Your Wishlist

ยอดนักแต่งหน้าทะลุมิติ (ตอนที่ 11 : มื้อเย็นที่พังทลาย (edited))

Author: TealChair แปล

หลีโม่เมคอัพอาร์ติสสาวชั้นนำทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวใช้ที่ถูกพ่อค้าทาสนำตัวมาขาย ณ หมู่บ้านชนบทในยุคโบราณ บุรุษที่ซื้อตัวนางมายากจนทั้งยังขาพิการ ยังมีเจ้าก้อนแป้งน้อยพ่วงด้วยอีกหนึ่ง เมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้มีชีวิตอีกครั้ง นางจะต้องใช้ฝีมือและความสามารถที่มีในชาติก่อนหาเงินเพื่อให้ครอบครัวในชาตินี้ของตนมีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้!

จำนวนตอน : 92 ตอนจบ

ตอนที่ 11 : มื้อเย็นที่พังทลาย (edited)

  • 20/09/2564

ตอนที่ 11 มื้อเย็นที่พังทลาย

 

“ท่านแม่ ท่านมาที่นี่มีอะไรหรือขอรับ?” ซ่งต้าซานเอ่ยทัก

 

ท่านแม่ซ่งยิ้มไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับแทนว่า “ต้าซาน ตอนกลางวันข้ามาที่นี่ ไม่มีผู้ใดอยู่ที่บ้านเลย พวกเจ้าออกไปไหนมารึ?"

 

“พวกข้าไปกินข้าวกลางวันที่บ้านท่านอาสะใภ้จ้าวมาน่ะขอรับ”

 

ท่านแม่ซ่งยังสงสัย “เหตุใดพวกเขาถึงเชิญพวกเจ้าไปกินข้าวที่บ้านกันเล่า?”

 

ซ่งต้าซานไม่ได้ตอบไปตามจริง บอกแค่ว่า “ครั้งก่อนท่านอาสะใภ้มีเรื่องขอให้ข้าช่วยเหลือเล็กน้อย อาสะใภ้จึงยืนกรานจะให้พวกข้าไปกินข้าวด้วยให้ได้”

 

ได้ฟังดังนั้น ท่านแม่ซ่งก็พยักหน้าไม่คิดอะไรมาก นางก้มหน้าหันไปบอกเด็กทั้ง 2 คนว่า “เจ้าสองคนออกไปเล่นกับน้องเสี่ยวเป่าสักประเดี๋ยวก่อน อีกไม่นานก็ได้กินแล้ว”

 

หลังกล่าวจบนางก็ถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินเข้ามาในห้องครัว “แม่จะทำอาหารให้พวกเจ้าเอง”

 

หลีโม่เม้มริมฝีปาก พูดในใจเงียบ ๆ ว่าพวกเขาตั้งใจจะอยู่กินข้าวเย็นที่นี่ด้วย

 

หลีโม่ไม่ได้มีข้อคัดค้านใด หากว่ามารดาของซ่งต้าซานจะมากินข้าวที่นี่ ทว่านางพาเด็ก 2 คนจากบ้านพี่สะใภ้ใหญ่มาด้วย เมื่อวานเด็ก 2 คนนี้เพิ่งจะตามมารดาของพวกเขามาที่บ้านและรังแกเสี่ยวเป่าของพวกตนไป มารดาของซ่งต้าซานไม่รู้เรื่องนี้เลยหรือ? ตอนนี้นางกลับพาเด็ก 2 คนนี้มากินข้าวที่บ้าน หลีโม่ไม่เชื่อหรอกว่าหวังชุ่ยฮวาจะไม่รู้เห็นกับเรื่องนี้

 

หลีโม่คิดไม่ผิด เรื่องนี้เป็นความคิดของคนที่มีนิสัยอย่างหวังชุ่ยฮวาจริงๆ ตอนที่มาที่นี่เมื่อวาน นางไม่เพียงแต่เห็นซาลาเปาและขนมดอกเหมยเท่านั้น แต่ยังเห็นหมูสามชั้นและกระดูกหมูด้วย ในตอนนั้นหวังชุ่ยฮวาต้องการจะเอาของทั้งหมดกลับไปที่บ้านตน ทว่าซ่งต้าซานจับนางโยนออกจากบ้านไปเสียก่อน เด็กทั้ง 2 คนจึงเอาไปได้แต่ซาลาเปาและขนมดอกเหมยเท่านั้น ไม่ทันได้เอาเนื้อหมูกับกระดูกไปด้วย เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว นางก็ได้แต่เสียดายเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นั่นเป็นเนื้อสามชั้นชิ้นโตเชียวนะ เหตุใดนางถึงไม่หยิบมันติดมือมาด้วยนะ

 

หลังเฝ้าคิดถึงเรื่องนี้มาทั้งคืน หวังชุ่ยฮวาก็ตั้งใจไม่ทำอาหารมื้อกลางวันเผื่อท่านแม่ซ่ง ทั้งยังบอกกับท่านแม่ซ่งว่า “ท่านแม่ เมื่อวานนี้ข้าเห็นต้าซานซื้อเนื้อมามากมายทีเดียว เขามีชีวิตที่สุขสบายแล้วก็ควรจะกตัญญูต่อท่านสักนิด ทำไมท่านไม่ไปกินข้าวที่นั่นด้วยเสียเลยเล่า? พาหมิงเกอเอ๋อร์ ซงเกอเอ๋อร์ไปด้วย เด็กน้อยที่น่าสงสาร 2 คนนี้ปกติมีชีวิตที่ลำบากนัก ไม่ได้กินของดี ๆ เลย พาไปกินที่บ้านอารองของพวกเขาด้วย อารองของพวกเขาคงจะไม่ว่าอะไรหรอก”

 

ท่านแม่ซ่งได้ยินดังนั้นก็ขยับปากอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา ทว่าหวังชุ่ยฮวารีบขัดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้ารู้ว่าน้องรองกตัญญูต่อท่าน ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ทำอาหารกลางวันไว้เผื่อท่านกับเด็กทั้ง 2 คนด้วย หากท่านไม่ไปที่บ้านของน้องรอง ก็ไม่มีอาหารอื่นให้ท่านกินอีกแล้ว เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”

 

ท่านแม่ซ่งกลืนคำพูดกลับลงไปและพาเด็กทั้ง 2 คนมาที่บ้านซ่งต้าซาน

 

ไม่คิดว่าประตูบ้านของซ่งต้าซานปิดสนิท ไม่มีผู้ใดอยู่ที่บ้านเลย

 

เมื่อกลับไป นางจึงถูกหวังชุ่ยฮวาพูดจาถากถางอยู่พักใหญ่ ทำได้เพียงต้มโจ๊กข้าวหยาบกินเพื่อบรรเทาความหิวเท่านั้น

 

ครั้งนี้บุตรชายคนรองอยู่บ้านเสียที

 

หลีโม่มองไปที่ท่านแม่ซ่งซึ่งกำลังจะช่วยทำอาหาร จากนั้นก็ชำเลืองมองไปที่ซ่งต้าซาน นางไม่ได้พูดอะไรและเริ่มลงมือทำสิ่งที่ทำค้างไว้ต่อ

 

ซ่งต้าซานกล่าวกับมารดาที่อยากจะช่วยว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องช่วยทำหรอก พวกข้าทำกันเกือบจะเสร็จหมดแล้ว ท่านออกไปนั่งข้างนอกเถิด”

 

“แม่ไม่ได้อายุมากขนาดนั้นเสียหน่อย ทำไมถึงจะทำไม่ไหว งั้นแม่จะหยิบถ้วยชามตะเกียบให้เอง” เมื่อเห็นว่าอาหารเตรียมไว้เสร็จหมดแล้ว ท่านแม่ซ่งจึงหันไปหยิบถ้วยและตะเกียบออกจากตู้แล้วนำไปวางที่โต๊ะกินข้าวในห้องโถง

 

อาหารถูกยกมาวางบนโต๊ะอาหาร บุตรชาย 2 คนของซ่งต้าจู้ซึ่งเป็นพี่ชายตนโตของซ่งต้าซานได้นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารสี่เหลี่ยมเรียบร้อยแล้ว

 

ทั้งคู่นั่งอยู่คนละด้านของโต๊ะ ทำให้ตอนนี้มีที่นั่งเหลืออีกแค่ 2 ที่เท่านั้น เมื่อเห็นผู้อื่นเดินเข้าห้องมา พวกเขาก็ไม่ขยับที่นั่งให้

 

หลีโม่ไม่ต้องการจะรักษามารยาทกับเด็ก 2 คนนี้จึงรีบพูดกับทั้งสองทันทีว่า “พวกเจ้า 2 คนย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกันเสีย นั่งอย่างนี้แล้วผู้อื่นจะนั่งอย่างไร”

 

เด็ก 2 คนเหมือนจะคุ้นชินกับการทำเรื่องเช่นนี้ พวกเขาไม่เกรงกลัวหลีโม่และทำเสมือนไม่ได้ยินคำพูดของนาง ยังคงปักหลักนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน

 

“พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือไง? หากไม่ย้ายที่นั่ง วันนี้ก็ไม่ต้องกิน” หลีโม่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

 

ตอนนี้เด็กคนที่อายุน้อยกว่าไม่พอใจและตะเบ็งเสียงใส่หลีโม่ “เจ้ากล้าหรือ! ชีวิตของซ่งเสี่ยวเป่าเป็นของพวกข้า พวกเจ้าจะต้องรับใช้พวกข้าเมื่อพวกข้ามากินข้าวที่นี่!”

 

พอได้ยินเช่นนี้ หลีโม่ก็รู้สึกเหมือนหนังศีรษะของตนกำลังจะระเบิด นางอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ผู้ใดกันที่พูดว่าชีวิตของเสี่ยวเป่าเป็นของพวกเจ้า! ผู้ใดเป็นคนพูด! แล้วใครจะต้องคอยรับใช้พวกเจ้า?!”

 

อย่างไรเสียเด็กทั้ง 2 คนก็ยังเยาว์วัยอยู่ พอถูกหลีโม่ว่ากล่าวอย่างรุนแรง พวกเขาก็ทำตัวหงอ แต่ก็ยังกัดฟันนั่งนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน

 

ท่านแม่ซ่งเห็นท่าไม่ดี จึงรีบออกหน้าทันที “หลีโม่ เด็ก 2 คนนี้อายุน้อย ยังไม่รู้ความอะไร เจ้าก็อย่าได้ถือสาพวกเขาเลย”

 

หลีโม่ได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยออกมา อันใดคืออายุยังน้อย พวกเขาอายุ 7-8 ขวบแล้ว อายุมากกว่าเสี่ยงเป่าตั้งมาก เสี่ยงเป่ายังรู้เลยว่าอันใดถูกอันใดผิด แต่พวกเขากลับไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น เด็กวัยนี้จะพูดออกมาได้อย่างไรหากไม่มีผู้ใหญ่คอยเสี้ยมสอนที่บ้าน? เกิดอะไรขึ้นกับแม่ของซ่งต้าซานกัน? นางไม่ได้ยินคำพูดหยาบคายพวกนี้หรือ? ไม่เพียงแต่ไม่อบรมสั่งสอน ยังออกปากช่วยพูดปกป้องให้อีก

 

หลีโม่รู้สึกโมโหมากเสียจนในเวลานี้นางไม่สนแล้วว่ากำลังพูดจาอยู่กับผู้อาวุโส “ท่านแม่ ท่านไม่ได้ยินคำพูดของพวกเขาหรอกหรือเจ้าคะ? เด็กๆ จะรู้ได้อย่างไรหากผู้ใหญ่ไม่ได้เป็นคนกล่าวคำพูดแย่ๆ พวกนั้นออกมาให้ได้ยิน? ใครกันที่เป็นคนกล่าวว่าชีวิตของเสี่ยงเป่าเป็นของพวกเขา? ใครเป็นคนพูดว่าครอบครัวเราจะต้องรับใช้ครอบครัวของพวกเขา?”

 

หลังได้ยินสีหน้าของท่านแม่ซ่งก็แข็งทื่อขึ้นทันทีและมีท่าทางดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก ชั่วอึดใจนางก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก “จะมีผู้ใหญ่ที่ไหนมาพูดอะไรกัน เป็นพวกเด็กๆ เองที่ไม่รู้ว่าไปได้ยินคำพูดแล้วจดจำมาจากที่ใด เจ้าอย่าได้คิดให้มากเกินไปเลย”

 

หลีโม่กระจ่างแจ้งทันทีว่าท่านแม่ซ่งลำเอียงไปทางบ้านพี่ชายใหญ่ของซ่งต้าซาน โดยไม่ได้คำนึงถึงบุตรชายคนรองของตนเลยแม้แต่น้อย

 

ในขณะที่หลีโม่กำลังคิดหาวิธีจะจัดการกับเด็กทั้งสอง จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามายืนข้างตนอย่างเร็ว ซ่งต้าซานก้าวเท้าขึ้นมา 2 ก้าว มือแต่ละข้างของเขาจับตัวเด็กทั้ง 2 คนเอาไว้แล้วยกตัวพวกเขาขึ้นออกไปจากโต๊ะ

 

เด็กทั้งสองที่ถูกใช้กำลังบังคับพากันแผดเสียงร้องขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับอาละวาดเตะแกว่งเท้าไปมา ตะโกนว่า “เจ้าง่อย! ปล่อยข้าลงนะ! ข้าจะกลับไปฟ้องท่านพ่อท่านแม่! ปล่อยข้านะเจ้าง่อย!”

 

ซ่งต้าซานทำหูทวนลม เขาจับตัวของเด็กๆ ไว้แล้วเดินไปที่หน้าประตู

 

พอเห็นเด็กทั้งสองกำลังถูกลากตัวออกไป ท่านแม่ซ่งก็รีบวิ่งออกมากอดขาของซ่งต้าซานเอาไว้ “ต้าซาน อย่าทำเช่นนี้ พวกเขายังเด็กอยู่ อย่าทำร้ายพวกเขาเลยนะ ต้าซาน เชื่อแม่เถิด”

 

หากซ่งต้าซานยังฝืนก้าวเดินต่อไป ท่านแม่ซ่งคงจะถูกลากตามไปด้วย และอาจทำให้ท่านแม่ซ่งได้รับบาดเจ็บได้ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงต้องวางตัวเด็กทั้งสองลง จ้องหน้าไปที่พวกเขาอย่างดุร้ายพร้อมกับพูดเสียงหนักว่า “หากพวกเจ้าพูดจาเหลวไหลขึ้นมาอีก รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น เข้าใจหรือไม่!”

 

เด็กทั้งคู่รีบเข้าไปหลบด้านหลังตัวของท่านแม่ซ่งทันที และไม่กล้าเอ่ยปากด่าว่าพวกเขาอีก

 

สุดท้าย ท่านแม่ซ่งก็ให้เด็กทั้งสองขยับไปนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ซ่งต้าซานนั่งตามลำพังด้านหนึ่ง หลีโม่เอาตัวเสี่ยวเป่ามานั่งด้วยกันด้านหนึ่ง และท่านแม่ซ่งก็นั่งอยู่อีกด้านคนเดียว

 

ระหว่างกินข้าว เด็กทั้งสองกินอย่างตะกละตะกลาม พวกเขาใช้ตะเกียบคีบอาหารด้วยความรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเลือกคีบเนื้อหมูใส่ถ้วยข้าวของพวกตนจนอาหารพูนขึ้นสูงเต็มถ้วย ในขณะที่พุ้ยข้าวใส่ปากไป พวกเขาก็คีบกับข้าวไปด้วยไม่หยุด ใช้เวลาเพียงครู่เดียวอาหารก็หมดจาน

 

ในตอนนี้พวกหลีโม่ทั้ง 3 คนแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย หากไม่ใช่เพราะสายตาและมือที่รวดเร็วของหลีโม่ที่คีบอาหารใส่ถ้วยข้าวให้กับเสี่ยวเป่าได้ทันแล้วละก็ เสี่ยวเป่าคงจะไม่ได้กินเนื้อเลยแม้สักชิ้นเดียว

 

ซ่งต้าซานคีบเนื้อได้ทันไม่กี่ชิ้นใส่ไว้ในถ้วยข้าวของหลีโม่ให้ ในขณะที่ตัวเขาเองนั้นไม่ได้กินอะไรเลย

 

ข้าวที่หุงเตรียมเอาไว้เพียงพอสำหรับครอบครัวพวกตน 3 คน ตอนนี้มีผู้อื่นมากินด้วยจึงต้องแบ่งข้าวเฉลี่ย ทำให้ได้กินข้าวกันคนละไม่ถึงครึ่งถ้วยเท่านั้น พวกเขาทั้ง 3 ไม่มีใครกินอิ่มเลย

 

เมื่อเห็นอาหารหมด เด็กทั้งสองก็เริ่มร้องโวยวายอยากจะกินเพิ่มอีก ท่านแม่ซ่งจึงหันไปมองหลีโม่

 

สีหน้าของหลีโม่ไม่ดีนัก “อาหารของข้าหมดแล้ว นี่เป็นอาหารที่ข้าทำไว้สำหรับครอบครัวเราเท่านั้น ไม่มีอาหารเหลืออีกแล้ว”

 

พอได้ยินเช่นนั้นเด็กทั้งคู่ก็ไม่ยินยอม พวกเขาตบโต๊ะทันที ร้องจะเอาอาหารเพิ่ม โต๊ะอาหารถูกกระแทกจนสะเทือนไปหมด

 

ซ่งต้าซานวางถ้วยข้าวลงบนโต๊ะอย่างดุดันจนมีเสียงดัง ‘ปัง’ ขึ้น พร้อมกับจ้องหน้าเด็กทั้งสองเขม็ง พวกเขาจึงค่อยๆ เงียบเสียงลงจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงใดอีก

 

บรรยากาศเงียบสงัดจนอึดอัด กระทั่งท่านแม่ซ่งพูดไกล่เกลี่ย “ต้าซาน พอข้ากลับไปแล้ว ข้าจะบอกให้พี่ใหญ่ของเจ้าสั่งสอนพวกเขา เจ้าอย่าได้โมโหไปเลย แต่ว่าต้าซาน ข้าวมีน้อยเกินไปจนกินไม่พอจริง ๆ ดูสิ เจ้าทำมาเพิ่มอีกสักหน่อยได้หรือไม่?

 

หลีโม่หัวเราะออกมาด้วยความโมโห ทว่าไม่พูดอะไรออกมา นางปล่อยให้ซ่งต้าซานเป็นคนรับมือ คอยดูว่าเขาจะทำอย่างไรกับมารดาของตน  นางเป็นเพียงคนนอกไม่สามารถทำอะไรได้ หากพูดอะไรมากไปก็อาจทำให้ผู้อื่นไม่พอใจเอาได้ว่าไม่เคารพมารดาของเขา

 

ครั้นได้ยินคำพูดของมารดา ซ่งต้าซานก็กัดฟันแน่นราวกับกำลังอดกลั้นบางอย่างอยู่ ในท้ายที่สุด เขาก็สะกดใจเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านคิดว่าข้าที่ยากจนไม่มีอะไรเหลือติดตัวเช่นนี้จะเอาเงินจากที่ไหนมาซื้อข้าวได้ เป็นหลีโม่ที่เอาของชิ้นสุดท้ายที่นางมีติดตัวอยู่ไปซื้อของเหล่านี้มา อาหารที่ซื้อมาให้เสี่ยวเป่าก็ถูกพี่สะใภ้กับหลานชายทั้งสองขโมยเอาไปแล้ว ตอนนี้อาหารไม่พอสำหรับพวกท่าน แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร? ให้ออกไปร้องขออาหารที่ข้างนอกหรือ?”

 

ได้ยินคำพูดของซ่งต้าซานแล้ว ท่านแม่ซ่งก็ก้มหน้าลงต่ำ สะใภ้ใหญ่พูดกรอกหูนางอยู่ทุกวัน จนนางคล้อยตามและคิดว่าบุตรชายคนรองของตนเก็บซ่อนเงินเอาไว้กับตัวและมีชีวิตที่สุขสบาย

 

ตอนนี้เมื่อบุตรชายพูดออกมาเช่นนี้ นางก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้งจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นิ่งอึ้งไปนานก่อนที่จะลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าแดงก่ำ พร้อมทั้งดึงตัวเด็กทั้งสองขึ้น "ต้าซาน เป็นความผิดของแม่เอง เช่นนั้นแม่จะกลับแล้ว”

 

กล่าวจบนางก็รีบออกไปพร้อมกับเด็กทั้ง 2 คน

 

หลีโม่มองตามท่านแม่ซ่งไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไร ทว่ารู้สึกขบขันอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าท่านแม่ซ่งจะรู้สึกผิดและรีบร้อนกลับออกไปทุกครั้งหลังจากที่นางก่อเรื่องเสร็จแล้ว

 

หลังท่านแม่ซ่งจากไป หลีโม่หันไปมองจานอาหารที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ และก็ให้รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาอีกครั้ง นางสู้อุตส่าห์ซื้อของกลับมา แต่สุดท้ายกลายเป็นไปเติมท้องให้กับคนบ้านอื่นเสียอย่างนั้น ทว่านางก็พูดอะไรออกมาได้ นี่มันช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง

 

ซ่งต้าซานเหลือบมองสีหน้าย่ำแย่ของหลีโม่ เขาขยับริมฝีปากอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่ถอนใจออกมา เขาลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “ข้าจะไปในครัวทำโจ๊กมาให้” จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องครัว

 

หลีโม่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว อีกทั้งไม่ตามเข้าไปช่วยด้วย นางในตอนนี้ไม่อยากจะขยับร่างกายทำอะไรทั้งสิ้น

 

ผลสุดท้าย หลีโม่กินโจ๊กเพิ่มเข้าไปอีกนิดหน่อยจนไม่รู้สึกว่าหิวแล้ว จากนั้นจึงไปต้มน้ำร้อนเพื่ออาบน้ำด้วยอ่างอาบน้ำใบใหม่ที่เพิ่งได้มา พร้อมกับอาบน้ำให้กับเสี่ยวเป่าด้วย เสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสามคนก็เข้านอน

 

หลังจากที่หลีโม่เล่านิทานกล่อมเสี่ยวเป่าจนเขาหลับไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็เงียบสงบลง

 

ถึงตอนนี้ มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับมือของหลีโม่เอาไว้ นางพยายามดึงมือของตนออก ทว่ามือข้างนั้นกลับจับแน่นขึ้น

 

ในความมืดเสียงแหบพร่าของซ่งต้าซานดังขึ้นเบา ๆ “อย่าโกรธเลยนะ ต่อไปจะไม่เป็นเช่นนี้อีกแล้ว”

 

หลีโม่ไม่เอ่ยอะไรออกมา

 

เป็นเวลานานกว่าที่นางจะส่งเสียง “อืม” ออกมา

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป