรุนแรงดึงดูดให้ร่างของเจ้าชายแห่งราลเดรูลน์เข้าไปด้านในราวกับถูกลากลงไปในหลุมดำทมึนเเขากำลังถูกดูดกลืนเข้าไป แม้จะพยายามมองฝ่าเข้าไปในนั้นก็ไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง
ตุ้บบบ!!
" โอ้ยย!...เจ็บชิบ.."
ลอว์เรนซ์ร่วงเผลาะตกลงมากระแทกกับพื้นเสียงดัง ไอ้พายุนั่นมันหายไปแล้ว แต่กลิ่นไอเมื่อกี้ที่เขาสัมผัสได้นั่นมันรุนแรงมากทีเดียว ใช่แล้ว..กลิ่นไอของเวทย์มนต์แน่ๆ แต่กลับรู้สึกแปลกๆ มันเหมือนกับว่าแตกต่างจากกลิ่นไอของพวกแวมไพร์ทั่วไป...
"..อา..หาร..ของข้าล่ะ..ไอ้หนู"
เสียงก้องกังวานนั่นดังสะท้อนประโยคนั่นซ้ำไปมาจนแทบปวดหัว ลอว์เรนซ์มองหาที่มาของเสียงก็พบว่าตอนนี้ตัวเองตกลงมาในถ้ำขนาดใหญ่ บริเวณขอบๆและตรงผนังมีอัญมณี อโพไลท์ ที่ว่ากันว่าเป็นที่ต้องการในพวกแวมไพร์ชนชั้นสูงติดอยู่เต็มไปหมด แสงสว่างระยิบระยับนั้นเปล่งประกายสร้างความสวยงามอย่างวิจิตรให้แก่มัน
แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาห่วงเรื่องนั้นอีกต่อไป..ที่ผนังถ้ำอีกด้านหนึ่งนั้นปรากฎร่างของแมงมุมยักษ์สีดำมืดท่าทางน่ากลัว ขายาวๆทั้ง 8 ขานั้นเริ่มไต่ไปมาเรียกร้องความสนใจผู้มาเยือนให้ขนลุกวาบไปทั่วทั้งร่าง
"..ข้าถาม..เจ้าว่า...อา..หาร..เลิศรส..ของข้าล่ะ "
ไม่ผิดแน่ ต้นเสียงดังมาจากแมงมุมยักษ์ตัวนั้นเอง ลอว์เรนซ์ยังคงนิ่งสุขุม ขณะที่ค่อยๆลุกขึ้นยืน เขาดูจะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
"..คุณคือ เอมิเลีย คาเตสท์ ใช่หรือเปล่า? "
" ใช่ ไม่ใช่...แล้วแต่ใครจะ...ถามหา... ตอนนี้...ข้าอาจจะ..จะ..เป็น..เพียง..แมง..มุม..ผู้..หิวววว..โซซ.."
"ตกลงว่าคุณเป็นแมงมุมแค่นั้นหรอกหรือ? งั้นผมควรจะไปก่อนจะเสียเวลา ถ้าในเมื่อคุณยังไม่เลิกพูดยานคางเหมือน..ยายแก่ "
ลอว์เรนซ์คลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลางกอดอกจ้องตาเจ้าแมงมุมอย่างเย็นชาท้าทาย แมงมุมยักษ์เงียบกริบราวกับตกตะลึงในความกล้าบ้าบิ่นนั่น ร่างของมันค่อยๆหดลงๆเรื่อยๆจนในที่สุดก็เหลือเพียงร่างของหญิงแก่นางหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา นางมีผมขาวโพลนที่บ่งบอกอายุพร้อมกับริ้วรอยตีนกาเหี่ยวย่น
ร่างเล็กๆนั่นเดินตรงไปยังแท่นหินสีเทาก่อนจะร่ายมนต์คาถาเสกเก้าอี้ตัวใหญ่คล้ายกับบัลลังก์ของราชินีขึ้นมานั่ง นัยต์กลมโตสีเทาทอดมองไปยังเด็กหนุ่มผู้ถือดีอีกครั้ง
"...ข้านี่ล่ะคือ เอมิเลีย คาเตสท์ "
"..."
ลอว์เรนซ์พยักหน้านิดๆอย่างพึงพอใจ เขาจ้องตอบไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น แต่ยิ่งได้เจอก็ยิ่งรู้สึกตัวว่า...คนๆนี้น่ากลัวกว่าที่เห็นมาก
"ไหนล่ะ...อาหารเลิศรสของข้า ลอว์เรนซ์ เซอแลนเซียร์ เวสเบิร์ก ?"
"อาหารเลิศรสอะไร? แล้วทำไมคุณถึงได้..?"
"การที่จะรู้จักชื่อของเจ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักทำนายอย่างข้าหรอกเจ้าหนู แล้วก่อนจะถูกเชิญเข้ามาเจ้าไม่ได้อ่านกฎที่ข้าเขียนไว้เรอะไง"
"ผมไม่เข้าใจเรื่องนั้น ในเมื่อผมเป็นลูกค้าที่ดีและเข้ามาอย่างถูกต้อง ยังมีอะไรผิดด้วยรึไงกัน"
"ให้ตายเถอะเจ้าแวมไพร์โง่เง่า นี่คงจะไม่รู้สินะว่าข้าเป็นอะไร...และต้องการอาหารนี่มากแค่ไหน?"
"ถ้าคุณจะกรุณาบอก ผมจะนำมาให้เอง"
สีหน้ามุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม กับนัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยนั่นทำเอาเอมิเลียถึงกับหัวเราะพรืดด้วยความขำขันในความไร้เดียงสานั้น
"...เจ้านี่มันช่างไม่รู้อะไรเสียจริง..เจ้าจะไปหามาให้ข้าได้เรอะ..ข้านะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่จะกินอาหารธรรมดาสามัญไร้รสนิยมเช่นเจ้ากับพวกมนุษย์โง่นั่นหรอกนะ"
ไวน์แก้วหนึ่งปรากฎในมือข้างซ้าย ขณะที่นางยกขึ้นจิบราวกับรอคำตอบ
"...รึว่าคุณจะเป็น..แวมเพียร์"
คำตอบที่ได้ทำให้นางถึงกับหัวเราะลั่นออกมาอีกครั้ง
"ฮ่าๆๆ!! ถูกต้องแล้วล่ะเจ้าหนู ทีนี้คงจะรู้แล้วสินะว่า 'อาหารเลิศรส'ที่ข้าต้องการคืออะไร..??"
"เลือด..."
"เรียกเพราะๆว่าหยาดโลหิตคงจะดีกว่ามั้ง...เจ้าจะไปหาที่ไหนมาล่ะหืม?? บอกเลยว่ามันต้องรสชาติดีถึงจะผ่านนะจะบอกให้! กฎหน้าประตูนั่นน่ะเรอะ มันแค่กฎเบสิคที่ใครก็ทำได้ แต่เรื่องของอาหารนี่ข้าตั้งขึ้นมาเอง เป็นกฎใหม่เฉพาะกาลภายในนี้ไงล่ะ ''
....เวรแล้วไง เขาจะไปหาเลือดที่ไหนมาให้นางได้ล่ะ ซีเบลนะซีเบลทำไมไม่บอกให้ละเอียดกว่านี้หน่อย!?
"เอ้าา! ว่าไงล่ะเจ้าหนู หากหาไม่ได้มันเสียเวลาข้านะ อุตส่าห์พาเจ้าเข้ามา น่าผิดหวังเสียจริง.."
เมื่อถูกอีกฝ่ายกดดัน...ลอว์เรนซ์เริ่มคิดหนัก เขาไม่มีเวลามากพอที่จะกลับมาใหม่อีกครั้งด้วย เห็นทีคงต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน...
...ฉับบ!!
"อึก..."
"นี่เจ้าคิดจะทำอะไรห้ะเจ้าหนู!?"
เอมิเลียถึงกับอึ้งตกใจที่เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าคว้ามีดสั้นออกจากกระเป๋ามาปาดแขนตัวเองจนเลือดสีแดงเข้มไหลทะลัก เขายังคงทำหน้าตาเฉยเมย รุดเข้ามาคว้าแก้วเเชมเปญจากนาง เทน้ำออกจนหมดก่อนจะนำมันรองเลือดที่ไหลออกมานั่นใส่เข้าไปแทนที่!
"..นี่เจ้าลงทุนไปไหมล่ะหืม?"
"เพื่อสิ่งที่ต้องการก็ต้องลงทุนสิถูกไหม"
"ถ้ารสชาติมันแย่ ข้าจะถีบเจ้าออกไป!"
นางรับแก้วใส่เลือดมา พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆลิ้มรสดื่มมันเข้าไป..และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เอมิเลียต้องเปลี่ยนความคิด กลืนน้ำลายตัวเอง เลือด...เลือดที่ช่างหวานหอมอร่อยนี่ ไม่ต่างอะไรไปจากอาหารชั้นเลิศที่นางเคยได้สัมผัส เจ้าเด็กนี่...
"...โอ้วว เลือดของแวมไพร์อย่างเจ้ามันช่างพิเศษกว่าที่คิดจริงๆนะหนุ่มน้อย นี่ล่ะ อาหารเลิศรสที่ข้าต้องการ! ''
" คราวนี้ท่านจะยอมขายศาสตราให้ผมได้รึยัง?"
เด็กหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ เลือดยังไม่หยุดไหล แผลเริ่มแสบร้อน จนต้องนำผ้าเช็ดหน้ามาพันไว้ก่อนชั่วคราว สีหน้าของเอมิเลียดูดีใจเป็นที่สุดที่ได้ดื่มเลือดของเขา
"...ได้สิ แต่...เจ้าจงจำเอาไว้อย่างหนึ่ง "
"...จำงั้นรึ?"
"ศาสตรานั้นจะเป็นผู้เลือก ไม่ใช่ตัวเจ้า...โชคดีนะเจ้าหนูที่เจ้ามาหาศาสตราถูกที่แล้ว"
นางเริ่มพึมพำคาถาร่ายมนตราอีกครั้ง ควันสีขาวขุ่นลอยปกคลุมไปทั่วทั้งถ้ำ...
"...ด้วยนามแห่งข้าเอมิเลีย คาเตสท์ ขอจงอัญเชิญวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งท่านผู้เป็นศาสตราประจำตัวของเด็กหนุ่มผู้นี้มาสถิตย์ ณ ที่แห่งนี้เถิด..."
ร่างของลอว์เรนซ์ลอยสูงขึ้นไปในอากาศท่ามกลางควันสีขาว...กลิ่นไปวิญญาณที่มีพลังแรงกล้า...เข้ามารวมตัวกันมากขึ้นจนเห็นเป็นรูปร่างของสิ่งที่เอมิเลียทำการอัญเชิญมา นัยต์ตาสีฟ้ามองฝ่าควันขุ่นเข้าไป...
"...ท่านเองน่ะหรือ ที่จะเป็นนายแห่งข้า"
เสียงทุ้มลึกของผู้ชายดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ร่างของวิญญาณก่อตัวจนเห็นได้ชัดเจน เขาเป็น..วิญญาณที่ลักษณะคล้ายกับเทพในตำนานของพวกแวมไพร์..มีกายเงินที่ดูน่าหลงใหล ผมสีเงินยาวประกอบกับนัยต์ตาสีฟ้าเฉกเช่นเดียวกับเขา ลอว์เรนซ์ไม่เคยรู้สึกสัมผัสได้ถึงพลังที่อบอุ่นรุนแรงแบบนี้มาก่อนเลย....
"นามของข้าคือ..ดานิเอล..แล้วท่านล่ะ"
"...ลอว์เรนซ์ เซอแลนเซียร์ เวสเบิร์ก..."
ดานิเอลกำลังจะเข้ามาเพื่อประสานจิตใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเจ้านายคนใหม่ซึ่งเขาเป็นคนเลือก...แต่แล้ว เสียงร้องตะโกนนั่นทำให้พวกเขาต้องหยุดพิธีด้วยความตกใจ
"...ถ้าเป็นดานิเอล! เจ้าจะเอาเขาไปไม่ได้นะ!"
-โปรดติดตามตอนต่อไป-