Your Wishlist

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์) (Rewrite) (01 เด็กกำพร้า (Rewrite))

Author: Sayyeon

" การกลับคืนสู่ฐานันดรของเจ้าชาย นำเขากลับมาเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาทแห่งไครซิสต์ ดินแดนของแวมไพร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ต่อการดื่มเลือดและได้รับพรจากพระเจ้า การต่อสู้ของผู้ที่ถูกเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว "

จำนวนตอน : N/A

01 เด็กกำพร้า (Rewrite)

  • 14/05/2564

 

The Heir Vampire (รัชทายาทแห่งโลกแวมไพร์)

ภาค 1 ศึกปะทะอัศวินแห่งความมืด

 

 

 

 

             อากาศยามเช้าตรู่ของรัสเซียยังคงปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็นจากหิมะสีขาวและไอหมอกหนา ภายในห้องนอนรวมของบ้านเด็กกำพร้า 'วอลเลซสโตนส์' เหล่าเด็กหนุ่มสาวและพวกเด็กเล็กกำลังนอนหลับด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสบายนัก อากาศหนาวแบบนี้เล่นงานเด็กอย่างพวกเขาซึ่งขาดแคลนแทบทุกสิ่งอย่าง กระทั่งผ้าห่มอุ่นๆหนึ่งผืน นัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยเบิกตาตื่นขึ้นท่ามกลางความมืดสลัวในยามเช้าตรู่ เมื่อหันมองไปโดยรอบก็เห็นว่าทุกคนยังนอนเรียงกันอยู่ขดตัวสั่นระริกพยายามนอนเบียดเสียดกันเข้าหาไออุ่น เพราะในห้องนั่งเล่นรวมแห่งนี้นอกจากไม่มีผ้าห่มแล้ว เตาผิงก็ไม่มีด้วยเช่นกัน ใบหน้าหล่อเหลาเยาว์วัยของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในนั้นดูชวนมองน่าหลงใหลยิ่งนักจนไม่มีใครกล้าคิดเลยว่าเขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าธรรมดาคนหนึ่ง เขามีผมที่ปรกหน้าปรกตาสีบรอนด์ แต่มีนัยต์ตาสีฟ้าคู่สวยที่ดูคมกริบและงดงาม ผิวขาวซีดที่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเป็นสีผิวแท้ๆของเขาหรือเป็นเพียงแค่เพราะความหาวเย็นภายในห้องนี้กันแน่

 

                        "เดนนิส..เฮ้ เดนนิส ตื่นได้แล้ว "

                         "อืมมม..."

เสียงอู้อี้จากเด็กหนุ่มอีกคนข้างตัวบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมารบกวนการหลับนอนของตน แต่ลอว์เรนซ์รู้ตัวดีว่าถ้าหากพวกเขายังไม่ยอมรีบเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทำงานในวันนี้  'คุณนายเพอร์กินส์ ' จะต้องหาบทลงโทษมาจัดการกับพวกเขาอีกแน่ๆ ขนาดมีดปอกผลไม้ยังสามารถเป็นอาวุธสำหรับเธอได้เลยด้วยซ้ำ

                       "ไอ้บ้าเดนนิสส!! ตื่นเดี๋ยวนี้นะะ"

                        "โอ้ยยย! หนวกหูเว้ยยย ตื่นแล้วๆๆ"

เดนนิสเพื่อนยากยอมขยับตัวลุกขึ้นแต่โดยดี พลางเสยผมที่ปรกหน้าออกไปให้พ้นๆ ใบหน้าขาวซีดบวกกับร่างกายที่ดูซูบผอมของเขานั้นช่างแตกต่างกับลอว์เรนซ์แทบโดยสิ้นเชิงทั้งที่ชีวิตความเป็นอยู่ อาหารการกินทุกสิ่งอย่างก็ได้รับพอๆกัน จนทุกคนในบ้านเด็กกำพร้าต่างก็พากันแปลกใจ แม้กระทั่งคุณนายเพอร์กินส์ผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้เองก็เกิดความสงสัย เธอมักชอบคิดว่าลอว์เรนซ์อาจจะแอบโดดงานไปหาอาหารปริมาณมากๆมากินคนเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เลยสักนิด

                    "เรารีบออกไปกันเถอะ เดี๋ยวคุณนายเพอร์กินส์จะลงโทษเอา"

                     "อื้มม"

เด็กหนุ่มทั้งสองลุกเดินห่างออกจากตรงห้องที่เหล่าพี่น้องร่วมชะตาของพวกเขานอนอยู่ พร้อมกับรีบค้นหาเสื้อกันหนาวสองตัว ซึ่งก็หนีไม่พ้นเจ้าเสื้อเก่าๆโกโรโกโสตัวเดิม ยากจะคิดได้ว่ามันสามารถให้ความอบอุ่นกับพวกเขาได้เพียงพอแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรใส่เลยล่ะนะ เมื่อสวมเสื้อเรียบร้อย ทั้งคู่ก็ออกจากบ้านไป เพื่อจะเดินทางฝ่าลมหนาวไปยังที่ทำงาน เหตุผลที่เด็กอายุ 16 ปีต้องทำงานนั้นก็ไม่มีอะไรมากนัก สั้นๆง่ายๆก็เพียงแค่เลี้ยงปากท้องตัวเองและเด็กๆที่บ้านเด็กกำพร้าให้อยู่รอดได้ในแต่ละวันเท่านั้นเอง  ถ้าจะถามว่าผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้าอย่างคุณนายเพอร์กินส์นั้นมีหน้าที่อะไร...ก็นะ นั่นมันก็เป็นเพียงหน้ากากที่สวมบังหน้าเท่านั้นเองว่าเธอเป็นผู้ดูแลเเสนดีของเด็กๆทุกคนในวอลเลซสโตนส์แห่งนี้ แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้าม...เธอเก็บเหล่าเด็กกำพร้าที่น่าสงสารมาเลี้ยงไว้เพื่อหวังให้พวกเขากลายเป็นทาสรับใช้ของเธอเมื่อโตขึ้น ความทรมานต่างๆนานาที่ถูกกระทำมาตลอดนี้ทำให้เด็กหลายคนทนไม่ไหวหาทางหนีไปกันเกือบหมด จึงเหลือเพียงลอว์เรนซ์ เดนนิส อาเรีย 3 คนเท่านั้นที่เป็นเด็กโต นอกเหนือจากนี้เป็นเพียงเป็นเด็กน้อยอายุราวๆ 8-10 ปี แล้วเขาทั้งสามจะกล้าทิ้งเด็กที่น่าสงสารพวกนี้ไปได้ยังไง...

สุดท้ายลอว์เรนซ์กับเดนนิสก็ตกลงกันว่าจะอยู่ที่นี่ดูแลทุกคน และได้ถูกจับส่งไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่ง ทั้งสองได้กลายเป็นเด็กส่งของที่ต้องเดินไปกลับระหว่างที่อยู่ของผู้รับของกับโรงงานแทบจะตลอดวัน รายได้ที่ได้มานั้น ก็จะนำไปซื้ออาหารแบ่งสรรปันส่วนกลับไปที่บ้าน ส่วนรายได้อีกส่วนที่เหลือก็ไม่พ้นที่จะตกอยู่ในมือของนางเพอร์กินส์ผู้ใจร้าย ตอนแรกอาเรียเองก็เสนอพวกเขาว่าเธออยากจะช่วยด้วยอีกแรง แต่ก็ไม่สามารทัดทานความห่วงใยจากพวกเขาได้ เนื่องจากเธอเป็นเด็กผู้หญิง ควรจะอยู่ดูแลเด็กๆและทำงานเงียบๆภายในบ้านคงดีกว่า

                   "บรื๋ออออ! หนาวชะมัดเลย ฉันล่ะไม่ชอบอากาศแบบนี้เลยจริงๆ"

เดนนิสบ่นพึมพำ ในมือถือกล่องใส่ของขนาดใหญ่ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าข้างในคืออะไร ลอว์เรนซ์เองก็ถือมาอีกกล่องเดินคู่ไปกับเขาด้วยเช่นกัน หิมะยังคงตกอยู่อย่างต่อเนื่อง

                   "นี่เดนนิส นายคิดว่าเราจะต้องอยู่กับคุณนายเพอร์กินส์แบบนี้ตลอดไปรึเปล่านะ...?"

                   " ก็คงจนกว่าจะตายนั่นแหละมั้ง "

                   "แล้วนายไม่คิดจะหนีความจริงที่โหดร้ายแบบนี้บ้างเหรอไง"

                   "...ถ้าให้ฉันหนีไปโดยทิ้งพวกพ้องไว้ข้างหลังล่ะก็..ฉันก็คงจะเลวร้ายเหมือนกับคนที่ทิ้งฉันเอาไว้แบบนี้น่ะสิ"

 

เดนนิสยิ้มบางๆ คำพูดของเขาส่อประกายแววตาเศร้าลึกๆอยู่ภายใน เพื่อนคนนี้เป็นคนที่น่านับถือคนหนึ่งแม้ในคราบของเด็กกำพร้าแบบนี้ เขามักพยายามปั้นหน้ายิ้มระรื่นและเป็นมิตรอยู่เสมอเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวของตนมีเสียงหัวหัวเราะและก้าวผ่านเรื่องราวร้ายๆนี้ไปด้วยกัน ลอว์เรนซ์เบือนหน้ามองไปอีกฝั่งของถนนสายหลักซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าและตึกรูปทรงสวยงาม ร้านค้าหลายร้านเริ่มนำข้าวของออกมาวางประดับโชว์เด่นหรา ทำให้มองเห็นผ่านกระใสทางด้านหน้าที่ยั่วยวนใจให้บรรดาคนที่เดินผ่านเกิดกิเลส หึ...ต่อให้เขาทำงานทั้งชาติก็คงจะไม่มีเงินพอที่จะมาซื้อของราคาแพงมหาโหดแบบนี้ได้หรอก

หลายครั้งที่เด็กหนุ่มหลับไปและชอบฝันว่า..ตัวเองกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเขาคนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างมืดมัวไปหมด แม้จะพยายามวิ่งไปไกลแค่ไหนก็หาทางออกจากความมืดมิดนั้นไม่ได้ เสียงกรีดร้องที่ดังก้องกังวานในโสตประสาททีทำเอาหัวของเขาปวดไปหมด ใบหน้าของชายคนหนึ่งที่มักจะปรากฎขึ้นมาอยู่เสมอ พร้อมกับภาพนิมิตประหลาดราวกับเขาได้หลุดออกไปสู่โลกใหม่... แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องสลายหายไปในพริบตาเมื่อมีเสียงโวยวายลั่นของคุณนายเพอร์กินส์ปลุกเขาให้ตื่นขึ้น เธอเปรียบเสมือนฝันร้ายที่คอยกัดกินหัวใจเด็กทุกนในวอลเลซสโตนส์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มือหยาบหนาและร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ที่พร้อมจะบดขยี้เด็กที่ต่อต้านเธอให้จนมุม นึกแล้วก็หวาดกลัวขึ้นมาจับจิต

                     "ถึงแล้วล่ะ...อืม ที่นี่คือถนนอีสเอ็นท์ คงจะเป็นบ้านหลังนี้ไม่ผิดแน่"

                     "ใช่เลยล่ะไม่ผิดแน่นอน รีบเข้าไปกันเถอะ"

ลอว์เรนซ์เดินนำหน้าผ่านประตูรั้วสีขาวของบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งดูจะแยกตัวห่างออกมาจากบ้านหลังอื่นๆในละแวกเดียวกัน คงจะต้องการความเป็นส่วนตัวหรือด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง บริเวณรอบๆมีสวนที่ประดับประดาไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่คละกันไปอย่างสวยงาม ทั้งสองเดินมาหยุดที่หน้าประตูใหญ่สีน้ำตาล ก่อนจะรีบเอื้อมมือไปกดกริ่ง ไม่นานนัก..ประตูก็ค่อยๆเปิดออก ที่หลังประตูบานนั้น ปรากฎร่างบางของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีใบหน้าที่จัดว่าสวยหวาน หน้าตาดีมากๆคนหนึ่ง ริมฝีปากแดงเรื่อและผิวขาวธรรมชาติ ผมสีบรอนด์ยาวตรงนั้นทำให้เธอยิ่งดูมีสเน่ห์เหลือล้น นัยต์ตาสีฟ้าครามของเธอสบมองพวกเขาพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร เล่นเอาเด็กหนุ่มวัยรุ่นทั้งสองยืนมองค้างตกตะลึงอยู่หลายวินาที

                     "...เอ่อ ผมเอาของมาส่งครับ "

                     "รออยู่แล้วล่ะจ้ะ ขอบใจมากนะ "

ลอว์เรนซ์กับเดนนิสหลุดจากภวังค์รีบยื่นของนั่นส่งให้กับเธอ เธอก็ยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี

                     "ถ้าพวกเธอไม่รังเกียจ เข้ามาก่อนสิ ฉันจะเลี้ยงชานมอุ่นๆกับของว่างพวกเธอเอง.."

                      "เอ๋..??"

สองหนุ่มอุทานอย่างประหลาดใจ เด็กกำพร้าเช่นพวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้รับอะไรดีๆแบบนี้จากคนภายนอกมาก่อนเลยสักครั้ง ที่สำคัญเป็นเธอต่างหากที่ต้องรังเกียจเด็กแบบพวกเขา

                      "เข้ามาเถอะจ้ะ อากาศหนาวๆแบบนี้ ฉันเลี้ยงเองไม่ต้องเกรงใจ"

หญิงสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้งเหมือนเรียกสติพวกเขากลับคืน ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปข้างใน ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้ร้องปฏิเสธ ซึ่งก็เป็นไปตามที่เธอคาดไว้ เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเลือก อีกอย่างเธอก็ดูจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ลอว์เรนซ์จึงดึงแขนเดนนิสให้เดินตามเข้าไป ทั้งสองปิดประตูแล้วก้าวผ่านทางเดินมืดสลัว ตามหลังเธอเข้าไปที่ห้องกว้างห้องหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องนั่งเล่น มันช่างแตกต่างกับบ้านโทรมๆของพวกเขาอย่างลิบลับราวฟ้ากับเหว

                       "หาที่นั่งตามสบายนะ ฉันจะไปชงชาให้ "

หญิงสาวปล่อยเด็กหนุ่มทั้งสองไว้ที่ห้องก่อนจะหายลับไปในทิศทางที่น่าจะเป็นห้องครัว พวกเขาจึงเริ่มเดินสำรวจห้องนี้ด้วยความสนใจปนอยากรู้อยากเห็น ภายในนั้นเป็นโทนสีน้ำตาลอ่อนๆ ประดับผนังด้วยกรอบรูปภาพที่ดูสวยและราคาแพง แถมที่สำคัญคือมีเตาผิงขนาดใหญ่ที่ให้ความอบอุ่นได้ดีมาก ลอว์เรนซ์ล้มตัวลงนั่งบนโซฟาสีดำตัวหนึ่งใกล้กับเตาผิงด้วยความเหนื่อยล้า นับจากเวลานี้พวกเขามีเวลาเหลืออีกเพียง 1 ชั่วโมงที่จะกลับไปให้ทันรับงานใหม่ที่โรงงาน

                      "ฉันอยากจะมีบ้านและห้องสวยๆแบบนี้สักครั้งในชีวิตจัง"

                      "ขออย่างเดียวต้องหลุดพ้นจากยัยป้าเพอร์กินส์! ฮ่าๆๆ"

                       "แล้วที่สำคัญคือต้องมีทุกคนด้วยสินะ "

ลอว์เรนซ์ยิ้มเศร้าสร้อยไปกับความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระของตัวเอง มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว

                        "มาแล้วจ้าา เด็กๆที่รัก"

เสียงใสของหญิงสาวดังขึ้น ในมือทั้งสองข้างของเธอถือถาดใส่ชานมมา 3 ถ้วยส่งกลิ่นหอมกรุ่นและควันร้อนๆ เธอวางมันลงบนโต๊ะเล็กๆตรงหน้าโซฟา ในนั้นมีขนมคุกกี้น่าอร่อยเป็นของว่างแถมไว้ด้วย เด็กหนุ่มทั้งสองไม่รอช้าคว้าของฟรีขึ้นมาดื่มด่ำทันทีเพราะความหิวและเหนื่อยล้าในตอนนี้มันมากเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้

                       "อร่อยจังงง ฉันไม่เคยกินขนมที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย"

                       "จริงด้วยสิ อร่อยมากเลยครับคุณ..."

                       "ชื่อของฉันคือ..ซีเบล สกอร์เวีย จ้ะ พวกเธอล่ะ??"

                       "ผมลอว์เรนซ์ครับ "

                       "ส่วนผมชื่อเดนนิสครับบบ"

เดนนิสตอบอย่างอารมณ์ดีและดูตื่นตาตื่นใจกับของว่างตรงหน้า ต่างกับลอว์เรนซ์ตอนนี้ที่เริ่มนิ่งเงียบ เขารู้สึกว่าเหมือนเธอกำลังจ้องมองเขาอยู่... มันไม่ใช่สายตาของความอาฆาตหรือเขม่น เหยียดหยามอะไรแบบนั้นเลยก็จริง แต่ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร...

                       "พวกเธอเชื่อเรื่องแวมไพร์กันไหม..?"

                        "...??"

ทั้งสองทำหน้าตางุนงงไม่เข้าใจคำถามนั้นของซีเบล แต่เธอก็กลับยิ้มเจ้าเล่ห์แลกๆออกมาจนลอว์เรนซ์รู้สึกได้ เพราะอะไรจู่ๆเธอถึงโพล่งคำพูดอะไรแปลกๆเช่นนี้ออกมากันนะ

                       "เป็นตำนานคล้ายนิทานปรัมปราที่เล่าต่อกันมานั่นแหละ..."

                       "มันเกี่ยวกับอะไรงั้นเหรอครับบ??"

                       " ว่ากันว่า...แวมไพร์นั้นมีบรรพบุรุษเป็นแวมเพียร์ซึ่งดูดเลือดมนุษย์และสัตว์อื่นเป็นอาหาร แต่เมื่อพวกเขาได้รับพรและพลังจากพระเจ้า แวมไพร์ก็มีชีวิตอยู่ได้ด้วยมนตราวิเศษแทนการดื่มเลือด พวกเขาก็รูปร่างคลายกับมนุษย์เรานี่เองแหละและบางครั้งก็จะลงมาที่โลกมนุษย์.."

เมื่อจบประโยคนี้เธอกลับยิ้มหันมามองหน้าลอว์เรนซ์ราวกับจงใจ...

                      "คุณไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนครับ.."

ลอว์เรนซ์เสี่ยงถามออกไปแบบกล้าๆกลัวๆ

                       "นั่นสินะ มันเป็นตำนานของชาวตะวันตกนี่นา เด็กกำพร้าอย่างพวกเธอคงจะไม่เคยได้ยิน แต่ถ้ามีโอกาสก็ลองไปหาอ่านดูสักครั้งสิ สนุกนะ"

                       "ว้าวว ผมอยากอ่านบ้างจังครับคุณซีเบลล"

เดนนิสกับซีเบลคุยกันต่ออย่างสนุกสนาน ขณะที่ลอว์เรนซ์สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในคำพูดนั้น เธอรู้ได้อย่างไรกันว่าพวกเขาเป็น...เด็กกำพร้า??

 

เวลาล่วงเลยผ่านไปได้เกือบ 30 นาทีแล้ว ลอว์เรนซ์จึงรีบร้องเตือนเพื่อนที่ท่าทางจะคุยติดลมให้รีบออกไปกันเสียที เพราะขืนไปไม่ทันเวลาพวกเขาต้องถูกพวกผู้ใหญ่ที่โรงงานเทศนายาวเป็นแน่

                         "ขอบคุณที่มาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับฉันนะจ๊ะเดนนิส ลอว์เรนซ์ "

                         "ไม่เป็นไรหรอกครับ เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณจริงๆนะครับที่เมตตา"

ทั้งสองก้มหัวขอบคุณซีเบล เธอพาพวกเขามาส่งที่หน้าประตู

                         "หวังว่าพวกเธอจะกลับมาฟังฉันเล่านิทานอีกครั้งนะ"

                         "ครับผมม"

ขณะที่เด็กทั้งสองกำลังจะหันหลังเดินออกไป ซีเบลก็เรียกพวกเขาไว้ซะก่อน เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าพลางหยิบอะไรบางอย่างเล็กๆออกมายื่นให้พวกเขา มันคือนกหวีดอันเล็กสีเงิน 2 อันที่ดูสวยงาม

                       "ฉันให้พวกเธอไว้เป็นที่ระลึก จงใช้มันยามที่ฉุกเฉินนะ..."

                       "...ยามฉุกเฉินเหรอ เป่าแล้วคุณจะมาช่วยผมกับลอว์เรนซ์รึไง ฮ่าๆๆ"

เธอไม่ได้ตอบคำถามนั้นของเดนนิส และพวกเขาก็ไม่มีเวลาพอจะซักถามอะไรเพิ่มเติมด้วย เพราะเวลากระชั้นชิดเข้ามาทุกที หลังจากที่ทั้งสองออกไปพ้นจากอาณาเขตบ้านแล้ว หญิงสาวก็รีบปิดประตู สีหน้าของเธอเปลี่ยนจากยิ้มแย้มกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมา..

                       "...หวังว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นนะ "

 

 

 

 


 

 

            ยามค่ำคืนเริ่มเข้ามาเยือนอีกครั้ง ลมหนาวยังคงพัดแรงขึ้นไม่หยุดหย่อน หิมะที่ตกอยู่ทั้งวันก็ยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่สัญจรไปมาตามท้องถนนบางตาลงเห็นได้ชัด นี่ก็เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าแล้ว ลอว์เรนซ์และเดนนิสยังคงเดินย่ำเท้าอยู่บนถนนมุ่งหน้าสู่เส้นทางกลับบ้านหลังจากที่ไปซื้ออาหารมาจากร้านค้าร้านประจำ แสงไฟจากข้างทางเดินก็ติดๆดับๆให้ความสว่างไม่มากมายอะไรนัก ร่างกายของทั้งคู่เย็นเยียบ ขาแข็งราวกับเป็นท่อนไม้แทบจะล้มทั้งยืน

                      "...ให้ตายสิ วันนี้เหนื่อยกว่าทุกวันซะอีก"

                      "เอาเถอะน่า อดทนหน่อย ข้ามสะพานนี่ไปก็ใกล้ถึงแล้ว"

ลอว์เรนซ์เข้ามาช่วยพยุงเพื่อนที่ตอนนี้จะล้มครืนลงไปกลางทางอยู่รอมร่อ แม้สัมภาระที่หอบหิ้วมาจะทำให้ช่วยได้ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ก็เถอะ ป่านนี้ทั้งอาเรียและพวกเด็กๆคงจะหิวกันแย่แล้ว ต้องรีบไป... เด็กหนุ่มทั้งสองก้าวเดินขึ้นสะพานใหญ่ที่ทอดยาวข้ามไปอีกฝั่งของแม่น้ำ พื้นลื่นๆเป็นน้ำแข็งนั้นพอจะทำให้แข้งขาที่หมดแรงหกคะเมนล้มลงไปได้ง่ายๆ

...และขณะเดียวกัน ทั้งคู่ก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาอำมหิตหลายสิบคู่จากในเงามืดจ้องมองมายังพวกเขาอยู่

 

 

 

 

 

 

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

กลับหน้าหลัก ตอนถัดไป